รักลับสัมพันธ์สวาท
ตอนที่ 7
(พินัยกรรมชี้ขาด)
(นิโคลไล)
ยอมรับเลยว่าภาพของอารียาติดตาของผมไม่หาย ร่างกายที่เนียนละเอียดผุดผ่อง มันเหมือนกับผมถูกต้องมนตร์ไปชั่วขณะ แต่ต้องห้ามใจไม่ให้เผลอไผลไปมากกว่านี้ ทั้งที่อยากจะจับเธอขยี้ให้อยู่ใต้ร่าง แต่เธอไม่เหมือนอย่างใครที่ผมเคยนอนด้วย และอีกอย่างที่มันค้ำคอคือเธอเป็นเด็กในอุปการะของพ่อ ซึ่งมันคงจะล่อยาก แต่ถ้าหากว่าเธอทำให้ผมหัวร้อนไม่พอใจ มันอาจจะมีอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้...แต่เด็กอ่อนหัดอย่างอารียา คงไม่มีลีลาอะไรที่จะให้ผมสนใจมากกว่านี้หรอก
"ฮึ กูเป็นบ้าอะไรวะ" แล้วก็ทำผมหัวเราะคนเดียว กับการที่นึกถึงอารียาเด็กในอุปการะที่ผมเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก
"คุณอารียาเธอคงลงมาทานมื้อเย็นไม่ไหวนะครับ" ผมที่นั่งคิดเพลิน ๆ ต้องหยุดความคิดลง แล้วรอฟังเชรครายงาน
"อืม สภาพแบบนั้นคงมาไม่ไหวหรอก ให้แม่บ้านยกอาหารไปให้เธอด้วยแล้วกัน" ผมสั่งเชรคไปจากที่เห็นเธอลื่นล้ม ผมคงไม่ใจร้ายใจดำคะยั้นคะยอให้เธอลงมาหรอก...
"ครับ" เชรคตอบรับแล้วตั้งท่าจะเดินจากไป เพื่อทำตามคำสั่งของผม
"แล้วนายจะกินข้าวกับฉันก่อนกลับไหมล่ะ" ยังไม่ทันที่เชรคจะก้าวขาเดินผมก็ทักขึ้น วันนี้ผมรู้สึกว่ามันโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก ทุกเย็นจะมีเชรคทานข้าวเป็นเพื่อนเสมอ วันนี้ก็เลยลองถามที่จริงผมก็ถามแบบนี้ทุกวัน
ตั้งแต่ที่พ่อจากไปผมที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและเหงาหงอย ต้องคอยหาอะไรทำเพื่อไม่ให้มีเวลาว่างอยู่เพียงลำพังและคิดฟุ้งซ่าน
"ไม่ล่ะครับพอดีวันนี้ผมมีนัด ขอโทษด้วยนะครับที่วันนี้นายต้องทานมื้อเย็นคนเดียวไปก่อน" เชรคตอบวันนี้เป็นครั้งแรกในรอบปีเลยที่ผมได้ทานมื้อเย็นคนเดียว แต่บางครั้งผมก็ควรให้เชรคมีเวลาเป็นส่วนตัว เลยไม่เร้าหรืออะไร
"นัดสาวเหรอ" ผมย้อนถามพร้อมกับหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
"เรื่องของผมครับ" ดูมันตอบผมครับ แถมยังแสดงสีหน้าระรื่นเยาะเย้ยผมอีก
"ไอ้บ้านี่! ไปเลยไปจะไปไหนก็รีบไป" ผมโยนหนังสือที่อยู่ในมือใส่มัน ก็ดันมากวนตีนผมทั้งที่คนกำลังเหงา แต่เชรคมันดันรับไว้ทันแล้วอมยิ้มกับท่าทางที่ผมเป็น
"ผมขอตัวครับ อ้อ~ พรุ่งนี้มีนัดเจรจาเรื่องสัญญาซื้อขายกับทาง MD Solution ตอนสิบโมงเช้านะครับ"
"เออรู้แล้ว"
"ผมแค่ย้ำไว้กลัวนายลืมครับ"
"ไม่ลืมหรอก...รีบไปคนจะกินข้าว"
"ผมไปนะ ไม่ต้องคิดถึงผมนะครับแค่มื้อเดียวเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะมากินเป็นเพื่อน"
"ไอ้เชรค!"
