หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายบนชายหาด อาชาพาเหมยและคุณพ่อคุณแม่ของเขากลับมาที่โรงแรมเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะนัดแนะไปดินเนอร์กันที่ร้านอาหารริมทะเลในตอนค่ำ บรรยากาศของร้านเต็มไปด้วยความโรแมนติก แสงไฟจากโคมไฟระยิบระยับสะท้อนผิวน้ำทะเลที่มืดสนิท อาชาจับมือเหมยไว้แน่นตลอดเวลาที่เดินไปที่โต๊ะ ราวกับจะย้ำเตือนกับทุกคนว่าเธอคือคนของเขา
"คุณแม่คะ เหมยขอโทษนะคะที่ทำให้วุ่นวาย" เหมยพูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิด คุณหญิงวสุธรยิ้มอย่างอ่อนโยน "ไม่เป็นไรหรอกหนูเหมย แม่รู้ว่าหนูไม่ได้ตั้งใจ" ท่านหันไปมองหน้าลูกชายที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ "แต่ตาชานี่สิ...นิสัยไม่ดีเลย!" อาชาได้แต่ทำหน้ามุ่ย ไม่ได้เถียงอะไรออกมา แต่ก็ยังคงกุมมือเหมยไว้ไม่ปล่อย ตลอดมื้ออาหาร อาชาคอยตักอาหารให้เหมยและดูแลเธอไม่ห่างสายตา คุณบุญรอดและคุณหญิงวสุธรที่เห็นภาพนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุข หลังจากทานอาหารเสร็จ อาชาชวนเหมยไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืน เหมยตื่นเต้นมาก เพราะเธอไม่เคยมาเที่ยวตลาดกลางคืนที่พัทยามาก่อน อาชาจูงมือเธอเดินชมร้านค้าต่าง ๆ มากมาย ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า และร้านอาหารข้างทาง ขณะที่ทั้งคู่กำลังเลือกซื้อของที่ระลึกอยู่ เหมยก็รู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองเธออยู่ เธอหันไปมองรอบ ๆ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้ชายคนเดิมที่เข้ามาขอเบอร์เธอเมื่อช่วงบ่าย เขายืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา พร้อมกับส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ เหมยรีบจับแขนอาชาไว้แน่น แล้วกระซิบข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "พี่อาชาคะ...คนนั้นอีกแล้วค่ะ" อาชาหันไปมองตามสายตาของเหมย แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาโอบไหล่เหมยเข้ามาใกล้ แล้วออกปากไล่ชายหนุ่มคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด "นี่คุณ! ผมขอร้องให้คุณเลิกยุ่งกับแฟนผมได้แล้วนะครับ" แต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับหัวเราะในลำคอ พร้อมกับก้าวเข้ามาหาพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัว "ทำไมล่ะครับคุณ...ผมแค่มาทักทายเฉย ๆ" "ผมว่าคุณควรไปให้พ้นจากที่นี่ ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน" อาชาพูดเสียงต่ำ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธ เหล่าบรรดาบอดี้การ์ดที่เดินรายล้อมรอบตัวของอาชาเตรียมพร้อมเข้าชาร์จอาชามักจะบอกให้ทุกคนทำตัวเป็นธรรมชาติไม่ใส่ชุดดำตลอดเวลาแต่ไม่ได้แปลว่าไม่ปกป้องครอบครัวของเขาเสือที่มองเหตุการณ์อยู่ห่างๆก็จับมือไปที่ปลายกระบอกปืนที่เหน็บอยู่หลังเอวในชุดเสื้อโปโล เสือส่งสัญญาณพยักหน้าให้ทุกคนราวกับเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อเจ้านายของตัวเองถูกรบกวนทุกคนหันมองหน้ากันในทิศทางที่ไม่ไกลนักบอดี้การ์ดนับ 10 คนเตรียมจู่โจม ชายหนุ่มทำเป็นไม่สนใจคำเตือนของอาชา แล้วหันไปพูดกับเหมยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน "ผมชื่อเวสตินครับคุณ...