ไม่กี่วันก่อนจะต้องไปสอนพิเศษให้หนูลิลลี่ที่บ้านของอาชา เหมย มีนัดสำคัญที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติ เธอได้รับเชิญให้ไปออกบูธพบปะแฟนคลับในงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ
"พี่เหมยคะเดี๋ยวจะมีแฟนคลับมาขอลายเซ็นหนังสือพี่เหมยนั่งรอตรงนี้นะเดี๋ยวตุ๊กตาจะไปเตรียมของมาให้พี่อยากได้อะไรบอกตุ๊กตานะคะน้องรีเซฟชั่นคนที่คอยเคลียร์ทุกอย่างให้กับเหมยเป็นคนน่ารักมากชื่อตุ๊กตาวิ่งทำโน่นทำนี่ไม่หยุด ขอบใจมากจ้ะตุ๊กตาเดี๋ยวถ้าพี่อยากได้อะไรพี่บอกนะหลังจากนั้นไม่นานเหล่าบรรดาแฟนคลับก็เริ่มทยอยมาพูดคุยและขอลายเซ็นจากเหมย หลังจากที่นวนิยายเล่มล่าสุดของเธอได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม บรรยากาศภายในงานคึกคักไปด้วยผู้คน เหมย ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ที่บูธของเธอ แจกลายเซ็นและพูดคุยกับแฟนๆ อย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาที่เธอต้องพักเข้าห้องน้ำ เหมย เดินออกมาจากบูธ สองมือถือแก้วกาแฟเย็นที่เพิ่งซื้อมาอย่างเร่งรีบ เพราะเธอรู้ว่ามีแฟนคลับจำนวนมากรออยู่ที่บูธ เธอพยายามเดินหลบหลีกฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่ แต่แล้ว... "โอ๊ะ!" เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกับแรงปะทะ ร่างของเหมยเซถลาไปข้างหน้า แก้วกาแฟในมือหลุดลอยและสาดกระเด็นไปโดนเสื้อเชิ้ตสีขาวของชายหนุ่มร่างสูงที่เธอเดินชนเข้าอย่างจัง "ขอโทษค่ะ! ขอโทษจริงๆ ค่ะ!" เหมย เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ ใบหน้าหวานซึ้งแดงก่ำด้วยความรู้สึกผิด เธอกำลังจะเอื้อมมือไปช่วยปัดคราบกาแฟ แต่สายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับดวงตาคมกริบคู่หนึ่ง ชายหนุ่มตรงหน้ามีใบหน้าที่หล่อเหลาราวเทพบุตร โครงหน้าคมสันรับกับจมูกโด่งและริมฝีปากหยักได้รูป ดวงตาคู่นั้นดูนิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยประกายบางอย่างที่ทำให้เหมยรู้สึกใจเต้นผิดจังหวะ เขาคือเมฆินทร์ ผู้ที่ไม่เคยรู้จักคำว่า 'บังเอิญ' ในชีวิต จนกระทั่งวินาทีนี้ที่กาแฟเย็นๆ สาดลงบนเสื้อของเขา ดวงตาของเมฆินทร์จับจ้องไปที่ดวงตาคู่สวยของเหมยตั้งแต่แรกเห็น ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง ที่ทำให้เขามองเธอไม่วางตา เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ในใจของเมฆินทร์เกิดความรู้สึกประหลาดที่ตีรวนกันระหว่างความหงุดหงิดที่เสื้อเปื้อนกับความพึงพอใจที่ได้สบตากับผู้หญิงคนนี้ "ผมไม่เป็นไรครับ" เมฆินทร์เอ่ยเสียงเรียบ แต่แววตาของเขายังคงไม่ละไปจากเหมย "คุณต่างหากที่ดูตกใจ" เหมยได้สติกลับมาอีกครั้ง "ขอโทษจริงๆ นะคะ คือฉันรีบไปหน่อยเลยไม่ทันระวัง" เธอรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาของเขาที่มองมา "เสื้อคุณเปื้อนหมดเลย..." เมฆินทร์ยกมือขึ้นปัดคราบกาแฟเล็กน้อย "ไม่เป็นไรหรอกครับ" เขาพยายามซ่อนรอยยิ้มที่กำลังจะผุดขึ้นบนใบหน้า เขารู้สึกทึ่งกับความงดงามและท่าทางที่ดูไร้เดียงสาของเธออย่างประหลาด