จะไปก็ยังไม่วายก่อกวนทำให้ผมอารมณ์เสียหงุดหงิด ตอนนี้เชรคออกไปแล้วมีเพียงผมคนเดียวที่นั่งโดดเดี่ยวทานมื้อเย็นท่ามกลางอาหารหลายอย่างวางตรงหน้า โต๊ะก็กว้างที่ว่างก็เยอะโคตรเหงาเลยครับ ผมตักอาหารอย่างละเล็กละน้อยใส่จานเดียวกัน จากนั้นก็ถือเดินขึ้นไปยังชั้นสองมุ่งหน้าสู่ห้องนอนส่วนตัว แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาหยุดหน้าห้องของอารียาได้ ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะเอาเข้าไปกินดูหนังในห้องนอนของผม
"อะไรคะ?" ผมเปิดประตูเข้ามาด้านใน บรรจบเหมาะกับที่อารียากำลังตักข้าวเข้าปากพอดี เธอเงยหน้ามองมาทางผมแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้างง
"ไม่มีเพื่อนกินข้าวมันเหงา" ผมพูดบอกเธอไป จังหวะเดียวกับที่ถือจานข้าวไปนั่งข้างเธอ
"ทำไมไม่เรียกสาว ๆ ของคุณมาทานเป็นเพื่อนละคะ" อารียาว่าขึ้น เธอไม่ได้สนใจมองหน้าผมสักนิด นอกจากตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ เธอกินน่าเอร็ดอร่อยมากเลยครับ ผมได้มองเธอกินแล้วอมยิ้ม ไม่รู้สิว่าทำไมผมถึงมีอาการแบบนี้
"แล้วขาเป็นไงบ้าง" ผมเลือกที่จะไม่ตอบโต้คำแซวนั้นของเธอ เลยถามถึงอาการบาดเจ็บที่เธอเป็นแทน
"ก็เจ็บสิคะถามแปลก ๆ ลื่นล้มขนาดนั้นคงสบายดีมั้งคะ" เธอกลืนเข้าลงคอก่อนจะหันมามองหน้าผม แล้วตอบคำถามด้วยความยียวน เธอนี่มันปากไม่ธรรมดาจริง ๆ อารียา ถ้าไม่ติดว่าเจ็บตัวและผมมีความเป็นสุภาพบุรุษพอ ป่านนี้เธอไม่รอดเงื้อมมือของผมหรอก แม้ว่าจะเป็นเด็กในอุปถัมภ์ของพ่อก็ตาม
"ปากคุณนี่นะอารียา" ผมก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับเธอ เลยต้องหันหาเข้าหาจานข้าวแล้วตักเข้าปาก
"ทำไมคะ ปากของฉันมันไปหนักบนหัวของคุณหรือไง" ให้ตายเถอะผมไม่เคยเจอผู้หญิงแบบอารียาสักคนตั้งแต่เกิดมา เธอเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่กล้าต่อปากสาวความกับผมแบบนี้
"คุณควรจะเรียกผมว่าอา เพราะว่ายังไงผมก็เป็นลูกชายของคนที่อุปการะคุณ ยังไงต่อไปคุณก็ต้องเป็นเด็กในปกครองของผม เข้าใจไหมครับคุณหลานสาว"