แล้วคุณล่ะชื่ออะไร" เหมยอึ้งไปเล็กน้อย ไม่ทันได้ตอบอะไร อาชาก็ชกหน้าชายหนุ่มคนนั้นเข้าอย่างจังจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็หยุดยืนดูเหตุการณ์อย่างตกใจ "กูบอกให้คุณไปให้พ้น!" อาชาคำรามเสียงลั่น เวสตินยลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ แล้วเดินเข้ามาจะต่อยอาชาคืน แต่ก็มีชายฉกรรจ์สองสามคนวิ่งเข้ามาจับตัวเขาไว้ก่อน "คุณเวสติน...คุณโอเคไหมครับ" หนึ่งในชายฉกรรจ์ถามแล้วหันมามองอาชาเตรียมจะทำร้ายอาชาเช่นกันแปลว่าผู้ชายตรงหน้าคนนี้ก็ไม่ธรรมดาที่มีบอดี้การ์ด 2-3 คนรายล้อมส่วนบอดี้การ์ดของอาชาทุกคนก็เตรียมพร้อมที่จะบวกเช่นกัน เวสตินสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันมาจ้องหน้าอาชาด้วยความแค้นเคือง "มึง!...มึงเป็นใครวะ" อาชาโอบไหล่เหมยไว้แน่น แล้วพูดเสียงดังฟังชัด "กูเป็นใครไม่สำคัญ แต่มึงกำลังมายุ่งกับคนของกูไปซะ"อาชาหันไปสบตาของเสือที่มือกำลังสัมผัสปลายกระบอกปืน ในขณะที่ลูกน้องของเวสตินพุ่งตัวเข้าหาอาชาอย่างรวดเร็ว เหมยก็รู้สึกถึงแรงดึงที่กระชากเธอให้หลบไปอยู่ด้านหลังอย่างกะทันหัน "เหมยอยู่ข้างหลังพี่" เสียงของอาชาดังขึ้นพร้อมฃกับร่างสูงใหญ่ที่กางแขนออกเพื่อปกป้องเธอไว้ ทันใดนั้น บอดี้การ์ดของอาชากว่าสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดราวกับภูตผี ทุกคนแต่งกายในชุดลำลอง แต่สายตาของพวกเขาเฉียบคมและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มือของแต่ละคนกำด้ามปืนที่เหน็บอยู่หลังเอวไว้อย่างมั่นคง เหล่าลูกน้องของเวสตินที่กำลังจะเข้าถึงตัวอาชาถึงกับชะงักกึก สีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันทีที่เห็นอาวุธที่จ่อมาที่พวกเขา เวสตินที่ยืนอยู่ด้านหลังมองภาพนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าคนธรรมดาที่ไหนจะพกบอดี้การ์ดติดตัวเป็นโขยงขนาดนี้ "ถอยไป!" เวสตินสั่งลูกน้องเสียงหลง ลูกน้องของเวสตินต่างยกมือขึ้นยอมแพ้แล้วถอยหลังไปยืนบังเจ้านายของตัวเองไว้ทันที บรรยากาศที่เคยตึงเครียดกลับกลายเป็นความเงียบสงัด มีเพียงเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนที่จับกลุ่มดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ อาชาลดแขนลงแล้วหันไปหาเวสตินที่หน้าถอดสี "ถ้ากูเห็นหน้ามึงอีกครั้ง...มึงไม่รอดแน่" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก เวสตินที่ไม่มีทางเลือก ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความแค้นแล้วรีบเดินจากไปพร้อมกับลูกน้องของเขา เวสตินตอนเป็นลูกคนรวยมีเงินแล้วมาอาศัยอยู่เมืองไทยเป็นระยะเวลา 4-5 ปีจึงมักจะทำตัวกร่างแถวสถานที่ท่องเที่ยวแม้จะโดนตำรวจจับหลายครั้งก็ประกันตัวออกมาได้แต่ครั้งนี้เขาเจอคนจริงที่เหนือกว่าเขาหลายสิบเท่า เขาจึงเลือกที่จะไม่ปะทะไม่งั้นคงเหลือแต่ลมหายใจ ทันทีที่เวสตินลับสายตาไป เหมยก็ทรุดตัวลงด้วยความตกใจและหวาดกลัว อาชาโอบกอดเธอไว้แน่น แล้วลูบหลังเธอเบา ๆ อย่างปลอบโยน "ไม่เป็นไรแล้วนะเหมย พี่อยู่ตรงนี้" "พี่อาชา...