LOGINวันนั้นฤทัยรักษ์จำต้องตามแดนดินไปสำรวจ ‘บ้านของย่า’ เธอไม่อยากทำตัวเรื่องมาก มาอาศัยเขา เขาจะเปิดบ้านให้ดูก็ต้องตามไปดูละ
ไหนเลยจะรู้ว่า ‘บ้านของย่า’ นั้นกว้างใหญ่เพียงใด เดินอยู่นานค่อนวันก็ยังไม่ทั่ว
ดวงตาสีน้ำตาลสวยมองทุ่งนาโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตาที่ถูกแบ่งด้วยคันนาจนกลายเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่ละลานตารอบตัวแล้วเงยหน้าถามคนพามาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“นี่ของคุณย่าหมดเลยเหรอคะ?”
แค่กะด้วยสายตา ที่นาแถวนี้ก็มีอยู่หลายร้อยไร่เลยนะ!
“ใช่”
คำตอบสั้นๆ ทำเอาคนฟังสูดหายใจลึก ฤทัยรักษ์นึกว่าที่นาของคุณย่าคำหอมจะมีแค่ตรงด้านหลังเรือน แต่แดนดินพาเธอเดินดูจนจะหมดแรงแล้วยังเห็นแค่ส่วนที่อยู่ริมทางเท่านั้น ที่อยู่ไกลสุดสายตานั่นยังไม่ได้เข้าไปใกล้มันเลย
“นาข้าวที่เธอเห็นอยู่นี่เราปลูกข้าวหอมมะลิแบบปลอดสารพิษทั้งหมดเลย ผลผลิตที่ได้จะถูกส่งเข้าไปยังโรงสีข้าวตรงนู้น” เขาอธิบายพลางชี้มือไปทางโรงเรือนสีขาวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อีกด้าน “ข้าวเปลือกจะถูกสีเป็นข้าวสารและบรรจุใส่ถุง ส่งออกไปให้ลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าประจำที่จองกันเข้ามาทุกปี”
“นั่นก็โรงสีของคุณย่าอีกหรือคะ!” เธอทำตาโตถาม โรงสีข้าวบ้าอะไรใหญ่โตขนาดนั้น แถมมีตั้งสามหลังอีกต่างหาก
“ก็ประมาณนั้น ไว้วันหลังฉันจะพาเข้าไปดู”
ฤทัยรักษ์พยักหน้ารับ ในใจอึ้งแล้วอึ้งอีก ก่อนจะมาที่นี่แม่นมบอกว่าบ้านของพี่สาวทำนาปลูกข้าวขาย เธอก็ไม่คิดว่าจะขายกันเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ขนาดนี้
แดนดินเห็นสีหน้าอึ้งๆ ของอีกฝ่ายก็ยิ้มเยาะ พอรู้ว่าพวกเขาทำกิจการอะไร กี่รายๆ ก็อย่างนี้ แล้วเขาจะยอมให้ย่าผูกด้ายแดงยังไงไหว
“แล้วที่นี่ทำนากันแบบไหนเหรอคะ ปักดำหรือว่าหว่านเลย”
คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน ทำให้แดนดินนิ่วหน้าถามกลับ “เธออยากรู้ไปทำไม”
“ก็แค่อยากรู้”
“ที่นาทองคำของเราดินและน้ำเหมาะแก่การทำนาปี ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงใช้วิธีปักดำกัน เพราะมันให้ผลผลิตดีกว่าการหว่านเมล็ด”
ฤทัยรักษ์พยักหน้าเข้าใจ เหม่อมองทุ่งนากว้างตรงหน้าด้วยแววตาอ่านไม่ออก คนพามาเห็นอาการเหม่อมองของเธอก็สั่งเสียงเรียบ
“มองเสร็จแล้วก็ตามมา ฉันมีอะไรให้เธอดู”
“ดูอะไรอีกคะ”
“ตามมาเถอะ”
ฤทัยรักษ์กลอกตาเดินตามเจ้าถิ่นไปช้าๆ นึกเคืองคนที่ทำให้เลขาคุณชายสูงศักดิ์อย่างเธอต้องมาเดินท่อมๆ กลางทุ่งอย่างนี้นัก
ทั้งสองเดินมาได้สักพักก็ถึงหน้าโรงไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรือนคำหอมมากนัก ภายในโรงไม้มีควายตัวใหญ่สีดำทมิฬนอนเคี้ยวหญ้าอยู่อย่างสบายใจ
“ขอแนะนำให้รู้จักกับบุญหลาย ควายฉันเอง” แดนดินหันไปบอกคนข้างหลังสั้นๆ เจ้าบุญหลายเป็นหนึ่งในควายไทยที่เขาเลี้ยงไว้เพื่ออนุรักษ์เผ่าพันธุ์ของมัน เขาไปเจอมันในกองประกวดลูกควายงามที่ได้รับเชิญไปเป็นประธานเปิดงาน ทั้งที่ตอนนั้นเล็งตัวได้แชมป์เอาไว้แล้ว แต่เขาก็เปลี่ยนใจ เพราะเจอควายที่ได้ตำแหน่งรองแชมป์ส่งแววตาอ้อนวอนให้ตอนคล้องมาลัยรางวัลให้มัน เขาซื้อมันกลับบ้านในราคาเกือบล้าน มันเอาแต่ใจสุดๆ ย่าถึงกับออกปากว่ามันนิสัยเหมือนเขาเลย
“หวัดดี”
“เธอไม่กลัวควายเหรอไง”
คนเดินเข้าไปทักทายเจ้าทุยใกล้ๆ ไม่มีหวาดกลัวยิ้มบอกว่า
“ไม่กลัวค่ะ มันอยู่ในคอก มีไม้กั้นเอาไว้แล้วนี่คะ”
“ไม่กลัวก็ดี อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มาเล่นกับมัน หรือจะปั้นมันมาให้ฉันเล่นก็ได้นะ”
ฤทัยรักษ์นึกตามไม่ทันขมวดคิ้วงามถาม “ให้ฉันทำอะไรนะ?”
“ก็เขาว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นควายให้ลูกท่านเล่น เธอก็ปั้นไอ้บุญหลายมาให้ฉันเล่นสิ”
เธอยิ้มเย็นบอก “ได้สิคะ จะเอากี่ตัวดีล่ะ คุณหลานท่าน”
“เอาตัวเดียว เอาให้เหมือน ไม่เหมือนไม่เอา”
“งั้นอย่าเอาเลยค่ะ ฉันปั้นไม่เก่ง ปกติไม่เคยปั้นวัวปั้นควายให้ใครเล่นเหมือนกัน มีแต่คนปั้นมาให้เล่นที่วังของท่านลุง”
แดนดินถลึงตาใส่หลานสาวท่านชายใหญ่ “งั้นเธอก็กลับไปเล่นที่วังเลยไป จะแล่นมาเล่นที่นี่ทำไมกัน”
“ไปบอกคุณย่าสิคะ ว่าคุณไม่อยากให้ฉันมาเล่นที่นี่”
“เธอ!” แดนดินเรียกแล้วสะบัดหน้าเดินหนี ขืนไปบอกย่าแบบนั้น เขาก็ถูกย่าเฉดหัวออกไปเล่นที่อื่นแทนน่ะสิ!
“คุณย่าจะเริ่มทำนาเมื่อไหร่คะ หนูอุ่นขอช่วยทำได้ไหม”
คำขอในเช้าวันต่อมาของฤทัยรักษ์เล่นเอาหญิงชราทำช้อนข้าวหลุดมือ ถามกลับไปหน้าตาตื่นตะลึง
“เมื่อกี้หนูว่าอะไรนะ”
“หนูอุ่นอยากทำนา ขอทำนาด้วยคนได้ไหมคะ”
อดีตเลขาคุณชายนักธุรกิจทำเสียงหวานอ้อนขอคุณย่าคนใหม่ หญิงชรายังไม่ทันว่าอะไร แดนดินที่กลับมากินข้าวเช้าด้วยกันก็บอกปัดออกมาก่อน
“ไม่ได้!”
อยากทำนา?
คิดว่าง่ายเหมือนเล่นขายข้าวขายแกงหรือไงแม่คุณ!
