เข้าสู่ระบบPhimmada: พิมพ์ชอบอ่านหนังสือค่ะ แล้วก็ดูหนัง ฟังเพลง...ธรรมดามากเลยเนอะ
Thawin: ธรรมดาที่ไหนกันครับ! หนังสือกับหนังนี่มีเรื่องให้คุยกันเยอะแยะเลย แล้วแนวไหนที่คุณพิมพ์มาดาชอบเป็นพิเศษครับ? เผื่อผมจะได้แนะนำเรื่องสนุกๆ ให้
Phimmada: ชอบอ่านแนว...ดราม่าค่ะ แล้วก็พวกวรรณกรรมแปล ส่วนหนังก็ชอบแนว...เมโลดราม่าเหมือนกันค่ะ...ดูแล้วร้องไห้ดี
Thawin: โอ้โห...สายดราม่าตัวจริงเลยนี่นา! ผมก็ชอบดูหนังแนวเศร้านะ มันทำให้เราได้ปลดปล่อยความรู้สึกบางอย่างออกมา ว่าแต่...มีเรื่องไหนที่ดูแล้ว "ที่สุด" ในใจคุณพิมพ์บ้างไหมครับ?
พิมพ์มาดานั่งอ่านข้อความของธาวินด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นเล็กน้อย ความสนใจในสิ่งที่เขาถาม ทำให้เธอลืมเลือนความเศร้าไปชั่วขณะ เธอเริ่มคิดถึงหนังและหนังสือเรื่องโปรดในใจ พลางพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความกระตือรือร้น
Phimmada: ถ้าที่สุดในใจเลยเหรอคะ...สำหรับหนังสือก็คงเป็นเรื่อง "ความเดียวดายของนักวิ่งมาราธอน" ค่ะ ส่วนหนังก็... "The Notebook" ค่ะ ถึงจะเศร้าแต่ก็ชอบมากๆ เลย แล้วคุณวินล่ะคะ?
Thawin: โอ้โห...สองเรื่องนี้คือที่สุดของความเศร้าเลยนะครับเนี่ย! ผมเคยดูทั้งสองเรื่องเลย ชอบมากๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะ "The Notebook" นี่ดูแล้วน้ำตาซึมเลยครับ ว่าแต่...ทำไมถึงชอบเรื่องเศร้าขนาดนั้นล่ะครับ? หรือว่าช่วงนี้อินเป็นพิเศษ?
คำถามสุดท้ายของธาวินนั้นแอบแทงใจดำพิมพ์มาดาเล็กน้อย แต่ด้วยอิโมจิที่ส่งมา ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีเจตนาจะล้อเลียน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น
หญิงสาวลังเลเล็กน้อยก่อนจะพิมพ์เรื่องส่วนตัวให้เขารับรู้ แต่ก็ตัดสินใจส่งข้อความนั้นออกไป
Phimmada: ก็...อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ชีวิตจริงมันเศร้าๆ มั้งคะ แต่คุยกับคุณวินแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยค่ะ...อย่างน้อยก็มีคนคุยเรื่องหนังเศร้าๆ ด้วยกัน
ธาวินรีบพิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
Thawin: ผมดีใจนะครับที่คุณพิมพ์คุยกับผมแล้วคุณพิมพ์รู้สึกดีขึ้น ถ้าอย่างนั้น...พรุ่งนี้ว่างไหมครับ? ผมอยากจะชวนคุณคุยเรื่องหนังเศร้าๆ ต่อ...แบบเห็นหน้าเห็นตากันเลย เป็นวิดีโอคอลล์สั้นๆ ก็ได้ครับ
หัวใจของพิมพ์มาดาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ความประหลาดใจและความเขินอายตีตื้นขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกอบอุ่นและความหวังที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เธอไม่รู้ว่าการคุยกับธาวินครั้งนี้จะนำไปสู่สิ่งใด แต่ในค่ำคืนที่แสนเหงา อย่างน้อยเธอก็รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป
คำทักทายง่ายๆ แต่แฝงไปด้วยความเป็นกันเองและมุกตลกเล็กๆ นั้น กลับทำให้พิมพ์มาดารู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายอย่างประหลาด รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเศร้าของเธออย่างไม่รู้ตัว เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับได้ปลดปล่อยความกังวลบางอย่าง ก่อนจะเริ่มพิมพ์ข้อความตอบกลับชายแปลกหน้ารูปหล่อคนนั้นอย่างเปิดใจ บางที...การได้พูดคุยกับใครใหม่ๆ อาจจะช่วยเยียวยาความเหงาที่กัดกินหัวใจของเธอมานานได้บ้าง จากนั้นบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและถูกคอ
พิมพ์มาดาตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มบางๆ
Phimmada: ขอบคุณมากนะคะคุณวินที่ชวน แต่ว่า...วันนี้อาจจะไม่สะดวกวิดีโอคอลล์น่ะค่ะ คือว่า...ยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่...แต่ว่าแชทคุยกันแบบนี้ไปก่อนได้ไหมคะ?
