หลังจากที่ตัวเล็กเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ห้องที่ผมไม่สามารถเข้าไปด้วยได้ ทำได้เพียงแค่นั่งรออยู่หน้าประตูอย่างมีความหวัง พยายามเรียกสติของตัวเองกดโทรหาไอ้แฝดคนที่ผมคิดว่าเวลานี้น่าจะจัดการทุกอย่างแทนผมได้ ผมเล่าเหตุการณ์ให้แฝดฟังจนพอเข้าใจ และให้เป็นธุระไปส่งข่าวให้คุณพ่อคุณแม่ของพรีมทราบด้วยตัวเองจะได้คอยดูแลพวกท่าน รวมถึงจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไฟล์ทที่เร็วที่สุดและที่พักในเครือใกล้โรงพยาบาล พาขึ้นเครื่องบินมาพร้อมกัน แน่นอนว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเล็กสร้างความตกใจให้ท่านทั้งสองคนมาก ยิ่งคุณแม่ด้วยแล้วถึงกับเป็นลมไปหลายรอบ จนไอ้ฟิล์มต้องขอให้ท่านทั้งสองคนพักอยู่ที่โรงแรม ก่อนที่มันจะมาหาผมด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกหน่วงในหัวใจ
ที่เขาบอกว่า การมีพี่น้องฝาแฝด ความรู้สึกจะสื่อถึงกัน ถ้าอีกคนมีความสุข อีกคนจะสุขด้วย ถ้าอีกคนทุกข์ อีกคนก็ทุกข์ไม่ต่างกัน ผมว่าจริงนะ และเป็นแบบนี้ตลอดเวลาเกือบยี่สิบสี่ปี "ไอ้แฝด เป็นยังไงบ้างวะ" "น้องยังไม่ฟื้น" "มึงใจเย็นๆ" ไอ้ฟิล์มตบไหล่ปลอบใจเบาเบา ให้ผมพยายามตั้งสติ "กูว่า มึงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าหว่ะ" เพราะผมอยู่ในชุดนี้มาเกือบสามวัน ตั้งแต่วันที่เดินทางมา นั่งรออยู่หน้าห้องไอซียูไม่กล้าแม้แต่จะเดินไปไหน นอกจากเข้าห้องน้ำ เพราะกลัวว่าพรีมจะออกมาแล้วไม่เจอผม "ไม่ กูจะรอน้อง" "มึงแค่เดินไปห้องน้ำ" ไอ้แฝดยื่นกระเป๋าสะพายที่มีเสื้อผ้าของผมและกระดาษเปียกสำหรับเช็ดตัวที่มันเตรียมมาพร้อมส่งมาให้ "เผื่อคุณอามาหาน้อง" จริงอย่างที่ไอ้ฟิล์มบอก ถ้าคุณพ่อคุณแม่เธอมาเจอผมในสภาพนี้ คงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แค่ไม่เคยไปพบท่านก็เสียมารยาทมากพอแล้ว ผมจึงรับไว้และรีบพาตัวเองไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะกลับออกมาในเวลาไม่ถึงสิบนาที เดินมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมที่ผมใช้นั่งรอและพักสายตามาตลอดหลายชั่วโมง "มึงอย่าพึ่งบอกป๊า กูไม่อยากให้มามี๊กังวล" ถ้าป๊ารู้ มามี๊ก็ต้องรู้ด้วย "กูรู้" "ส่วนงาน กูจะ..." "มึงดูแลน้อง ไม่ต้องห่วงงาน" "ขอบใจหว่ะ" "โอนค่าตั๋วเครื่องบินกับโรงแรมให้กูก็พอ" เป็นธรรมเนียมของบ้าน ถึงแม้จะเป็นสายการบินและโรงแรมในเครือของครอบครัวเราเอง แต่ทุกอย่างมีต้นทุน เพราะงั้นพวกเราจะจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและที่พักในราคาเดียวกันกับคนอื่นต่างแค่มีที่นั่งส่วนตัวและห้องประจำที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเท่านั้น "เบอร์เกอร์เนื้อ" "อืม" หลายชั่วโมงแล้วที่เราสองคนพี่น้องนั่งอยู่ตรงที่เดิม วันนี้ผมมีแฝดนั่งเป็นเพื่อน ให้ผมได้พักสายตาเอาแรงพอรู้สึกสดชื่น ส่วนไอ้ฟิล์มก็นั่งเคลียร์งานคนเดียวเงียบๆ ก่อนจะเดินหายไปที่ไหนสักแห่งและกลับมาพร้อมกับเบอร์เกอร์เนื้อและน้ำอัดลมสำหรับเราสองคน เมนูที่เราชอบแอบมามี๊กินด้วยกันเมื่อตอนเด็ก ถึงจะกวนประสาทกันบ่อยครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราต่างก็สัมผัสได้คือความห่วงใยที่มีให้กัน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย... "สวัสดีครับคุณอา" ไอ้ฟิล์มจัดการส่งรถไปรับคุณพ่อคุณแม่ของตัวเล็กมาโรงพยาบาลในช่วงบ่าย ทันทีที่ท่านทั้งสองคนมาถึงผมก็ลุกขึ้นยกมือไหว้อย่างมีมารยาท "...ได้เจอกันสักทีนะ" "ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ" "ไม่เป็นไรๆ แค่ทำให้น้องพรีมมีความสุขก็พอ" คุณแม่ของตัวเล็กปลอบผมด้วยคำพูดแสนอ่อนโยน ไม่ต่างจากคุณพ่อของน้องที่มองผมด้วยแววตาดูอบอุ่นกว่าที่ผมคิดไว้ ทำผมรู้สึกโล่งใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกผิดยังคงมีมากอยู่ดี "ถ้าน้องไม่ออกมารับผม น้องคงไม่เจ็บแบบนี้" "...เพราะผม ผมขอโทษครับ" ผมยกมือไหว้ขอโทษพวกท่านจากใจจริงอีกครั้ง ถึงจะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ แต่ผมก็อดโทษตัวเองไม่ได้ "เอาหล่ะ พอแล้ว" คุณพ่อของตัวเล็กยื่นมือมามาตบไหล่แกร่งเบาเบา "ไม่ต้องขอโทษอาแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ" ไม่มีคำพูดไหนที่ท่านโทษผมเลยสักคำ "ขอบพระคุณครับ" จนถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความน่ารักและความสดใสของน้องมาจากความอบอุ่นของพวกท่านทั้งสองคน เกือบหนึ่งเดือนที่คนตัวเล็กนอนหลับอยู่ในห้องไอซียูคนเดียว เพราะศีรษะบอบบางได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรงและเสียเลือดมาก ถึงแม้จะพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ยังจำเป็นต้องให้คุณหมอคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด แน่นอนว่าผมยังคงนั่งคอยเธออยู่ตรงที่เดิม เพียงแต่ตอนนี้เริ่มกลับมาทำงานเป็นปกติโดยให้เลขาส่งเอกสารมาทางอีเมล์และประชุมออนไลน์พยายามไม่ให้กระทบงานและรบกวนไอ้ฟิล์มน้อยที่สุด เพราะลำพังบริษัทที่แฝดดูแลก็งานเยอะมากพออยู่แล้ว "เลนส์ กลับไปพักสักหน่อย" "ครับคุณอา" ส่วนคุณพ่อคุณแม่ของตัวเล็กก็จะมาสลับให้ผมกลับไปพักที่โรงแรมและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตัวเองรู้สึกสดชื่น ผมเริ่มคุ้นเคยกับพวกท่านมากขึ้นเพราะเจอกันทุกวัน บ่อยครั้งที่คุณแม่ของน้องจะทำอาหารไทยใส่กล่องมาให้ผม ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูโปรดของตัวเล็กนั่นแหละ ยิ่งกินก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกคิดถึง อยากกอดอยากฟัดแก้มนุ่มๆ มาก ในระหว่างที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นปลุกให้ผมตื่นเต็มตา เป็นสายจากคุณพ่อของตัวเล็กโทรมาแจ้งข่าวที่ดีที่สุดที่ผมรอมาตลอดหนึ่งเดือน ตัวเล็กกำลังออกจากห้องไอซียูไปนอนพักที่ห้องผู้ป่วย ทำผมยิ้มกว้างออกมาอย่างง่ายดายด้วยความโล่งอก