ความรู้สึกชอบแล่นขึ้นมาในใจตั้งแต่แรกเห็น ราวกับว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เขารอคอยมานานแสนนาน "ฉันขออนุญาตไปหาผ้ามาเช็ดให้นะคะ หรือจะให้ฉันซักให้ดีไหมคะ" เหมยเสนอด้วยความเป็นห่วง "ไม่เป็นไรครับ" เมฆินทร์ปฏิเสธ "ผมจัดการเองได้" เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังใช้ความคิด ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าปกติ "คุณ...มางานหนังสือเหรอครับ" เหมยพยักหน้าเล็กน้อย "ค่ะ ฉันมีบูธอยู่ที่นี่" "อย่างนั้นเหรอครับ" เมฆินทร์เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาพยายามเก็บอาการที่กำลังตื่นเต้นเอาไว้ "บังเอิญจังเลยนะครับ" ทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางฝูงชนที่เดินสวนกันไปมา ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่กำลังสบตากัน ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเมฆินทร์ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน บรรยากาศรอบตัวกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อเหมยเริ่มรู้สึกว่ายืนคุยกับคนแปลกหน้ากลางทางเดินนานเกินไปแล้ว เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเล็กน้อย ก็พบว่าต้องรีบกลับไปที่บูธแล้ว "ฉันขอตัวก่อนนะคะ ต้องรีบกลับไปที่บูธแล้วค่ะ" เหมยพูดด้วยรอยยิ้มอย่างเกรงใจ เมฆินทร์พยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจกลับคิดหาวิธีรั้งเธอไว้ เขาไม่อยากให้โอกาสนี้หลุดลอยไปง่ายๆ "บูธไหนครับ เผื่อผมจะแวะไปเยี่ยมชม" เมฆินทร์ถามขึ้นทันควัน น้ำเสียงของเขาดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเมื่อครู่ เหมยลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนมีมารยาทและดูเป็นสุภาพบุรุษ "อยู่โซน C ค่ะ บูธ B-102 ค่ะ" "ขอบคุณครับ" เมฆินทร์ตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เหมยจนกระทั่งเธอเดินลับหายไปในฝูงชน เมื่อเหมยจากไปแล้ว เมฆินทร์ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาเหลือบมองรอยกาแฟบนเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเอง ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย เขารู้สึกประทับใจในตัวเหมยตั้งแต่แรกเห็น ทั้งความน่ารักสดใส ความขี้เกรงใจ และแววตาที่จริงใจของเธอ ทำให้เมฆินทร์รู้สึกราวกับว่าเธอดึงดูดเขาอย่างประหลาด ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อนนี้ ทำให้เขามั่นใจว่าเขาจะต้องทำความรู้จักผู้หญิงคนนี้ให้ได้ เมฆินทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา ถังลี่ มือขวาคนสนิททันที "ถังลี่ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน" เสียงของเมฆินทร์ฟังดูจริงจัง "อยู่บริษัทครับนาย มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ" ถังลี่ตอบรับทันที "นายไปที่งานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์ฯเดี๋ยวนี้" เมฆินทร์ออกคำสั่ง "ไปที่โซน C บูธ B-102 