เขาเป็นใครคะ" เหมยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วครับ เดี๋ยวพี่จะจัดการเอง" อาชาตอบเสียงนุ่มแล้วจูบหน้าผากเธอเบา ๆ หลังจากเหตุการณ์วุ่นวาย อาชาตัดสินใจพาเหมยกลับโรงแรมทันทีเพื่อความปลอดภัย เขาไม่ต้องการให้เธอต้องเผชิญหน้ากับอันตรายอีก เมื่อกลับมาถึงห้องพัก อาชาไม่พูดอะไร แต่เขาก็ยังคงกอดเธอไว้แน่น ราวกับว่าไม่อยากให้เธอจากไปไหน เหมยเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความรู้สึกผิด "เหมยขอโทษนะคะพี่อาชาที่ทำให้วุ่นวายอีกแล้ว" "เหมยไม่ต้องขอโทษ พี่เต็มใจที่จะปกป้องเหมย" "แต่ว่า...เรื่องเมื่อกี้มัน..." "ชู่ว์...เหมยไม่ต้องคิดมากนะครับ" อาชาพูดแล้วจูบเธออย่างอ่อนโยน เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งหมดก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ อาชาพาเหมยมาส่งที่บ้าน ก่อนจะไปสนามบินเพื่อไปต่างประเทศอย่างที่ตั้งใจไว้ "เหมยจะรอพี่กลับมานะคะ" อาชายิ้มแล้วก้มลงจูบเธออีกครั้ง "แล้วพี่จะรีบกลับมาหาเหมยให้เร็วที่สุด" หลังจากส่งอาชากลับไป เหมยก็รู้สึกใจหายอย่างประหลาด ความรักของเหมยและอาชาเหมือนจะดีขึ้นแล้ว แต่เธอก็ยังคงกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง..วันเวลาเดินเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วก็เข้าปีที่ 3 เด็กๆโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกันเหมยที่ทำหน้าที่ดูแลลูกและหนูน้อยลิลลี่ในเวลาเดียวกันเธอทำทุกอย่างออกมาได้ดีมีแม่บ้านคอยช่วยเหลือบ้างเพราะเธอเองก็ยังทำงานที่เธอรักทำอะไรแต่เช้าครับขณะที่อยู่บนเตียงกว้างกับสามีสุดที่รักอย่างอาชาเขาที่ตื่นมาเห็นหน้าเหมือนเป็นคนแรกในทุกๆวันเช่นนี้เสมอ"กำลังคิดเรื่องพร็อพนิยายใหม่นะคะเดี๋ยวว่าจะแวะเข้าไปที่ไร่ชาสักอาทิตย์หน้าเผื่อไปหาบรรยากาศเปลี่ยนโหมดการทำงานหน่อย"เหมยยิ้มกว้างขณะที่นั่งอยู่บนเตียงหลังจากที่เธอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ"ก็ดีสิครับ จะได้เปลี่ยนบรรยากาศด้วยตอนนี้ที่ร้านมีขนมใหม่ ๆ เยอะเลยนะ ผมก็อยากให้เหมยไปดูเหมือนกัน" อาชาส่งยิ้มแล้วก็ขยับมานอนบนตักของเหมยด้วยท่าทีออดอ้อนแม้จะแต่งงานกันมาเข้าปีที่ 3 แล้วเหยียบปีที่ 4 ทั้งคู่ก็ยังคงความหวานใส่กันและกันเสมออาชาไม่เคยรักเหมยน้อยลงเช่นเดียวกับเหมยที่ไม่เคยรักอาชาน้อยลงเลย"อาทิตย์นี้เห็นหนูน้อยลิลลี่ของเรากับอคินจะไปบ้านของคุณย่าน้ำฟ้านะคะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ เหมยจะมารับเอง เห็นว่าบ่นคิดถึงหลาน ๆ" เหมยใช้มือลูบไปตามกลุ่มผมของอาชาแล้วก็ส่งยิ้มอา
แสงไฟสลัว ๆ ที่โถงทางเดินของโรงพยาบาลส่องให้เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนและนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ ทุกคนในที่นั้นต่างมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและความหวังปะปนกันไป มีทั้งคุณหญิงวสุธรและคุณบุญรอด ผู้เป็นพ่อและแม่ของอาชา, คุณแม่น้ำฟ้าและคุณพ่อบุญทอง พ่อแม่ของเหมย, และหนูน้อยลิลลี่ ลูกสาววัย 5 ขวบเศษที่มาเฝ้ารอน้องชายคนใหม่ของเธออาชาเดินวนไปมาไม่หยุด เขากุมมือแน่นจนเหงื่อออกซึม ดวงตาจับจ้องไปที่ประตูห้องคลอดอย่างไม่คลาดสายตา ทุก ๆ นาทีที่ผ่านไปเหมือนเป็นชั่วโมงอันยาวนานสำหรับเขาคุณหญิงวสุธรลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางวางมือบนบ่าของลูกชาย "ใจเย็น ๆ เถอะลูก เหมยเขาเข้มแข็งจะตาย"คุณบุญรอดเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้หนักแน่น "นั่นสิอาชา เราทุกคนอยู่ที่นี่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูก"พ่อของอาชาตกไปที่บ่าของลูกชายเพื่อเป็นกำลังใจเพราะเขาก็เคยผ่านช่วงเวลานี้ในวันที่อาชาได้คลอดออกมาลืมตาดูโลกเช่นกัน"ครับพ่อ" อาชาหันไปตอบแต่ก็ไม่สามารถลดละสีหน้าความเป็นกังวลที่เป็นห่วงเหมยและลูกในท้องที่กำลังรออยู่ในห้องคลอดได้เลยส่วนอีกฟากหนึ่ง คุณพ่อบุญทองก็โอบกอดคุณแม่น้ำฟ้าไว้แน่น คุณแม่น้ำ
ตัดภาพมาที่ทางด้านอาชากับเหมยที่เดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่นในเวลาที่แตกต่างจากไทยทั้งสองมาถึงในวันที่หิมะเริ่มตกพอดีและเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ตกหนักมากจนเกินไปทำให้เธอได้มองเห็นบรรยากาศที่สวยงามเกินคำบรรยายราวกับออกมาจากเทพนิยายสองร่างก้าวเท้าออกมาจากสนามบินชินชิโตเซะสู่โลกที่ปกคลุมไปด้วยความขาวบริสุทธิ์ของหิมะ เหมยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่บริสุทธิ์จนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง เธอหันไปมองอาชาที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆ“สวยจังเลยค่ะพี่อาชา เหมือนความฝันเลย” เหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความตื่นเต้นอาชาโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูเธอ “นี่ไม่ใช่ความฝันครับ มันคือโลกแห่งความจริงที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป”เมื่อมาถึงโรงแรม ทั้งสองก็ไม่รอช้าที่จะออกไปสำรวจเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เหมยกับอาชาจูงมือกันเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ ผู้คนต่างแต่งกายด้วยชุดกันหนาวสีสันสดใส ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นเหมยไม่เคยรู้สึกมีความสุขเท่านี้มาก่อนในชีวิต เธอได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้แสดงความรู้สึกอย่างท
เสือยืนนิ่งอึ้งในห้องเก็บของที่มืดสลัว ความรู้สึกทั้งประหลาดใจ สับสน และตื่นเต้นปะปนกันไปหมด ริมฝีปากของเขายังคงรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาแต่ร้อนแรงของเจสซี่ หัวใจเต้นรัวราวกับกลองศึก“คุณเจสซี่...นี่คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!” เสือหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหม่า เขาพยายามผลักดันเจสซี่ออก แต่เธอกลับยิ่งกอดเขาไว้แน่นเจสซี่หัวเราะเบาๆ “ก็เจสซี่บอกแล้วไงคะ ว่าเจสซี่จะทวนความจำให้เสือ” เธอกระซิบข้างหูเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วตอนนี้เสือจำได้หรือยังคะ ว่าใครเป็นคนทำแบบนี้กับเสือ”เสือหลับตาลงอย่างอ่อนใจ เขาพยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มี “คุณเจสซี่ครับ ปล่อยผมเถอะครับ” น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ “มันไม่ถูกต้อง”“ไม่ถูกต้องตรงไหนคะ” เจสซี่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “หรือเสือคิดว่าเจสซี่ไม่ดีพอ? เจสซี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้แย่นะคะ”“คุณดีเกินไปครับ” เสือสวนกลับทันควัน เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ เจสซี่เป็นผู้หญิงที่สวย ฉลาด และมาจากครอบครัวดีๆ . เขาเป็นแค่บอดี้การ์ด...เป็นได้เพียงแค่เงา ที่ไม่ควรมีตัวตนในชีวิตของใคร“เสือไม่ต้องมาหาข้ออ้างเลย” เจสซี่สวนกลับอย่างรู้ทัน “เจสซี่รู้ว่าเสือไม่ได้รังเกียจเจส
สามเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหกเลิกและงานแต่งของเหมยและอาชาก็มาถึง เพื่อนสาวอย่างเจสซี่บินตรงมาจากออสเตรเลียรวมถึงพราวที่ขับรถจากเชียงรายเพื่อมาหาเพื่อนรักในวันพิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นท่ามกลางแขกในงานมากหน้าหลายตาเสือและเหล่าบอดี้การ์ดทุกคนเข้าประจำจุดด้วยความพร้อมเพียงวันนี้บอดี้การ์ดของอาชาสวมใส่เสื้อทักซิโด้สีขาวแทนสีดำทำให้บรรยากาศยิ่งดูสดใสขึ้นไปอีกเท่าตัวนึงส่วนเหมยที่ได้สวมใส่ชุดเจ้าสาวแบบฝรั่งโดยมีเพื่อนสาวอย่างเจสซี่เป็นผู้ออกแบบและตัดเย็บเองกับมือเธอภูมิใจในไม้แขวนชุดนี้เหลือเกินเพราะคนที่เป็นไม้แขวนเสื้อตัวนี้ก็คือเหมยเพื่อนสาวที่เธอรักที่สุดพิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นสไตล์ฝรั่งและมีบาทหลวงมากล่าวคำพิธีมงคลต่างๆขณะที่อาชายืนรอเหมยให้เดินออกมากับพ่อบุญทองเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะเหมยไม่เคยลองชุดเจ้าสาวให้เขาเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียวเธอบอกว่าเป็นความลับเหมยในชุดเกาะอกสีขาวโชว์ให้เห็นคองามระหงชุดถุงมือสีขาวบางลายลูกไม้ผ้าคลุมผมเหมือนดั่งเจ้าหญิงชุดฟูฟ่องเล็กน้อยไม่ได้ดูมากไปและน้อยเกินไปต่างหูไข่มุกถูกประดับลงบนใบหูทั้งสองข้างสร้อยไข่มุกและตรงกลางฝังด้วยเพชรขนาด สิบห้ากะรัตดูไม่เ
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาเข้าไปในห้องนอน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยของเหมย ลอยมาแตะจมูก ยิ่งทำให้ใจที่คิดถึงแทบขาดของอาชาเต้นรัวแรง เขาปิดประตูอย่างเบามือที่สุดแล้วเดินตรงไปยังเตียงกว้างอย่างเงียบเชียบดวงตาคมกริบไล่มองร่างเล็กที่นอนขดอยู่ภายใต้ผ้าห่มสีขาวสะอาดตา แสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงส่องกระทบใบหน้าหวานที่กำลังหลับใหล อย่างเป็นสุข เรียวปากบางอิ่มที่เผยอยิ้มเล็กน้อยในยามหลับใหลแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังมีความสุขในห้วงฝัน อาชากลัวเหลือเกินว่าถ้าหากไม่ใช่เขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่เป็นชายอื่นที่ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเธอ เหมยจะเป็นอย่างไรความคิดเหล่านั้นทำให้แววตาของอาชาเต็มไปด้วยความหวงแหนและหึงหวง เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบผมยาวสลวยที่กระจัดกระจายอยู่บนหมอนอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเลื่อนปลายนิ้วไล้ไปตามโครงหน้าหวาน ไล่ลงมาตามลำคอระหง อาชาโน้มตัวลงไปกระซิบเสียงแผ่วข้างหูของเธอ "คิดถึงนะครับ...คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว"คำกระซิบแผ่วเบาคล้ายจะปลุกให้เหมยรู้สึกตัว เธอขยับตัวเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ แสงสลั