หลังจากร่ำลาเหมยแล้ว อาชา และ เสือ ก็เดินทางไปสิงคโปร์ทันทีเพื่อพบกับ มิสเตอร์จาง และทำสัญญาเรื่องการเปิดมหาวิทยาลัยที่เขากำลังจะช่วงชิง โดยไปถึงก่อนเวลาที่กำหนด
แต่ใครจะรู้ว่า เมฆินทร์ และ ถังลี่ ก็เฝ้าจับตาดูอาชาไม่ห่างเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอาชามีเที่ยวบินไปสิงคโปร์ ทั้งสองคนก็บินตามไปทันที พร้อมกับเตรียมเอกสารที่ดินสำหรับมอบให้กับมิสเตอร์จาง เพื่อจะได้ทำการค้าและเปิดมหาวิทยาลัยตามที่คาดหวัง "นายครับ เอกสารของเราทั้งหมดพร้อมแล้ว เหลือแค่ไปพบมิสเตอร์จางแล้วยื่นข้อเสนอเรื่องที่ดินที่มีรัฐเตรียมตัดถนนผ่านเส้นนี้ครับ" ถังลี่ซึ่งอยู่บนเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวกับเมฆินทร์ผู้เป็นนาย ได้เตรียมตัวมาอย่างดีเช่นกัน "ทำดีมาก เพราะฉันก็อยากจะดวลศึกครั้งนี้ให้มันแหลกกันไปข้างหนึ่ง ฉันคงยอมไม่ได้ถ้าต้องเสียดีลใหญ่ในครั้งนี้" เมฆินทร์ยังคงอาฆาตแค้นอาชาเรื่องที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องสูญเสียเงินหลายพันล้านบาทเมื่อนานมาแล้ว เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของทั้งสองคนลงจอดในเวลาห่างกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง อาชาและเสือมาถึงก็เข้าพักที่โรงแรมทันที ส่วนใน วันรุ่งขึ้นก็เตรียมตัวที่จะพบกับมิสเตอร์จาง "นายว่าเราจะชนะคุณเมฆินทร์หรือเปล่าครับ" เสือหันมาถามด้วยความหนักใจ เพราะอาชาไม่มีทรัพย์สินที่จะไปสู้ได้เลย "ของขวัญที่ฉันเตรียมมา นายก็เป็นคนเตรียมมากับฉันไม่ใช่เหรอเสือ แล้วนายจะกังวลอะไร" คำพูดของอาชาทำให้เสือมั่นใจว่าครั้งนี้นายของเขาจะชนะแน่นอน "ครับนาย" เช้าวันรุ่งขึ้น มิสเตอร์จางก็เปิดให้ทั้งสองฝ่ายเข้ามาพบที่บริษัทในสิงคโปร์แห่งหนึ่ง ตลอดสองข้างทางที่เดินเข้าไป ผู้คนมากมายต่างจับจ้องผู้บริหารหนุ่มทั้งสองคนเป็นตาเดียว ทั้งรังสีความหล่อและความนิ่งขรึมของทั้งสอง ทำให้เหล่าสาวๆ กรี๊ดกร๊าดกันแทบไม่ขาดสาย "ฉันไม่คิดว่าแกจะมาเร็วขนาดนี้นะเมฆินทร์" อาชาหันไปทักทายเมฆินทร์ที่เดินเคียงคู่มา เพราะเขารู้แล้วว่าเมฆินทร์ได้ส่งคนมาติดตามชีวิตเขาและเหมยอย่างไม่ห่าง "มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วครับคุณอาชา ในเมื่อเราจะทำการค้าธุรกิจ ศัตรูฝั่งตรงข้ามทำยังไง เราก็ต้องตามให้ทันสักก้าวหนึ่ง หรืออาจจะวิ่งนำหน้าไปสักก้าวหนึ่ง" เมฆินทร์ยังคงหยิ่งผยองเพราะคิดว่าตนมีของดีในมือเช่นกัน "งั้นฉันก็ขอให้แกโชคดีแล้วกันนะ" อาชาก็เดินไปที่ล็อบบี้ ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันเพื่อรอให้มิสเตอร์จางออกจากการประชุมเพียง 15 นาที และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง มิสเตอร์จางเดินออกมาด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย ชายวัย 65 ปีที่ยังคงทำงานด้วยความทุ่มเท เขาเดินมาแล้วจ้องมองชายหนุ่มทั้งสองที่อยากจะร่วมลงทุนด้วย "พวกคุณมีของดีอะไรที่จะมาเสนอผม" คำแรกที่มิสเตอร์จางถามไม่ใช่คำทักทาย แต่เป็นการถามหาผลประโยชน์ที่จะมานำเสนอเขา "งั้นผมขอก่อนแล้วกันนะครับคุณอาชา" เมฆินทร์หันไปพูดแล้วยกยิ้ม ถังลี่ที่เดินเข้ามาอย่างรู้หน้าที่เตรียมโฉนดที่ดินที่เขาได้ทำการกว้านซื้อเอาไว้ เพราะจะมีการตัดผ่านของรัฐบาลในการทำถนน เขาจึงอยากจะเสนอให้สร้างมหาวิทยาลัยที่นี่เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทาง "ผมชอบข้อเสนอคุณนะ คุณเมฆินทร์" มิสเตอร์จางพูดจากใจจริง เขาก็พอได้ข่าวมาบ้างว่าจะมีการตัดถนนเส้นนั้น แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกว้านซื้อที่ดินทั้งหมดไป เพราะคนที่กว้านซื้อใช้ชื่อนิรนามและไม่มีใครสืบพบเจอ มิสเตอร์จางถึงกับยกยิ้มในความเก่งกาจของเมฆินทร์ "แล้วคุณล่ะ คุณอาชา มีอะไรมาเสนอผมในการเซ็นสัญญาครั้งนี้" มิสเตอร์จางหันไปจ้องหน้าอาชาด้วยคำถามมากมาย อาชาเหมือนคนที่มาตัวเปล่า "ผมขออนุญาตเชิญผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ผมคิดว่า มิสเตอร์จางอยากจะรู้จักเธอและตามหาเธอมานานแล้วนะครับ" อาชาพยักหน้าให้เสือพาผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามา พอผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามา มิสเตอร์จางถึงกับน้ำตาเอ่อคลอ เขาถอดแว่นแล้ววางไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนและเดินไปหาผู้หญิงคนนั้นด้วยท่าทีสั่นเทา "อาป๋วย...ลูกป๊า...ใช่...จริงๆ ใช่ไหม" มิสเตอร์จางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เด็กผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าแล้วน้ำตาไหลริน โผเข้ากอดมิสเตอร์จางไว้แน่น "อาป๋วย...ลูกป๊า..." มิสเตอร์จางเรียกเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วโผกอดกันทั้งน้ำตา "คุณรู้ได้ยังไงว่าผมตามหาเธออยู่" มิสเตอร์จางหันมามองหน้าอาชาเป็นคำถามมากมายที่อยากจะถามออกไป เขาตามหาเด็กผู้หญิงคนนี้มาครึ่งชีวิต ผู้หญิงที่เป็นลูกสาวและทายาทเพียงคนเดียวของเขาที่เมื่อหลายสิบปีก่อนภรรยาของเขาพาลูกสาวคนนี้หนีไปจากเมืองจีนและขาดการติดต่อกันไป "เอาเป็นว่าผมรู้ได้ยังไงไม่เป็นไรครับ แต่ผมคิดว่าของขวัญชิ้นนี้พิเศษและมีค่าที่สุดที่คุณจะร่วมลงทุนกับผมได้" อาชาหันไปมองหน้าเมฆินทร์ เขาเองนั้นไม่ได้อยากจะสร้างศัตรูอีกต่อไป เมฆินทร์เองก็ถึงกับอึ้งในความสามารถของอาชา และอาชาก็ได้หันกลับไปบอกกับเมฆินทร์บางอย่าง "ที่ดินที่นายกว้านซื้อมาทั้งหมดมันไม่มีความหมายเลยเพื่อน สิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็คือข่าวเรื่องการตัดถนนของรัฐบาลไม่เป็นความจริง ฉันไปสืบมาโดยการใช้เส้นสายภายในของคุณพ่อฉัน แล้วก็ปล่อยข่าวนี้เป็นข่าวลือและข่าวโคมลอยเท่านั้น" อาชาหันไปบอกเมฆินทร์ที่ต้องสูญเสียเงินไม่รู้เท่าไหร่ในการกว้านซื้อที่ดินที่ยังด้อยพัฒนา "แก! ไม่จริง แกโกหก" เมฆินทร์หันมาตวาดลั่นด้วยท่าทีโมโห แววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธเคือง อยากจะเอาชีวิตของอาชาให้ได้ตรงนี้ "อย่าพูดอย่างนั้นสิ รักษามารยาทหน่อย เราอยู่ต่อหน้าคู่ค้า" อาชาหันไปยกยิ้มราวกับผู้มีชัย "ผมตกลงจะทำการค้ากับคุณ คุณเมฆินทร์ ส่วนเรื่องลูกสาวผม ผมขอบคุณและไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร" มิสเตอร์จางหันมาแล้วบอกกับอาชาด้วยท่าทีขึงขัง เขาพยุงลูกสาวให้มานั่งอยู่เคียงข้างบนโซฟาขนาดใหญ่ใจกลางห้องประชุม "ขอบคุณครับที่ไว้ใจ และผมได้ฝากใบตรวจดีเอ็นเอพร้อมกับใบเกิดและใบรับรองบุตรของคุณอาป๋วยไว้ตรงนั้นครับ" อาชาพยักหน้าให้เสือนำทุกอย่างที่เป็นเอกสารหลักฐานที่เขาได้เตรียมมายื่นให้กับมิสเตอร์จาง "ขอบคุณมากนะคุณอาชา" มิสเตอร์จางเดินเข้าไปจับมืออาชาด้วยท่าทีขึงขังและรู้สึกขอบคุณจากใจจริง เขาตามหาลูกสาวคนนี้มาตลอดทั้งชีวิตและคิดว่าไม่มีโอกาสจะได้เจอกันอีกแล้ว เมฆินทร์ทั้งโมโหและรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก เขาได้บอกให้ถังลี่รีบไปตรวจสอบเรื่องที่ดินอีกครั้งโดยกดส่งข้อความไปในมือถือ ถังลี่ที่ได้รับข้อความนั้นจึงรีบเดินออกจากห้องแล้วโทรหาลูกน้องที่ประสานงานทั้งหมดทันทีที่ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นเจ้านาย แต่แล้ว "แต่ว่าในครั้งนี้ผมอาจจะปฏิเสธการเซ็นสัญญา เพราะผมคิดว่าคุณเมฆินทร์เหมาะสมกว่าที่จะทำสัญญาครับ" อยู่ดีๆ อาชาก็พูดขึ้น แม้แต่เสือเองก็คาดไม่ถึงว่าผู้เป็นนายจะตัดสินใจพูดอะไรแบบนี้ออกมา เมฆินทร์ที่ได้ฟังคำพูดของอาชาก็ไม่เชื่อ คิดว่าตนนั้นหูฝาด เขาหันมาจ้องหน้าอาชาด้วยท่าทีแววตาและสีหน้าที่เปลี่ยนไป "ทำไม!?" เมฆินทร์หันมาถามเพียงคำถามนั้น "ทำไมล่ะครับคุณอาชา หรือว่ามีอะไรที่ผมไม่ดีพอที่คุณจะร่วมทำธุรกิจกับผม" เสือเองก็หันมาถามด้วยคำถามที่เมฆินทร์ก็อยากจะถามเช่นกัน "ผมคิดว่ากิจการภายในครอบครัวของผมตอนนี้มันมั่นคงและไม่ต้องการความก้าวหน้าไปมากกว่านี้แล้ว ผมอยากได้มิตรภาพมากกว่าศัตรู" พูดจบอาชาก็หันไปยกมือทำท่าเหมือนเช็กแฮนด์กับเมฆินทร์ที่กำลังนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ แต่เขาก็ยื่นมือออกมารับมิตรภาพที่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่การเสแสร้งของอาชา "ฉันหวังว่านายจะดูแลดีลนี้ได้ดีกว่าฉัน" อาชาหันมาพูดกับเมฆินทร์ "นายพูดจริงๆ เหรอ" เมฆินทร์ตั้งคำถาม "เราสู้กันมามากพอแล้ว และฉันไม่อยากจะสร้างศัตรูอีกต่อไป ฉันกำลังจะสร้างครอบครัวกับเหมย" อาชาหันมาบอกเมฆินทร์ด้วยท่าทีที่จริงจัง "หมายความว่ายังไง" เมฆินทร์ที่หมายปองเหมยแม้จะรู้ว่าความสัมพันธ์ของเหมยกับอาชาไปไกล แต่ก็ไม่คิดว่าจะไกลถึงขั้นได้แต่งงาน "ฉันกำลังจะแต่งงานกับเธอ และอยากจะขอให้นายมาร่วมงานด้วย มันไม่ใช่เป็นการเย้ยหยัน แต่มันคือการแสดงความจริงใจ" อาชายอมเสียดีลที่ดีที่สุดของปีมูลค่าหลายพันล้านบาท และสร้างมิตรภาพกับเมฆินทร์ "ขอบใจนะ" เมฆินทร์เอ่ยคำขอบคุณออกมา สถานการณ์ดูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง "ฉันอยากให้แกมาเป็นน้องชายของฉัน" อาชาหันมาพูดพร้อมกับยกยิ้ม "แน่นอนพี่ชาย" เมฆินทร์หันไปพูดแล้วก็เกิดความคลี่คลายผ่อนคลายขึ้นในห้องประชุมแห่งนั้น การเซ็นสัญญาผ่านไปได้ด้วยดีและมีแต่เรื่องราวดีๆ เมฆินทร์กลับมาด้วยความภาคภูมิใจ และเมื่อเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าของอาชาหน้าบริษัทที่ทั้งสองเดินเข้าไปด้วยความเป็นศัตรูแต่กลับออกมาด้วยความสัมพันธ์ที่ดี "ผมหวังว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันตลอดไปนะครับ" เมฆินทร์พูด "ฉันจะเป็นพี่ชายที่หวังดีกับแกเสมอ" อาชาอยากจะใช้ช่วงเวลานี้สร้างมิตรภาพมากกว่าศัตรู เพราะเขารู้แล้วว่าการที่เอาชีวิตไปแขวนไว้บนเส้นด้ายบนเส้นทางที่ขัดแข้งขัดขากันไปมาไม่ได้เกิดผลดีทั้งตัวเขาและเหมยเลย รวมถึงครอบครัวของเขากำลังจะมีความสุขที่สุด...วันเวลาเดินเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วก็เข้าปีที่ 3 เด็กๆโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกันเหมยที่ทำหน้าที่ดูแลลูกและหนูน้อยลิลลี่ในเวลาเดียวกันเธอทำทุกอย่างออกมาได้ดีมีแม่บ้านคอยช่วยเหลือบ้างเพราะเธอเองก็ยังทำงานที่เธอรักทำอะไรแต่เช้าครับขณะที่อยู่บนเตียงกว้างกับสามีสุดที่รักอย่างอาชาเขาที่ตื่นมาเห็นหน้าเหมือนเป็นคนแรกในทุกๆวันเช่นนี้เสมอ"กำลังคิดเรื่องพร็อพนิยายใหม่นะคะเดี๋ยวว่าจะแวะเข้าไปที่ไร่ชาสักอาทิตย์หน้าเผื่อไปหาบรรยากาศเปลี่ยนโหมดการทำงานหน่อย"เหมยยิ้มกว้างขณะที่นั่งอยู่บนเตียงหลังจากที่เธอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ"ก็ดีสิครับ จะได้เปลี่ยนบรรยากาศด้วยตอนนี้ที่ร้านมีขนมใหม่ ๆ เยอะเลยนะ ผมก็อยากให้เหมยไปดูเหมือนกัน" อาชาส่งยิ้มแล้วก็ขยับมานอนบนตักของเหมยด้วยท่าทีออดอ้อนแม้จะแต่งงานกันมาเข้าปีที่ 3 แล้วเหยียบปีที่ 4 ทั้งคู่ก็ยังคงความหวานใส่กันและกันเสมออาชาไม่เคยรักเหมยน้อยลงเช่นเดียวกับเหมยที่ไม่เคยรักอาชาน้อยลงเลย"อาทิตย์นี้เห็นหนูน้อยลิลลี่ของเรากับอคินจะไปบ้านของคุณย่าน้ำฟ้านะคะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ เหมยจะมารับเอง เห็นว่าบ่นคิดถึงหลาน ๆ" เหมยใช้มือลูบไปตามกลุ่มผมของอาชาแล้วก็ส่งยิ้มอา
แสงไฟสลัว ๆ ที่โถงทางเดินของโรงพยาบาลส่องให้เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนและนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ ทุกคนในที่นั้นต่างมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและความหวังปะปนกันไป มีทั้งคุณหญิงวสุธรและคุณบุญรอด ผู้เป็นพ่อและแม่ของอาชา, คุณแม่น้ำฟ้าและคุณพ่อบุญทอง พ่อแม่ของเหมย, และหนูน้อยลิลลี่ ลูกสาววัย 5 ขวบเศษที่มาเฝ้ารอน้องชายคนใหม่ของเธออาชาเดินวนไปมาไม่หยุด เขากุมมือแน่นจนเหงื่อออกซึม ดวงตาจับจ้องไปที่ประตูห้องคลอดอย่างไม่คลาดสายตา ทุก ๆ นาทีที่ผ่านไปเหมือนเป็นชั่วโมงอันยาวนานสำหรับเขาคุณหญิงวสุธรลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางวางมือบนบ่าของลูกชาย "ใจเย็น ๆ เถอะลูก เหมยเขาเข้มแข็งจะตาย"คุณบุญรอดเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้หนักแน่น "นั่นสิอาชา เราทุกคนอยู่ที่นี่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูก"พ่อของอาชาตกไปที่บ่าของลูกชายเพื่อเป็นกำลังใจเพราะเขาก็เคยผ่านช่วงเวลานี้ในวันที่อาชาได้คลอดออกมาลืมตาดูโลกเช่นกัน"ครับพ่อ" อาชาหันไปตอบแต่ก็ไม่สามารถลดละสีหน้าความเป็นกังวลที่เป็นห่วงเหมยและลูกในท้องที่กำลังรออยู่ในห้องคลอดได้เลยส่วนอีกฟากหนึ่ง คุณพ่อบุญทองก็โอบกอดคุณแม่น้ำฟ้าไว้แน่น คุณแม่น้ำ