แล้วสืบข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของบูธมาให้ละเอียดที่สุด เท่าที่นายจะทำได้" "ครับนาย" ถังลี่รับคำสั่งอย่างเคร่งครัด แม้จะงงเล็กน้อยว่าทำไมนายของเขาถึงได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ไม่นานหลังจากนั้น ถังลี่ก็เดินทางมาถึงศูนย์ประชุมฯ สิริกิติ์ตามคำสั่งของเมฆินทร์ เขามุ่งตรงไปยังโซน C บูธ B-102 ทันที เมื่อมาถึง ถังลี่เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังแจกลายเซ็นให้กับแฟนคลับจำนวนมาก เธอมีใบหน้าสวยหวาน และรอยยิ้มที่สดใส ถังลี่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเหมยไว้หลายรูป พร้อมกับพยายามสังเกตการณ์และเก็บข้อมูลเท่าที่จะทำได้ ทั้งชื่อเสียงของหนังสือ แนวงานเขียน และปฏิกิริยาของแฟนคลับที่มีต่อเธอ หลังจากการสังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ ถังลี่ก็ปลีกตัวออกมาจากบูธของเหมย เพื่อโทรรายงานเมฆินทร์ "นายครับ ผมได้ข้อมูลมาบางส่วนแล้วครับ" ถังลี่รายงาน "ผู้หญิงคนนั้นชื่อเหมย เป็นนักเขียนนวนิยายแนวโรแมนติกแฟนตาซีครับ หนังสือของเธอดังมาก และได้รับความนิยมสูง มีแฟนคลับเยอะมากครับ" เมฆินทร์ฟังรายงานของถังลี่ด้วยความสนใจ ใบหน้าของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก "ดีมากถังลี่" เมฆินทร์เอ่ยชม "นายสืบเพิ่มเติมเรื่องส่วนตัวของเธอด้วย ว่าเธอมีครอบครัวหรือยัง มีคนรักไหม ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ" "ครับนาย ผมจะจัดการให้เร็วที่สุด" ถังลี่รับคำสั่ง เขารู้ดีว่าเมื่อนายของเขาสนใจอะไรเป็นพิเศษ จะต้องทำให้ถึงที่สุด หลังจากวางสายจากถังลี่ เมฆินทร์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่างของห้องทำงาน เขามองออกไปนอกเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงสี จิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เรื่องธุรกิจอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยภาพใบหน้าของเหมย "เหมย..." เมฆินทร์พึมพำชื่อของเธอเบาๆ ความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้จักกำลังเบ่งบานในใจของเขา เขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องได้ผู้หญิงคนนี้มาครอบครอง ไม่ว่าจะด้ววิธีไหนก็ตาม หลังจากที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นจากถังลี่ เมฆินทร์ก็เริ่มวางแผนการเข้าหาเหมยอย่างแยบยล เขาไม่ใช่คนที่จะบุ่มบ่ามเข้าหาใครตรงๆ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกสนใจได้มากขนาดนี้ เมฆินทร์ต้องการให้ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติที่สุด ราวกับว่าโชคชะตาเป็นใจให้พวกเขาได้พบกันอีกครั้ง วันรุ่งขึ้น เมฆินทร์สั่งให้ถังลี่จัดการซื้อหนังสือนวนิยายทุกเล่มของเหมยมาให้เขา พร้อมกับหาข้อมูลเกี่ยวกับงานเขียนของเธออย่างละเอียด เขาใช้เวลาช่วงเย็นอ่านนวนิยายของเหมยอย่างตั้งใจ เขาพบว่างานเขียนของเธอมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างประหลาด เต็มไปด้วยจินตนาการและความรู้สึกที่อ่อนโยน ซึ่งแตกต่างจากโลกที่เขาใช้ชีวิตอยู่โดยสิ้นเชิง