รีบพาตัวเองลุกจากที่นอนเตรียมเสื้อผ้าและของใช้สำคัญใส่กระเป๋าเตรียมพร้อมสำหรับการนอนเฝ้าและคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิด ก่อนจะเดินทางไปโรงพยาบาลทันที แกร๊ก! คนตัวโตค่อยๆ เปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้ามาโดยไม่ให้ส่งเสียงรบกวนคนด้านใน ภาพที่เห็นทำให้ริมฝีปากได้รูปเผยยิ้มออกมาบางเบา พาตัวเองเดินไปยืนข้างเตียงคนไข้ฝั่งตรงข้ามกับคุณอาทั้งสองท่าน เพื่อจะได้มองหน้าคนที่คิดถึงได้ชัดเจน "น้องพรีม ดูซิลูกว่าใครมา" "..." คนตัวเล็กใบหน้าซีดเซียวบนเตียงคนไข้ ค่อยๆ เหลือบสายตามาทางผมตามที่คุณแม่ของเธอบอก คิ้วเรียวสวยขมวดพันกันยุ่งมองหน้ากันด้วยความสงสัย คล้ายกับว่า ผมเป็นคนแปลกหน้า "ใครคะ" เสียงหวานแหบพร่าที่เอ่ยถามให้พอได้ยิน ทำใจแกร่งไหววูบ รอยยิ้มที่เคยมีหายไปในเสี้ยววินาที "..." เธอคงเพียงแกล้งกันเท่านั้นหลังจากที่ตัวเล็กเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ห้องที่ผมไม่สามารถเข้าไปด้วยได้ ทำได้เพียงแค่นั่งรออยู่หน้าประตูอย่างมีความหวัง พยายามเรียกสติของตัวเองกดโทรหาไอ้แฝดคนที่ผมคิดว่าเวลานี้น่าจะจัดการทุกอย่างแทนผมได้ ผมเล่าเหตุการณ์ให้แฝดฟังจนพอเข้าใจ และให้เป็นธุระไปส่งข่าวให้คุณพ่อคุณแม่ของพรีมทราบด้วยตัวเองจะได้คอยดูแลพวกท่าน รวมถึงจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไฟล์ทที่เร็วที่สุดและที่พักในเครือใกล้โรงพยาบาล พาขึ้นเครื่องบินมาพร้อมกัน แน่นอนว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเล็กสร้างความตกใจให้ท่านทั้งสองคนมาก ยิ่งคุณแม่ด้วยแล้วถึงกับเป็นลมไปหลายรอบ จนไอ้ฟิล์มต้องขอให้ท่านทั้งสองคนพักอยู่ที่โรงแรม ก่อนที่มันจะมาหาผมด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกหน่วงในหัวใจ ที่เขาบอกว่า การมีพี่น้องฝาแฝด ความรู้สึกจะสื่อถึงกัน ถ้าอีกคนมีความสุข อีกคนจะสุขด้วย ถ้าอีกคนทุกข์ อีกคนก็ทุกข์ไม่ต่างกัน ผมว่าจริงนะ และเป็นแบบนี้ตลอดเวลาเกือบยี่สิบสี่ปี"ไอ้แฝด เป็นยังไงบ้างวะ""น้องยังไม่ฟื้น""มึงใจเย็นๆ" ไอ้ฟิล์มตบไหล่ปลอบใจเบาเบา ให้ผมพยายามตั้งสติ"กูว่า มึงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าหว่ะ" เพราะผมอยู่ในชุดนี้มาเกือบสามวัน ต
"ฝนจะตก" "พี่กูอยู่ไทย" "กวนตีน" ทุกวันอาทิตย์ครอบครัวของผมจะต้องรวมตัวกันที่บ้านใหญ่ เพื่ออัพเดตเรื่องราวในช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกัน จิบชายามบ่ายเป็นเพื่อนมามี๊และน้องโฟ ตีกอล์ฟเป็นเพื่อนป๊า ปิดท้ายวันด้วยการกินมื้อเย็นด้วยกันพร้อมหน้าแน่นอนว่าพี่คนโตของบ้านอย่างผมต้องกลับมาทุกครั้งที่อยู่ไทยเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่ไอ้แฝดชอบกวนประสาทให้ผมด่าเล่นเท่านั้นแหละ "น้องโฟคิดถึงพี่เลนส์มากเลย" น้องสาวคนสวยวิ่งลงมาจากบันได โผลเข้ากอดคอผมอย่างออดอ้อน ทำผมเอ็นดูจนหันไปกดจมูกลงผมหนาเบาเบา "หึ พี่ก็คิดถึงน้องโฟ""แล้วพี่ละหมูอ้วน" "น้องโฟเจอพี่ฟิล์มบ่อยแล้วนี่นา" "หึ" "น่าน้อยใจมั้ย" เราสามคนพี่น้องนั่งคุยกันเรื่องทั่วๆ ไปที่ห้องนั่งเล่นระหว่างรอป๊าพามามี๊ลงมาจากห้องนอน ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนฟังไอ้แฝดถามน้องโฟมากกว่า น้องสาวของเราสองคนเป็นเด็กน่ารักมากแลพก็พูดเก่งมากเช่นกัน เธอเป็นเหมือนความสดใสของบ้านเราเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าคนที่จะมาดูแลน้องไปทั้งชีวิตจะต้องผ่านการคัดเลือกจากผมและไอ้ฟิล์มมาแล้ว คัดเลือกและดูความประพฤติมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ แต่ต้องขึ้นอยู่ว่าน้องจะยอมให้ดูแลด้วยรึป่
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่พี่เลนส์ทำงานอยู่ไทยเพราะสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาบินมาทำงานที่นี่และอยู่เป็นเพื่อนฉันแล้ว ตลอดระยะเวลาเกือบหกเดือนเจ้าของสายการบินอย่างเขาก็บินไปบินกลับระหว่างไทยกับอเมริกาเป็นว่าเล่น อยู่ไทยสองสัปดาห์ อีกสองสัปดาห์บินมาอเมริกาสลับไปอย่างนี้และช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาก็ไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกเหงาหรือว่าห่างกันเลยสักนิดถึงเวลาเราจะไม่ตรงกันเลยแต่เขาก็จะรอฉันตื่นแล้ววิดีโอคอลคุยกันทุกวัน บางวันถ้าฉันเข้านอนแล้วเขาก็ให้เปิดกล้องทิ้งไว้ส่วนเขาก็นั่งทำงานคอยมองฉันเงียบๆ ไม่ส่งเสียง"ไม่ใส่สร้อย?""พรีมกลัวตกหาย""กลัวคนรู้ว่ามีแฟน?""พบคนงอนหนึ่งอัตราแล้วน๊าา"อย่างตอนนี้ฉันกำลังแต่งตัวไปเรียนส่วนเขาก็กำลังเข้านอน แต่สั่งให้เปิดกล้องอยากจะดูว่าฉันใส่ชุดอะไรไปเรียนเรียบร้อยถูกใจเขาหรือเปล่า รู้สึกเหมือนมีสไตลิสต์ส่วนตัวคอยช่วยเลือกเสื้อผ้าให้เลย ที่สำคัญสิ่งที่ขาดไม่ได้และเขาจะงอแงทุกครั้งถ้าฉันไม่ใส่ก็คือสร้อยคอที่มีตัวย่อ 'PL' ชื่อของเราสองคนที่เขาให้เป็นของขวัญแสดงความยินดีที่ฉันสอบทุนได้ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบหรือไม่อยากใส่หรอกนะ แต่เขาหน่ะชอบคิดไปไกล
"ตัวเล็ก" "คะ" แก้มนุ่มแดงราวกับลูกสตอเบอร์รี่พยายามหลบสายตาคู่คมที่มองไม่ห่าง"พี่ไม่อยากเป็นแฟนตัวเล็กแล้ว" ตากลมโตฉายความสงสัยปนความน้อยใจมาเห็นให้อย่างปิดไม่มิด ทั้งๆ ที่เขาพึ่งจูบสูบวิญญาณฉันไปแท้ๆ หน่ะหรอ"อยากเป็นผัวเลย" "ได้มั้ย" แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ความน้อยใจอยู่กับฉันนาน เสียงที่แหบพร่าบอกความต้องการของตัวเองพร้อมกับแววตาออดอ้อนแฝงความเอาแต่ใจจนทำให้ฉันรู้สึกหวามไหวมวนท้องไปหมดอยากจะมุดหนีไปจากตรงนี้ ติดตรงที่ใจดันคิดสวนทางกันนี่แหละ"เดี๋ยวก็ลบหนึ่งร้อยเลยนี่" ฉันเลยสู้โดยการเลียนแบบเขาที่จ้องแต่หาเรื่องมาหักคะแนนกัน ติดลบไปเลย ดูซิ! จะยังกล้าเล่นกับใจฉันอยู่มั้ย"ยอม"ปากร้อนฉกจูบลงมาที่ปากของฉันอีกครั้งโดยไม่รอให้ฉันอนุญาติเหมือนครั้งก่อน จูบของเขาครั้งนี้มันทั้งดูดดื่มทั้งเอาแต่ใจทั้งเจ้าเล่ห์คอยหลอกล่อให้ฉันเผลอไผลจนเขาสามารถรุกล้ำเข้ามาได้อย่างง่ายดายเขาพาฝูงผีเสื้อมาบินเล่นในร่างกายของฉัน"อะ อื้อ" ฉันไม่รู้ว่าเผลอตัวปล่อยใจไปกับรสจูบของเขานานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีเดรสตัวยาวที่ฉันใส่ก็ร่นขึ้นมากองอยู่บนหน้าท้องแบนราบ มือหนาลูบแผ่วเบาวนไปมาตามผิวเนียนลื่นบริเวณต้