“ย่าว่าหนูอยู่ช่วยพวกย่าทำอะไรๆ ที่เรือนดีกว่านะจ๊ะ” ย่าคำหอมบอกอย่างไม่เห็นดีด้วยเช่นกัน
“หนูอุ่นอยากลองทำนี่คะ มาถึงนาทองคำทั้งที ไม่ได้ทำนาก็เหมือนมาไม่ถึง”
แม่นมที่ถูกนับเป็นย่าแทนแล้วเห็นหน้าละห้อยๆ ของฤทัยรักษ์ก็ใจอ่อน อดช่วยพูดไม่ได้ “คนนี้เขาชอบทำอะไรที่นึกไม่ถึง ติดว่าชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรั้วในวัง ก็เลยไม่ค่อยได้มีโอกาสทำอะไรแบบนี้”
“จริงค่ะ ให้หนูอุ่นลองทำดูนะคะ”
“แต่ว่า...”
“นะคะคุณย่า” เธอทำเสียงอ่อนเสียงหวานออดอ้อน มันได้ผลเสนอเมื่อทำกับพี่ๆ ที่วัง
ย่าคำหอมมองน้องสาวอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรกับลูกอ้อนนี้ งานในทุ่งนามันไม่ใช่เรื่องที่สาวๆ จะทำได้ ถ้าไม่แกร่งพอ แล้วฤทัยรักษ์ก็แค่มาหลบซ่อนไม่นาน ท่านจะปล่อยให้ไปลุยงานหนักอย่างนั้นได้อย่างไรกัน “ย่าว่าทำงานอื่นไม่ดีกว่าเหรอจ๊ะ”
“โธ่! หนูอุ่นอยากทำนานี่คะ สมัยก่อนตอนที่ไปออกค่ายอาสาบนดอยแล้วต้องช่วยชาวเขาหว่านข้าว เพื่อนๆ ก็ไม่ยอมให้ทำ ตอนนี้คุณย่าก็จะไม่ให้หนูอุ่นทำอีกคนหรือคะ”
“แต่ย่าว่าไปทำงานช่วยพี่ดินในออฟฟิศน่าจะดีกว่านะ ไม่ต้องไปตากแดดตากลมในทุ่งด้วย”
“งานออฟฟิศ กลับไปหนูอุ่นก็ได้ทำอยู่แล้ว”
แดนดินเงยหน้าขึ้นจากชามข้าวมามองคนที่กำลังอ้อนวอนย่าของเขาด้วยสีหน้าละห้อยแวบหนึ่ง ก่อนจะบอกเสียงเรียบ “ถ้าอยากทำจริงๆ ฉันจะสอนเธอเอง”
“เจ้าดิน!”
“ก็น้องอยากทำ ย่าจะไปขัดทำไม ย่าแพงยังไม่ว่าอะไรสักคำ”
“คุณพี่ว่ายังไง น้องก็ว่าตามค่ะ” ย่าแพงของเขายิ้มเอ่ย
ย่าคำหอมถอนใจมองฤทัยรักษ์ที่ทำตาปริบๆ อ้อน สลับกับแดนดินที่นั่งทำหน้าเรียบอยู่
เอาเถอะ บางทีไปทำงานด้วยกันอาจจะทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น
“ถ้าอยากทำก็ให้พี่เขาช่วยสอนแล้วกันนะ”
“เย้ ขอบคุณนะคะคุณย่า”
ขณะที่ฤทัยรักษ์ฉีกยิ้มดีใจ ใครบางคนกลับแอบหัวเราะในใจ
คอยดูเถอะ เขาจะทำให้เธอแจ้นกลับไปเล่นที่วังเร็วๆ นี้เลย!