"ทำไมต้องเรียกว่าอา เรียกกันแบบธรรมดาก็ได้ไหม อีกอย่างทำไมฉันถึงจะเป็นเด็กในปกครองของคุณด้วย" เธอวางช้อนแล้วหันมาถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางคงกำลังจะไม่พอใจในสิ่งที่ผมพูด
"เรียกอาแค่อยู่ในบ้านเท่านั้นแหละ ถ้าข้างนอกหรือในบริษัทต้องเรียกผมว่าท่านประธาน เพราะผมไม่อยากให้ใครรู้เหมือนกันว่าคุณเป็นคนในอุปการะ ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณต้องเป็นความลับรู้เอาไว้ซะด้วย" ผมตอบเธอ
"ฉันไม่เข้าใจกับการที่ต้องมาอยู่ในปกครองของคุณ ช่วยอธิบายมากกว่านี้ได้ไหมคะ?" อารียาเธอย้อนถาม ตอนนี้เธอไม่สนใจอาหารตรงหน้า แต่ว่าจ้องมองผมอย่างรอคำตอบ
"ไม่รู้...ในพินัยกรรมของพ่อบอกมาแบบนั้นและผมก็ต้องทำตาม" ผมบอกตามความจริงในสิ่งที่พ่อเขียนไว้
"คุณท่านไปไหน จะไม่มีวันมาอยู่ในปกครองของคนหื่นกามแบบคุณหรอก ฉันจะคุยกับคุณท่าน" อารียาเธอว่าขึ้นอย่างโมโห จ้องหน้าผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำไมเธอในอารมณ์นี้ถึงดูน่ากลัว ทั้งสีหน้าและท่าทางที่เธอแสดงออกมา
"งั้นเธอก็ต้องตายก่อนแหละ ถึงจะไปคุยกับพ่อได้" ผมหยัดตัวลุกยืนแล้วบอกเธอ ความสูงที่ผมมีมากกว่า ทำให้อารียาต้องเงยหน้ามองผม คิ้วของเธอขมวดเป็นปมด้วยความงุนงง ก็เธอยังไม่รู้ว่าพ่อของผมเสียไปหลายเดือนแล้ว
ผมก็ไม่ได้ส่งข่าวเพราะตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรเธอสักนิด มีแต่เชรคเป็นคนจัดการผมแค่เซ็นเช็คจ่ายเงินรายเดือนให้เธอแทนพ่อตลอดสามเดือนที่ผ่านมา และคำอวยพรในวันที่เธอจบการศึกษาผมก็ให้เชรคมันพิมพ์อีเมล์ไป เพราะเชรคมันบอกว่าพ่อมักจะมีคำอวยพรให้กับเธอเสมอในวันสำคัญ
"คุณหมายความว่ายังไง"
"พ่อเสียแล้วเมื่อสามเดือนก่อน"
ผมบอกไปแค่นั้นทำให้อารียาถึงกับนิ่งงันไปทันที เธอมองหน้าผมนิ่งชั่วครู่ ก่อนที่ผมจะเห็นน้ำสีใสในดวงตากลมนั้นที่กำลังรื้นขอบตาขึ้นมา จ้องหน้าผมด้วยแววตาที่สั่นระริก เหมือนกับว่าเธอกำลังช็อกในสิ่งที่รับรู้ ผมก้มมองมือของเธอกำแน่นและสั่นเทา นั่นทำเอาผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่มองเธอนิ่ง ๆ เช่นกัน...