ตัดภาพมาที่ทางด้านอาชากับเหมยที่เดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่นในเวลาที่แตกต่างจากไทยทั้งสองมาถึงในวันที่หิมะเริ่มตกพอดีและเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ตกหนักมากจนเกินไปทำให้เธอได้มองเห็นบรรยากาศที่สวยงามเกินคำบรรยายราวกับออกมาจากเทพนิยายสองร่างก้าวเท้าออกมาจากสนามบินชินชิโตเซะสู่โลกที่ปกคลุมไปด้วยความขาวบริสุทธิ์ของหิมะ เหมยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่บริสุทธิ์จนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง เธอหันไปมองอาชาที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆ“สวยจังเลยค่ะพี่อาชา เหมือนความฝันเลย” เหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความตื่นเต้นอาชาโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูเธอ “นี่ไม่ใช่ความฝันครับ มันคือโลกแห่งความจริงที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป”เมื่อมาถึงโรงแรม ทั้งสองก็ไม่รอช้าที่จะออกไปสำรวจเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เหมยกับอาชาจูงมือกันเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ ผู้คนต่างแต่งกายด้วยชุดกันหนาวสีสันสดใส ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นเหมยไม่เคยรู้สึกมีความสุขเท่านี้มาก่อนในชีวิต เธอได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้แสดงความรู้สึกอย่างท
เสือยืนนิ่งอึ้งในห้องเก็บของที่มืดสลัว ความรู้สึกทั้งประหลาดใจ สับสน และตื่นเต้นปะปนกันไปหมด ริมฝีปากของเขายังคงรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาแต่ร้อนแรงของเจสซี่ หัวใจเต้นรัวราวกับกลองศึก“คุณเจสซี่...นี่คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!” เสือหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหม่า เขาพยายามผลักดันเจสซี่ออก แต่เธอกลับยิ่งกอดเขาไว้แน่นเจสซี่หัวเราะเบาๆ “ก็เจสซี่บอกแล้วไงคะ ว่าเจสซี่จะทวนความจำให้เสือ” เธอกระซิบข้างหูเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วตอนนี้เสือจำได้หรือยังคะ ว่าใครเป็นคนทำแบบนี้กับเสือ”เสือหลับตาลงอย่างอ่อนใจ เขาพยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มี “คุณเจสซี่ครับ ปล่อยผมเถอะครับ” น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ “มันไม่ถูกต้อง”“ไม่ถูกต้องตรงไหนคะ” เจสซี่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “หรือเสือคิดว่าเจสซี่ไม่ดีพอ? เจสซี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้แย่นะคะ”“คุณดีเกินไปครับ” เสือสวนกลับทันควัน เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ เจสซี่เป็นผู้หญิงที่สวย ฉลาด และมาจากครอบครัวดีๆ . เขาเป็นแค่บอดี้การ์ด...เป็นได้เพียงแค่เงา ที่ไม่ควรมีตัวตนในชีวิตของใคร“เสือไม่ต้องมาหาข้ออ้างเลย” เจสซี่สวนกลับอย่างรู้ทัน “เจสซี่รู้ว่าเสือไม่ได้รังเกียจเจส
สามเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหกเลิกและงานแต่งของเหมยและอาชาก็มาถึง เพื่อนสาวอย่างเจสซี่บินตรงมาจากออสเตรเลียรวมถึงพราวที่ขับรถจากเชียงรายเพื่อมาหาเพื่อนรักในวันพิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นท่ามกลางแขกในงานมากหน้าหลายตาเสือและเหล่าบอดี้การ์ดทุกคนเข้าประจำจุดด้วยความพร้อมเพียงวันนี้บอดี้การ์ดของอาชาสวมใส่เสื้อทักซิโด้สีขาวแทนสีดำทำให้บรรยากาศยิ่งดูสดใสขึ้นไปอีกเท่าตัวนึงส่วนเหมยที่ได้สวมใส่ชุดเจ้าสาวแบบฝรั่งโดยมีเพื่อนสาวอย่างเจสซี่เป็นผู้ออกแบบและตัดเย็บเองกับมือเธอภูมิใจในไม้แขวนชุดนี้เหลือเกินเพราะคนที่เป็นไม้แขวนเสื้อตัวนี้ก็คือเหมยเพื่อนสาวที่เธอรักที่สุดพิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นสไตล์ฝรั่งและมีบาทหลวงมากล่าวคำพิธีมงคลต่างๆขณะที่อาชายืนรอเหมยให้เดินออกมากับพ่อบุญทองเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะเหมยไม่เคยลองชุดเจ้าสาวให้เขาเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียวเธอบอกว่าเป็นความลับเหมยในชุดเกาะอกสีขาวโชว์ให้เห็นคองามระหงชุดถุงมือสีขาวบางลายลูกไม้ผ้าคลุมผมเหมือนดั่งเจ้าหญิงชุดฟูฟ่องเล็กน้อยไม่ได้ดูมากไปและน้อยเกินไปต่างหูไข่มุกถูกประดับลงบนใบหูทั้งสองข้างสร้อยไข่มุกและตรงกลางฝังด้วยเพชรขนาด สิบห้ากะรัตดูไม่เ
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาเข้าไปในห้องนอน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยของเหมย ลอยมาแตะจมูก ยิ่งทำให้ใจที่คิดถึงแทบขาดของอาชาเต้นรัวแรง เขาปิดประตูอย่างเบามือที่สุดแล้วเดินตรงไปยังเตียงกว้างอย่างเงียบเชียบดวงตาคมกริบไล่มองร่างเล็กที่นอนขดอยู่ภายใต้ผ้าห่มสีขาวสะอาดตา แสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงส่องกระทบใบหน้าหวานที่กำลังหลับใหล อย่างเป็นสุข เรียวปากบางอิ่มที่เผยอยิ้มเล็กน้อยในยามหลับใหลแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังมีความสุขในห้วงฝัน อาชากลัวเหลือเกินว่าถ้าหากไม่ใช่เขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่เป็นชายอื่นที่ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเธอ เหมยจะเป็นอย่างไรความคิดเหล่านั้นทำให้แววตาของอาชาเต็มไปด้วยความหวงแหนและหึงหวง เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบผมยาวสลวยที่กระจัดกระจายอยู่บนหมอนอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเลื่อนปลายนิ้วไล้ไปตามโครงหน้าหวาน ไล่ลงมาตามลำคอระหง อาชาโน้มตัวลงไปกระซิบเสียงแผ่วข้างหูของเธอ "คิดถึงนะครับ...คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว"คำกระซิบแผ่วเบาคล้ายจะปลุกให้เหมยรู้สึกตัว เธอขยับตัวเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ แสงสลั