เหตุการณ์ถูกแตนยกพวกรุมต่อยครั้งนี้ทำให้คุณย่าคำหอมมีหวังเรื่องจับคู่ขึ้นมาเล็กน้อยระหว่างยืนรอใส่บาตรในเช้าวันถัดมา จึงสั่งให้ก้องหล้าแอบไปสืบความคืบหน้าระหว่างแดนดินกับฤทัยรักษ์อย่างใกล้ชิดแล้วเอามารายงานท่านในตอนเย็นทุกวัน เพิ่งจะสั่งเสร็จก็เห็นแดนดินกับฤทัยรักษ์เดินตามกันมาห่างๆ พอดี“อ้าว มากันแล้วเหรอ มาๆ พระท่านใกล้จะมาแล้วลูก” กวักมือเรียกไปก็แอบมองท่าทีเหลือบตามองกันของเด็กทั้งสองยิ้มๆ แกล้งทำเป็นถามก้องหล้า “เอ๊ะ! ดอกไม้อยู่ไหนล่ะเจ้าก้อง”“ดอกไม้? ยังไม่ได้ตัดเลยจ้ะ ก้องลืม” ก้องหล้าเกือบจะบอกว่ายายบัวกำลังเอาดอกไม้ไปล้าง ดีที่เห็นคุณย่าขยิบตาส่งสัญญาณก่อน“งั้นหนูอุ่นไปตัดให้จ้ะ/ดินไปตัดให้จ้ะ”คนอาสาพร้อมกันหันไปสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็เมินไปมองคนละทางก้องหล้าเห็นแล้วรีบเอ่ย “ไปช่วยกันเก็บสิจ๊ะ เดี๋ยวหลวงตาท่านจะมาแล้วนะ”คุณย่ายิ้มบอก “เอาดอกเข็มหอมมาก็ได้ เมื่อเช้าย่าเห็นออกดอกขาวเต็มต้นเลย”“ได้จ้ะ" แดนดินหมุนตัวเดินนำไปก่อนทันที สักพักจึงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา เมื่อเดินมาถึงต้นเข็มหอมหน้าบันไดเรือน เสียงที่เบาราวกับยุงบินก็ถามขึ้น“คุณเป็นยังไงบ้างคะ”“เป็นยังไ
เมื่อเดินเข้าไปในป่าได้ไม่นาน คนไม่เคยเก็บเห็ดก็เห็นแดนดินก้มๆ เงยๆ อยู่แถวต้นอะไรสักอย่างที่ใบใหญ่ยักษ์แต่ต้นสูงแค่เข่า เธอรีบเดินเข้าไปหาเพื่อดูหน้าตาของเห็ดที่เขามาเก็บ“นี่คือเห็ดเผาะ สุดยอดเห็ดในป่านี้”ฤทัยรักษ์กะพริบตามองเห็ดในมือแดนดินดีๆ มันมีลักษณะเป็นลูกสีขาวเท่าเหรียญสิบบาท ดูแล้วเหมือนไข่งูมากกว่าเห็ดอีก “คุณแน่ใจนะ ว่านั่นคือเห็ดเผาะ”“แน่ใจสิ ชาวบ้านแถบนี้เรียกมันว่าเห็ดเผาะ ทางเหนือเรียกว่าเห็ดถอบ มีเฉพาะช่วงต้นฤดูฝนแบบนี้ เอาไปแกงร้อนๆ อร่อยมาก เธอรีบมาเก็บช่วยกันเร็วๆ ถ้าคนอื่นมาถึง เราจะเก็บไม่ทันเขานะ”ท่าทางมองไปรอบๆ เหมือนกลัวคนจะโผล่มาแย่งเห็ดในป่าของเขาทำให้เธอพลอยตื่นเต้นไปด้วย รีบนั่งลงถาม “คุณก็บอกมาสิว่ามันขึ้นอยู่ตรงไหนยังไง ฉันจะได้ช่วยเก็บ”แดนดินชูกิ่งไม้ในมือให้ดูแล้วหันไปเปิดใบไม้ที่ทับถมเต็มพื้นออก “เขี่ยใบไม้ขึ้นแบบนี้นะ นี่ไงเห็ดเผาะ!”หญิงสาวชะโงกดูจุดสีขาวๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ใบไม้ที่เขาเขี่ยดูแล้วหาไม้มาเขี่ยใบไม้ที่พื้นใกล้ๆ ออกบ้าง พอเห็นจุดขาวๆ ขึ้นอยู่หลายจุดก็ร้องดีใจ “ตรงนี้ก็มีค่ะ!”“รีบเก็บแล้วเอามาใส่ถุงนี่” เสียงเข้มสั่งการพลางยกย่ามที่ทำจา