บทส่งท้าย-มันคือรักที่ยากจะหวนกลับ(อารียา)เวลาผ่านไปหลายเดือน คนที่อยู่ในท้องก็เติบโตขึ้นตามกาลเวลา คำสัญญาที่คนแก่ของฉันเคยให้ไว้ ภาระหน้าที่การงานก็รีบเคลียร์แล้วพาฉันมาเที่ยว...("เรียบร้อยดีใช่ไหม? อืม แล้วนี่นายอยู่ที่บริษัทไหม?...งานที่บริษัทฝากนายด้วย เดี๋ยวสิ้นปีจะตบโบนัสให้อย่างงามเลย...มึงพูดให้มันเคลียร์ ๆ ดิเชรค... ไอ้เชรค!")ประโยคเหล่านี้ฉันนั่งฟังพร้อมกับรอยยิ้มในบางครา และแน่นอนว่าเขากำลังคุยกับเลขาคนสนิท ที่สามารถฝากฝังหน้าที่การงานได้ คำพูดที่หยาบโลนแต่แอบซ่อนด้วยความทะเล้น คนแก่ ๆ ที่ฉันเคยตราหน้าว่า เป็นเหมือนหมาที่เอาไม่เลิกฤดู สุดท้ายจนก็ต้องมาตกม้าตายและกลืนน้ำลายตัวเอง ซึ่งก็ไม่ต่างจากเขา ที่อดีตเคยลั่นไม่คิดจะเอาผู้หญิงอย่างฉันทำเมีย...เสมอกันทั้งฉันและเขาสายลมอ่อนพัดกระทบใบหน้า ทำให้ฉันรู้สึกดี มันสดชื่นจนยากจะบรรยาย ตอนนี้ฉันกลายเป็นคุณแม่ที่พร้อมดูแลลูกน้อยที่อยู่ในท้อง คนที่ไม่เคยเห็นหน้าแต่ว่าฉันกลับรักมากมาย แม้ถวายชีวิตฉันก็สามารถให้เขาได้ 'ลูก' เพียงเท่านั้นที่ฉันยอมและ และคนแก่ที่นั่งข้างฉันก็คงคิดและรู้สึกแบบเดียวกัน"อากาศเริ่มเย็นแล้วนะ""ขอนั่ง
(อารียา)หลังจากที่ฉันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนี้ก็กลับมาอยู่บ้านแล้ว เพราะอาการไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่คนแก่ของฉันก็แสดงความโอเวอร์เร้าหรืออยากให้อยู่ใกล้หมอต่อ ให้เหตุผลว่าอยากให้แน่ใจว่าฉันหายดีแล้วจริง ๆ จนฉันต้องเอาลูกที่ยังเท่าเม็ดถั่วมาอ้างว่าไม่ชอบกลิ่นโรงพยาบาล เขาถึงได้ยอมให้ฉันกลับมาพักที่บ้าน…เขามันเวอร์ทั้งที่ฉันปกติดีทุกอย่าง“ไม่ต้องประคองหรอก หนูเดินเองได้” ฉันบอกเขาในขณะที่เราสองคนกำลังเดินเข้าไปในตัวบ้าน“ไม่ได้หรอกเผื่อลื่นขึ้นมาจะทำยังไง อยู่ใกล้ ๆ แบบนี้มีอะไรจะได้รับไว้ทัน ทำไมหนูไม่เข้าใจอะ” เหตุผลคนแก่ที่ทำฉันต้องอมยิ้ม แม้บางทีจะดูงี่เง่าไปบ้างก็เถอะ“ก็ไม่อยากให้อาวุ่นวายไง แล้วนี่งานไม่เยอะเหรอถึงไม่เข้าบริษัท” หันไปถามเขา ทำเอาคนแก่ของฉันถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที“นี่ไล่ทางอ้อมใช่ไหม ทำไมอยู่ด้วยกันมันอึดอัดมากหรือไง ใช่สิคนอายุเยอะมันคงไม่กร้าวใจเหมือนคนหนุ่ม ๆ” มีโวยวายเบา ๆ อย่างกับน้อยใจ อะไรวิ่งเข้าหัวสมองทำให้เขาต้องมีอาการวัยรุ่นแบบนี้นะ ทำฉันกลั้นขำแทบไม่ไหวเลยทีเดียว“อะไรของคุณอากันคะเนี้ย หนูไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย แค่เป็นห่วงว่างานขอ