ยิ่งอ่าน เขาก็ยิ่งรู้สึกทึ่งในตัวเธอ และความสนใจก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น "นายครับข้อมูลเบื้องต้นคุณเหมยได้ไปมาหาสู่กับอาชาเจ้าของไร่ชาพรหมเทพและได้ข่าวว่ากำลังจะกลายเป็นครูสอนพิเศษประจำตัวของหลานสาวของนายอาชาครับทางลี่รีบอธิบายให้กับเมฆินทร์ฟังอย่างละเอียด เมื่อเมฆินทร์รู้ว่าเหมยกำลังจะไปสอนพิเศษให้หนูลิลลี่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งเป็นจังหวะที่เขาตั้งใจจะใช้เป็นโอกาสในการพบกับเธออีกครั้ง "ดีกูก็อยากจะไปเที่ยวคาเฟ่ของไร่ชาพรหมเทพสักหน่อย" เมฆินทร์มีจุดประสงค์อยากจะไปหาเหมยไม่ได้คิดว่าจะต้องไปเหยียบตีนของใคร เขาต้องการสร้างสถานการณ์ที่ดูเหมือนบังเอิญ เพื่อให้เหมยรู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยกับเขา "แต่ว่านายครับมันจะดีหรอเราไปเหยียบถิ่นของมันเลยนะ"ถังลี่พูดด้วยความเป็นห่วง "เตรียมคนให้พร้อม กูก็แค่อยากจะไปเที่ยวคาเฟ่ แล้วไปหาเพื่อนเก่าอย่างไอ้อาชา หวังว่ามันคงต้อนรับกูอย่างดี" เมฆินทร์ก็อยากจะท้าทายอำนาจของอาชาเช่นกันในเมื่อเป็นโอกาสดีที่จะได้ทั้งผู้หญิงและเหยียบหน้าศัตรูมีหรอว่าเมฆินทร์เขาจะไม่ทำ.....เมฆินทร์ที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะมาหาอาชาเพื่อดื่มด่ำกับไร่ชาที่คาเฟ่ วันนี้เขาก็ได้ก้าวเข้ามาในไร่ชาของอาชาจริง ๆ บรรยากาศยามบ่ายคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาถ่ายรูปและเซลฟี่ รถเข้าออกวันละไม่ต่ำกว่า 40-50 คัน"ที่นี่เหรอวะ ถังลี่ ไร่ชาพรหมเทพ? บรรยากาศก็ดูดีใช้ได้เลยนะ" เมฆินทร์ที่มาพร้อมกับถังลี่ บอดี้การ์ดคู่ใจเอ่ยขึ้น เขากล้าหาญและเด็ดเดี่ยว เดิมทีตั้งใจจะนำบอดี้การ์ดมาด้วยหลายคน แต่ไม่อยากให้ผู้คนแตกตื่น จึงเลือกมากับถังลี่เพียงสองคน"ใช่ครับนาย ที่นี่แหละไร่ชาของพรหมเทพ" ถังลี่ยืนประกบอยู่ด้านหลัง"งั้นมึงสั่งกาแฟกับชามาให้กูอย่างละแก้ว วันนี้กูก็อยากกินขนมหวานด้วย เผื่อจะได้ปะทะกับเจ้าของคาเฟ่" คำพูดของเมฆินทร์ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่เขาเตรียมพร้อมจะปะทะคืออาชา เพราะวันนี้เขากล้ามาเหยียบถึงถิ่นบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ที่เห็นว่าศัตรูมาเหยียบถึงถิ่นก็รีบเข้าไปรายงานเสือ เพื่อให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล เพราะวันนี้มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ"พี่เสือ ไอ้เมฆินทร์มันมาพร้อมกับลูกน้องคนนึง" บอดี้การ์ดชุดดำรีบวิ่งเข้ามาบอก"จัดคนของเราเฝ้ารอบ ๆ อย่าให้มีปัญหา เดี๋ยวไปกูเ
ไม่กี่วันก่อนจะต้องไปสอนพิเศษให้หนูลิลลี่ที่บ้านของอาชา เหมย มีนัดสำคัญที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติ เธอได้รับเชิญให้ไปออกบูธพบปะแฟนคลับในงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ "พี่เหมยคะเดี๋ยวจะมีแฟนคลับมาขอลายเซ็นหนังสือพี่เหมยนั่งรอตรงนี้นะเดี๋ยวตุ๊กตาจะไปเตรียมของมาให้พี่อยากได้อะไรบอกตุ๊กตานะคะน้องรีเซฟชั่นคนที่คอยเคลียร์ทุกอย่างให้กับเหมยเป็นคนน่ารักมากชื่อตุ๊กตาวิ่งทำโน่นทำนี่ไม่หยุดขอบใจมากจ้ะตุ๊กตาเดี๋ยวถ้าพี่อยากได้อะไรพี่บอกนะหลังจากนั้นไม่นานเหล่าบรรดาแฟนคลับก็เริ่มทยอยมาพูดคุยและขอลายเซ็นจากเหมยหลังจากที่นวนิยายเล่มล่าสุดของเธอได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม บรรยากาศภายในงานคึกคักไปด้วยผู้คน เหมย ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ที่บูธของเธอ แจกลายเซ็นและพูดคุยกับแฟนๆ อย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาที่เธอต้องพักเข้าห้องน้ำเหมย เดินออกมาจากบูธ สองมือถือแก้วกาแฟเย็นที่เพิ่งซื้อมาอย่างเร่งรีบ เพราะเธอรู้ว่ามีแฟนคลับจำนวนมากรออยู่ที่บูธ เธอพยายามเดินหลบหลีกฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่ แต่แล้ว..."โอ๊ะ!"เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกับแรงปะทะ ร่างของเห
ผ่านไปไม่นานผลงานของเสือก็ออกฤทธิ์ เพราะนายธวัชชัยโทรตามให้ธงไปดูเครื่องซีลชาในไร่ทันที เพราะถ้าหากไปช้าอาจจะทำให้เครื่องมีปัญหาหนัก“ฮัลโหลครับคุณธวัชชัย” นายธงรีบรับโทรศัพท์“คุณธงอยู่ไหนครับเนี่ย ผมให้เด็กไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ พอดีเครื่องซีลมีปัญหาน่าจะต้องรีบเข้ามาดูเลย” ธวัชชัยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ตอนนี้เลยเหรอครับ แต่นี่มันนอกเวลางานแล้วนะครับคุณธวัชชัย” ธงรีบปฏิเสธ“ผมเข้าใจครับ แต่เราเป็นช่างรีแพร์ ช่างซ่อมบำรุง ต่อให้นอกเวลางาน หากเครื่องมีปัญหาเราก็ต้องจัดการทันที อย่าให้มันลุกลามครับ นั่นเป็นหน้าที่ของเรา” สิ่งที่ธวัชชัยพูดทั้งหมดเกิดขึ้นจริง ทำให้ธงเถียงไม่ออก เพราะด้วยเงินเดือนที่มากเป็นแสนๆ ของเขา หมายถึงต้องแลกมาซึ่งเวลาชีวิตและพร้อมสแตนด์บายตลอดเวลาในการทำงาน“ก็ได้ครับ อีกครึ่งชั่วโมงผมจะไปถึง” ธงวางสายจบก็เตรียมจะร่ำลาพ่อแม่ของเหมย เขารู้สึกโกรธมากที่ครั้งนี้อาชาก็ทำกับเขาแบบเดิม“พ่อกับแม่ ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีงานเร่งด่วนเข้ามา” ธงพูดจบก็ยกมือไหว้พ่อแม่ของเหมยแล้วขับรถออกจากไร่ไปทันทีเสือที่เห็นดังนั้นก็ถ่ายรูปขณะที่ธงกำลังขับรถออกไปส่งไปให้กับอาชาเพื
เหมยที่กำลังจัดสวนดอกไม้เล็กๆ หลังบ้านอยู่กับหนูน้อยลิลลี่ ทั้งสองคนช่วยกันลงกล้าดอกไม้ ผลัดกันรดน้ำอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะคึกคักดังไปเกือบถึงหน้าบ้าน"คุณครูขา อันนี้สวยมากเลยค่ะ สีขาวนี่ดอกอะไรคะ" หนูน้อยลิลลี่ชี้ไปที่ดอกไม้สีขาวชนิดหนึ่งที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล"อันนี้เรียกว่ามะลิซ้อนจ้ะ มันจะผลิบานและส่งกลิ่นหอมมากๆ ยิ่งเวลาเช้าก็จะยิ่งผลิบาน พอแดดออกก็จะบานมากไปอีก" เหมยหันมาตอบลิลลี่ผู้น่ารักอย่างเอ็นดูลิลลี่เดินตรงไปที่แปลงดอกมะลิซ้อนแล้วเด็ดมาดอกหนึ่ง พร้อมกับเดินมาหาเหมยที่กำลังก้มๆ เงยๆ เอาดินใส่กระถางเพื่อเตรียมต้นกล้าดอกกุหลาบ"ทำอะไรคะลิลลี่" เหมยหยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นถามหนูน้อยผู้น่ารัก"ลิลลี่จะเอาดอกไม้ใส่ไว้ที่ผมของคุณครูค่ะ จะได้สวย แล้วคุณครูก็จะได้มีกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ด้วย" ลิลลี่พูดกับเหมยอย่าง น่ารัก"โถ ลิลลี่จ๋า" เหมยอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ จึงรับดอกไม้จากมืออวบอูมเล็กของลิลลี่ เอาดอกมะลิมาเหน็บไว้ข้างหู ไม่อยากให้ลิลลี่ต้องเสียใจ"สวยไหมคะ" เหมยยิ้มแล้วหันมาถามลิลลี่"สวยมากเลยค่ะคุณครูขา ลิลลี่ขอเอา 1 ดอกได้ไหมคะ ใส่หูแบบคุณครูค่ะ" ลิลลี่เงยหน้าขออนุญาตเหมย"ได้ค
ทางด้านเมฆินทร์ ศัตรูตัวฉกาจของธุรกิจมหาวิทยาลัยของอาชา พ่อของเมฆินทร์คือคนที่พยายามฟ้องร้องพ่อของอาชาเมื่อหลายสิบปีก่อนจนครอบครัวแทบล้มละลาย แต่เมื่อพ่อของอาชาสู้มาจนถึงวินาทีสุดท้ายก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองและมหาวิทยาลัยจึงรอดพ้นคำครหา และได้ฟ้องกลับพ่อของเมฆินทร์หลายพันล้านบาทที่จะต้องจ่ายสำหรับมูลค่าความเสียหายและชื่อเสียงที่เสียไป สรุปว่าพ่อของอาชาชนะในคดีฟ้องร้องครั้งนี้ ทำให้พ่อของเมฆินทร์ต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินพันล้านบาทเพื่อชดใช้ให้กับมหาวิทยาลัยของพ่ออาชา"สักวันหนึ่ง กูจะต้องทำให้ครอบครัวของมึงต้องพังพินาศอีกครั้ง"นายอนันทชัยคนที่พยายามล้มครอบครัวของอาชาได้ทำการสาปแช่งขณะที่ได้ฟังคำตัดสินจากศาลยุติธรรม"มีอยู่ต่อหน้าศาลนะคุณอนันทชัยกรุณาสำรวมด้วย"เมื่อผู้พิพากษาได้ทำการเคาะไม้และแถลงการณ์คำตัดสินออกมาพ่อของอาชาเพียงแค่เดินออกจากศาลด้วยความสง่างามและจากวันนั้นเป็นต้นมาจึงเป็นเหตุทำให้พ่อของเมฆินทร์โกรธแค้นและสอนให้เมฆินทร์โกรธแค้นตระกูลของอาชา ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร เมฆินทร์มักจะพยายามตัดหน้าและช่วงชิงความเป็นหนึ่งในธุรกิจนั้นเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน โครงการขยายมหาว
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้อาชาตัดใจจากดารินอย่างเด็ดขาด แม้กระทั่งวันที่เขาใช่ไมเคิลขับรถมาที่อพาร์ทเม้นท์เดิม อาชาเดินมา บอกลาดาริน เธอก็ยังแสดงท่าทีรังเกียจใส่เขายิ่งกว่าไส้เดิมกิ้งกือ"ดารินครับ ผมเคารพการตัดสินใจของคุณนะ ผมแค่จะมาลาคุณเท่านั้น" แม้อาชาจะถูกสวมเขา แต่ในขณะนั้นหัวใจของเขากลับหลงรักผู้หญิงไม่ดีอย่างดารินไปแล้ว"ไปเถอะค่ะ! ไปแล้วไม่ต้องกลับมานะ! หวังว่าคุณจะโชคดี!" ดารินพูดจบก็ปิดประตูใส่หน้าอาชาอย่างไม่ใยดีอาชาลากกระเป๋าเดินออกจากอพาร์ตเมนต์แห่งนั้น ขึ้นเครื่องบินกลับไทยทันที ขณะอยู่บนเครื่อง เขาก็เปิดโหมดเครื่องบินไว้ จึงไม่ได้อ่านข้อความที่แม่ส่งมาให้"อาชา ลูกกลับมาบ้านเราได้แล้วนะ! เราชนะคดีความทุกข้อกล่าวหาไม่มีมูลความจริง ส่วนคนที่ฟ้องร้องคุณพ่อก็โดนคุณพ่อฟ้องกลับ ตอนนี้ทางนั้นคงหนักไม่น้อย ทุกอย่างกลับมาเป็นของเราแล้วนะ" แม่ของอาชาส่งข้อความมาในมือถือกระทั่งอาชากลับมาเหยียบแผ่นดินไทยและเปิดโทรศัพท์ ข้อความนับสิบข้อความก็เด้งขึ้นมา เขาจึงเลือกเปิดอ่านข้อความที่สำคัญที่สุดนั่นคือข้อความจากครอบครัวเมื่อเขาเปิดอ่านข้อความที่แม่ส่งมา เขาก็ร้องไห้โฮ เขาไม่รู้เลยว่าพ