สุดท้ายฤทัยรักษ์ก็พยักหน้าให้แดนดินอย่างไม่มีทางเลือก“ดีมาก” เขายิ้มกริ่มปล่อยมือออกทันที พอเห็นปากเล็กทำท่าจะร้องเรียกคนก็เอ่ยเตือนทันที “ไม่ร้องหาคนช่วยสิ”“ไอ้บ้า! ฉันมาที่นี่เพราะมีปัญหาเรื่องเจ้าหนี้ของคุณชายกับคุณหญิงจริงๆ ไม่ได้ร่วมมือทำอะไรกับใครทั้งนั้นแหละ” ตะโกนบอกไปแล้วเธอก็ถอยหนีออกมาห่างๆ มือไม้ของเขาอย่างไม่ไว้ใจ“ถ้าเธอไม่มีแผนอะไรจริงๆ แล้วทำไมถึงไม่บอกไอ้คุณชายนายหัวนั่นว่าหนีอยู่ที่นี่ ทำไมต้องเก็บไว้เป็นความลับด้วย”“คนนิสัยไม่ดี แอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์!”“คนอื่นแหกปากพูดเสียขนาดนั้น ไม่แอบก็ได้ยิน”“ฉันไม่ได้มีแผนการอะไรจริงๆ พวกเราหนีมาอยู่ที่นี่เพราะกลัวเจ้าหนี้ตามมาทวงเงิน ถ้าบอกไปว่าพวกเราอยู่ที่นี่แล้วเขาเอาไปบอกเจ้าหนี้ให้ตามมาหาพวกเราที่นี่ก็แย่สิ” อันนี้เธอไม่ได้โกหกนะ ถ้าเกิดว่าหม่อมราชวงศ์หอมจันทร์รู้ว่าพวกเธอมาซ่อนอยู่ที่นี่ แม่คงแจ้นมาเอาเรื่องทันที โทษฐานไปสมรู้ร่วมคิดกับสองหนุ่มหักหลังคุณหญิงเธอ!แดนดินหรี่ตามองคนที่เถียงฉอดๆ เขามั่นใจว่าต้องมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังการมาของเธอ คิดแล้วก็เริ่มเดินวนรอบร่างเล็กช้าๆ “จะว่าไปแล้ว ฉันมีเบอร์โทรของไอ้คุณชา
“ฮึก...”ได้ยินคนติดต่อใครไม่ได้หลุดสะอื้นออกมาเบาๆ แดนดินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เอื้อมมือไปดึงโทรศัพท์มาถือไว้เองแล้วจ้องหน้าเธอนิ่ง“คุณจะทำอะไร เอาคืนมานะ!” ฤทัยรักษ์ตะปบตามโทรศัพท์ น้ำตาเม็ดใสที่เอ่อคลอในตอนแรกร่วงพราวลงมาเป็นสายทันทีที่มองสบตาวาววับเอาเรื่องของเขา“ร้องทำไม” พอเห็นน้ำตาเธอ เสียงเข้มก็อ่อนลงไม่รู้ตัว“เอาโทรศัพท์ให้ฉันเถอะค่ะ ฉันต้องโทรหาเขานะ”“เขาสำคัญกับเธอมากหรือไง ถึงได้เป็นห่วงขนาดนี้”“สำคัญมาก!”คำตอบที่ได้ทำเอาแดนดินขบกรามแน่น เขามองดวงตาที่วาวด้วยหยาดน้ำอยู่นาน กว่าจะยอมยื่นโทรศัพท์ให้ ยิ้มหยันผุดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาทันทีที่แม่ตัวดีหันหลังให้แล้ววุ่นวายกับการกดโทรหาใครสักคนอีกครั้งครั้งนี้ฤทัยรักษ์รอสายไม่นานก็มีคนรับ“คุณชายคะ!” เธอเรียกเสียงสั่นๆ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มหูของหม่อมราชวงศ์เอกตะวันดังมาในมือถือแดนดินที่เอียงหูฟังอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วนิ่วหน้าคิด คนในข่าวเป็นคุณชายแล้วยังเป็นนายหัวด้วยเหรอ?ฤทัยรักษ์ไม่สนใจว่าแดนดินจะแอบฟัง รีบบอกคุณชายหนุ่มให้ทราบว่าตัวเองเป็นใคร “หนูอุ่นเองนะคะ เกิดอะไรขึ้นที่เกาะเคียงจันทร์เหรอคะ หนูอุ่นเห็นข่าวนายหัวแล้ว