(นิโคลไล)“ว่าไงเชรค” โทรศัพท์มือถือดังขึ้นจนผมต้องหันไปสนใจ เป็นเชรคที่โทรเข้ามา ผมกลัวว่าอารียาจะตื่นหากคุยอยู่ตรงนั้น จึงเดินออกไปตรงระเบียง เพราะตอนนี้เธอกำลังนอนหลับสนิท“เรื่องที่นายให้ผมไปสืบได้ความแล้วครับ”“ว่ามา”“คุณไมค์กับคุณนาตาลีร่วมมือกันทำร้ายคุณอารียาจริง ๆ ครับ เขาเป็นลูกชายของมิสเตอร์ปาเวลที่ฆ่าตัวตาย หลังจากที่คุณนิคไปเทคโอเวอร์บริษัทนั้นมา แต่คุณไมค์ก็มีธุรกิจที่เรารู้กัน แต่จริงแล้วบริษัทที่พ่อเขาสร้างมากับมือเข้าสู่สภาวะวิกฤตเรื่องการเงิน เพื่อรักษาบริษัทนั้นไว้เขาจึงได้ยอมให้ทางเราเทคโอเวอร์” “ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขามีทายาทอีกคน”“คุณไมค์เป็นลูกภรรยาคนที่สองของมิสเตอร์ปาเวลครับ เขาและพ่อของเขาผูกพันกันมาก เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศได้ไม่นาน และผมคิดว่าการที่เขาเข้าใกล้คุณอารียาเพราะว่า.....”“คงเพราะคิดว่าฉันเป็นต้นเหตุให้พ่อเขาฆ่าตัวตายสินะ”“พ่อเขาเป็นคนขอให้คุณนิคช่วยซื้อบริษัทไว้ เพราะห่วงพนักงานกลัวว่าจะตกงานหากบริษัทปิดตัวลง จุดนี้ผมคิดว่าคุณไมค์คงไม่ทราบถึงเบื้องลึกเหล่านี้”สิ่งที่ผมมอบหมายให้เชรคไปตามสืบ เรื่องราวที่ผมเฝ้ารอ มันทำให้ผมหูผึ่งแ
(อารียา)ฉันตื่นนอนในยามเช้า ข้างเตียงไม่มีเขาที่เฝ้าฉันเมื่อคืน กวาดสายตามองหาจนพบว่าเขายืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียง เหมือนกับเลี่ยงไม่อยากให้ใครได้ยิน ไม่รู้ว่ากลัวจะรบกวนการนอนหลับของฉัน หรือมันมีเรื่องอะไรที่ปิดบังจนไม่อยากได้ฉันรับรู้ ฉันนอนมองแผ่นของเขาอย่างครุ่นคิด พร้อมกับทบทวนคำพูดและการอ้อนวอนของเขาที่พูดเมื่อคืน...ฉันควรเปิดใจและให้โอกาสเขาได้เป็นพ่อของลูกดีไหม?“ตื่นแล้วเหรอ...รู้สึกยังไงบ้าง ปวดหัวหรือรู้สึกไม่สบายตัวไหม?” เขาถามทันทีเมื่อเดินเข้ามาในห้องหลังจากที่วางสาย ถามรัวจนฉันตั้งตัวที่จะให้คำตอบไม่ทัน สีหน้าของเขาดูห่วงใยฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกดี แต่ก็ไม่รู้ว่าคนอย่างนิโคลไลจะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ไม่แน่ใจว่าเขาจะจริงจังหรือไม่ ฉันไม่อยากจะคาดหวังกับผู้ชายคนนี้เลย...กลัวผิดหวัง“ไม่เป็นอะไรแล้ว หนูโอเคตอนนี้อยากกลับบ้าน” ฉันบอกเขาในสิ่งที่ต้องการ ฉันไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาบาลเลยสักนิด“ให้หมอดูอาการอีกสักวันสองวันก่อนเถอะนะ จะได้มั่นใจว่าปลอดภัยแล้วจริง ๆ” เขาคะยั้นคะยอ พร้อมกับมือเอื้อมมาลูบหัวของฉันอย่างอ่อนโยน ฉันมองหน้าเขาอย่างสังเกต สายตาของเขามองฉันต่างไปจากเดิมใน