"ทำไมมึงรีบบินจังวะ" "นัดลูกค้า" "นัดลูกค้า อาทิตย์หน้าไม่ใช่?""กูไม่ต้องเตรียมตัว?" "ปกติมึงไม่ไปล่วงหน้านานขนาดนี้" ไอ้แฝดพูดถูก ปกติถ้ามีงานผมจะบินไปล่วงหน้าอย่างมากคือสองวันเพราะมีเรียน แต่ตอนนี้ผมเรียนจบแล้ว และมีใครบางคนรออยู่ที่นั่นผมจึงรีบเดินทางไปตามที่รับปากเธอเอาไว้ วันนี้เลยให้แฝดทำหน้าที่เป็นคนขับรถพาผมมาส่งที่สนามบิน แต่ก็ลืมคิดไปว่า...ไอ้ฟิล์มมันพูดมาก เลยเลือกเปิดเพลงที่เราชอบเหมือนกันคลอเบาเบาเป็นการบอกทางอ้อมให้น้องรักหยุดพูด ซึ่งก็ได้ผลเพราะตอนนี้ไอ้แฝดกำลังร้องเพลงสบายอารมณ์ไปพร้อมกับเพลงที่เปิดให้ได้ยิน"ถึงแล้วแชทบอก" "ครับคุณน้องชาย" "ค่อยว่านอนสอนง่ายสมกับเป็นแฝดกูหน่อย" ไม่รู้ไอ้ฟิล์มมันกวนตีนเหมือนใคร? ผมใช้เวลากว่ายี่สิบชั่วโมงบนเครื่องบินที่มีที่นั่งส่วนตัวของผมโดยเฉพาะสามารถปิดที่กั้นเป็นห้องมีทีวีและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและปรับที่นั่งเป็นที่นอนได้สบายเลยทำให้ผมได้พักสายตาเต็มอิ่ม มีแรงพอพาเธอไปเดินเที่ยวได้ทันทีที่ไปถึงส่วนที่พัก ผมก็แอบเช่าห้องฝั่งตรงข้ามห้องของเธอเอาไว้แบบไม่มีกำหนดโดยที่เธอไม่รู้ เพราะเธอยื่นคำขาดไม่ให้ผมนอนห้องเดียวกั
ป๊อก!"โอ๊ย! พรีมเจ็บนะ" นิ้วเรียวยาวดีดลงบนหน้าผากมนไม่เต็มแรงนัก แต่ก็พอให้คนตัวเล็กรู้สึกเจ็บและเป็นรอยแดง จนตาคู่คมไหววูบอย่างรู้สึกผิด ค่อยๆ เป่าเบาเบาตรงรอยแดงเป็นการไถ่โทษ"คิดเองเออเอง" เสียงทุ้มแอบบ่นคนบนตักแกร่งเบาเบาอย่างลืมตัว"..." "หึ" ทำตากลมโตมองตาขวางพองขนขู่จนทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัว รีบอธิบายเคลียร์ตัวเองแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าที่เธอเข้าใจทั้งหมด...ผมถูกเธอกล่าวหา ผมกับมินินเป็นเพียงเพื่อนสนิทกันเท่านั้นไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้ ที่ผ่านมาใช่ว่าผมกับเพื่อนจะไม่เคยได้ยินข่าวลือที่คนอื่นต่างจับคู่ให้เราสองคน และเป็นไอ้ตริติณที่ถือโอกาสนี้ใช้ผมเป็นไม้กันหมาไม่ให้ใครเข้ามาจีบน้องตัวเองได้ ซึ่งผมก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ตอนนี้ ต่างจากตอนนั้น..."พี่ยังไม่มีแฟน""แต่กำลังจะมี" "จิ๊ ปล่อยพรีมเดี๋ยวนี้เลย" แต่ดูเหมือนจะทำให้ลูกเสือโกรธมากกว่าเดิมสินะ สองแขนแกร่งจึงต้องออกแรงกระชับแขนกอดเธอให้แน่นขึ้น จนแทบอยากให้เธอละลายเข้าไปอยู่ในตัวจะได้ไม่หนีหายไปไหน"ไม่อยากรู้หรอว่าใคร" "เรื่องของพี่ค่ะ เพราะพรีมไม่ได้จีบพี่แล้ว" คนแสนงอนทำหน้าบึ้งตึงยืนกรานว่าเธอ