แดนดินมองดวงตาเบิกกว้างของแม่ตุ่นน้อยแล้วส่ายหน้า หันไปบอกเพื่อนเสียงเรียบ “อย่าสตอ”“ล้อเล่นแค่นี้ก็ต้องดุด้วย” สาวสวยบอกเสียงกลั้วหัวเราะ “แล้วมาที่ร้านทำไมคะ เพิ่งส่งเสื้อไปให้ที่เรือนเองนี่นา”“พาคนนี้มาซื้อเสื้อ” เขาดึงคนตัวเล็กออกมาแนะนำ “นี่หนูตุ่น หลานสาวของย่า”“คุณย่ามีนายเป็นหลานชายคนเดียวย่ะ อย่ามาตอแหลหน่อยเลย”คนที่กำลังจะแก้ชื่อตัวเองชะงัก เมื่อคนสวยสวนกลับแดนดินเหมือนรู้จักกันดีไปถึงไหนๆ“เออ หลานชายน่ะมีแค่คนเดียว คนนี้เป็นหลานสาวคนใหม่ที่เพิ่งมาอยู่ด้วยกันที่เรือน รู้จักกันไว้สิ”“อ้อ สวัสดีค่ะ พี่ชื่อสานะ ยินดีที่ได้รู้จัก”“สวัสดีค่ะ” ฤทัยรักษ์ยิ้มน้อยๆ ให้สาวที่น่าจะเป็นคนทำให้แดนดินเมินสาวที่คำหอมหามาให้ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะคะ พี่สาเรียกหนูว่าหนูอุ่นก็ได้ค่ะ”“ชื่อน่ารักจังเลยค่ะ” สาเอ่ยชมพลางมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสนใจ แดนดินพามาซื้อเสื้อเองแบบนี้ จะไม่ธรรมดาได้ไง ขนาดเสื้อผ้าของตัวมันเอง ยังโทรมาสั่งให้เธอเอาไปส่งให้แบบลวกๆ เลย“จะยืนจ้องกันอีกนานไหม จ้องไปจ้องมาเดี๋ยวได้ท้องกันพอดี”“ไอ้บ้า! คนนะ ไม่ใช่ปลากัด จะได้ท้องเพราะจ้องตากันน่ะ แล้วอีกอย่างฉันเป็
“ว่าไง บอกหน่อยสิ ทำไมเธอถึงงาบพี่ดินเป็นผัวได้ พูดแล้วก็เสียดาย ไม่รู้ว่าฉันไปเกิดใหม่อีกกี่ครั้งถึงจะได้เจอผู้ชายดีๆ แบบพี่ดิน”คุณย่าคำหอมได้ยินแล้วหัวเราะเบาๆ ถ้าแสดงออกมากกว่านี้ได้คงจะปรบมือชูนิ้วโป้งให้กับการโฆษณาหลานรักแบบสุดโต่งของเภรีไปแล้วหนูอุ่นได้ยินไหมเกิดสิบครั้งก็ไม่มีพี่ดินให้กินแบบนี้อีกนะลูก!ขณะที่ย่าคนพี่นึกชอบใจ ย่าคนน้องถึงกับตกอกครางออกมาเบาๆ กับความแรงของแม่เภรีสาว ส่วนฤทัยรักษ์นั้นหน้าเหยเกไปแล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการสักที เภรีก็ปรายตามองใบหน้าขาวไร้เครื่องสำอางจนเห็นเลือดฝาดจางๆ ของคนที่นุ่งผ้าซิ่นกับเสื้อยืดลายดอกไม้แวบหนึ่ง ก่อนจะสะบัดเสียงบอกอย่างปลงๆ “เอาเถอะ ไม่อยากบอกก็ช่าง ฉันแค่แวะมาดูเฉยๆ ถ้าพี่ดินชอบผู้หญิงหน้าจืดๆ แบบเธอ สวยๆ อย่างฉันก็ได้แต่ทำใจละ”“คุณคะ ฉันกับเขาไม่ได้....” ยังไม่ทันที่ฤทัยรักษ์จะแก้ไขความเข้าใจผิดให้ถูก อีกฝ่ายก็ตัดบทด้วยการพูดกับเจ้าของเรือนเสียงหวาน“วันนี้คงรบกวนเท่านี้แหละค่ะคุณย่า เภรีกลับแล้วนะคะ”หญิงชราพยักหน้าให้ยิ้มๆ “แล้วแวะมาอีกนะจ๊ะ”“ถ้ามีโอกาสเภรีจะแวะมาเยี่ยมอีกแน่นอนค่ะ”ยิ้