รักลับสัมพันธ์สวาทตอนที่ 59-ยอมทุกอย่าง“นายคิดจะทำอะไรกันไมค์ เข้าหาอารียาเพื่ออะไร” จากที่เชรคเล่าให้ฟัง ทำให้ผมนั่งคิดทวนคนเดียวอยู่ในห้อง มีเพียงความมืดสลัวที่อยู่เป็นเพื่อนตอนนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมนึกห่วงอารียามากกว่าเดิม ผมกลัวว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอจนได้รับอันตรายอีก ผมเดินออกมาตรงระเบียงห้องพักฟื้น ยืนมองทอดไกลไปอย่างไร้จุดหมาย สมองคิดเรื่องราวมากมายที่มันสามารถเชื่อมโยงกัน แต่นึกทวนยังไงผมก็นึกมันไม่ออก ตอนนี้โคตรกลุ้มเลยล่ะผมเดินกลับเข้ามาในห้องพักฟื้นของอารียา แล้วนั่งลงข้างเธอ ผมกุมมือของเธอไว้ แล้วจ้องมองใบหน้าของเธอในความมืดสลัว คิดกลัวและกังวลจนตอนนี้ผมรู้สึกนอนไม่หลับ ห่วงความปลอดภัยของเธอหากผมเผลอหลับไป แล้วใครแอบเข้ามาทำร้ายเธออีก“อา...” เสียงของอารียาที่แผ่วเบาเรียกผมจนต้องตื่นตัวหลุดจากภวังค์ความคิด ความเงียบทำให้ผมได้ยินเสียงของเธอที่แหบแห้งชัดเจน“หนูเป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม เดี๋ยวอาเรียกหมอให้” ผมรีบถามอาการของเธอทันที ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟหัวเตียงเพื่อให้มีแสงสว่าง“ลูกละคะปลอดภัยใช่ไหม?” เป็นคำถามแรกที่เธอเอ่ยขึ้น ไม่ได้นึก
รักลับสัมพันธ์สวาทตอนที่ 58 - กำจัด(ก็คุณพลาดเองช่วยไม่ได้ จะมาโทษผมได้ยังไง...นั่นมันเรื่องของคุณ ผมช่วยขนาดนี้แล้วยังไม่มีปัญญาจัดการ.....อืม ค่อยคิดอีกที และคุณก็ควรห่างการติดต่อผมสักพักด้วย...แค่นี้นะ)(เปิดทางให้แล้วยังโง่อีก) "เชรคนายจัดการเรื่องที่อารียาถูกทำร้ายให้เด็ดขาด ฉันไม่มีปล่อยให้อารียาเจ็บฟรีแน่" ผมเดินออกมานอกห้องพักของอารียาหลังจากที่เธอนอนหลับไปแล้ว สั่งการกับเชรคที่รออยู่ด้านนอก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ผมโมโหมาก และคงยากหากมันไม่ได้รับการคลี่คลายในแบบของผม ผมไม่ได้ใจร้ายหากใครไม่คิดทำลายผมหรือคนที่ผมรักก่อน"ครับนาย ผมจะรีบจัดการให้ทันที" เชรคตบปากรับคำ เป็นคนสนิทที่ผมไว้ใจมากและรักเหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่ง เราสองคนสนิทสนมกันมานานจนรู้ใจกัน"นาตาลีทำเกินไปและฉันจะไม่เอาไว้ให้รกหูรกตา ถ้าอยู่ไม่เป็นเย็นไม่ได้ก็อย่าคิดว่าจะได้มีที่ยืน...ฉันเอาจริง!!!" ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยิ่งนึกภาพที่อารียากำลังจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา มันยิ่งทำให้ผมโกรธเคือง หญิงหรือชายหากสร้างปัญหาให้ผมก็ไม่เอาไว้"ครับ” เชรคก้มหัวตอบรับคำสั่งของผมอย่างที่เขาเคยทำ“เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะอยู่เฝ้าอา