ธาวินรีบพิมพ์ตอบกลับมาอย่างเข้าใจเธอ
Thawin: ได้เลยครับ สบายมาก ผมเข้าใจครับ ไม่ต้องรีบร้อนอะไรทั้งนั้น แชทคุยกันไปเรื่อย ๆ ก่อนก็ได้ครับ ว่าแต่...เมื่อกี้คุณพิมพ์บอกว่าชีวิตจริงมันเศร้าๆ ...พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ? ไม่ต้องเล่าถ้าไม่สะดวกใจนะครับ แค่อยากรับฟังเฉยๆ
พิมพ์มาดานั่งมองข้อความของธาวินอย่างชั่งใจ เธอรู้สึกประทับใจในความเข้าใจและความใส่ใจของเขา การที่เขาไม่เร่งเร้าและเปิดโอกาสให้เธอพูดเมื่อพร้อม ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ความรู้สึกอยากระบายความทุกข์ในใจเริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ
พิมพ์มาดาลุกขึ้นมานั่งพิมพ์ข้อความอย่างตั้งใจ เพื่ออธิบายเรื่องราวของเธอ ก่อนจะกดส่งไปด้วยความลังเล
Phimmada: จริงๆ ก็...เพิ่งเลิกกับแฟนมาค่ะ...คบกันมานานพอสมควร...มันก็เลยยังทำใจไม่ได้น่ะค่ะ
Thawin: ผมเสียใจด้วยนะครับ...การเลิกรากับคนที่รักมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเสมอ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณพิมพ์เลยครับ ไม่เป็นไรนะครับ ถ้าอยากจะระบายอะไรให้ผมฟัง ผมยินดีรับฟังเสมอ...ถึงแม้ผมอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ผมก็พร้อมเป็นเพื่อนคุยนะครับ
น้ำตาของพิมพ์มาดาคลอเบ้าขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันในแอปพลิเคชัน จะสามารถเข้าใจความรู้สึกของเธอได้มากขนาดนี้ คำพูดที่แสนจริงใจของธาวิน ราวกับยาที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจเธอได้บ้างเล็กน้อย
หญิงสาวรีบตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปลื้มปิติที่มีคนรับฟังปัญหาของเธอ
Phimmada: ขอบคุณมากนะคะคุณวิน...แค่มีคนรับฟังพิมพ์ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ
Thawin: ไม่เป็นไรเลยครับ...ถ้าคุณพิมพ์สบายใจที่จะเล่าอะไรให้ผมฟังอีก ก็บอกได้ตลอดนะครับ ผมอยู่ตรงนี้เสมอ...ถึงแม้จะเป็นแค่ในแชทก็ตาม ว่าแต่...เมื่อกี้เราคุยกันถึงหนังเศร้าใช่ไหมครับ? มีหนังเศร้าเรื่องไหนอีกที่คุณพิมพ์มาดาชอบมากๆ เป็นพิเศษไหมครับ? เผื่อผมยังไม่เคยดู จะได้ไปหามาดูบ้าง
ธาวินเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างนุ่มนวล ทำให้พิมพ์มาดารู้สึกขอบคุณในความใส่ใจของเขา เธอเริ่มคิดถึงหนังเศร้าเรื่องอื่นๆ ที่อยู่ในความทรงจำ พลางพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าสวย
Phimmada: มีอีกหลายเรื่องเลยค่ะ...อย่าง "Eternal Sunshine of the Spotless Mind" ก็ชอบมากๆ ค่ะ ถึงจะเศร้าแต่ก็มีความหมายลึกซึ้ง...คุณธาวินเคยดูไหมคะ?
บทสนทนาของทั้งสองดำเนินต่อไปอย่างช้าๆ แต่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความรู้สึกดีๆ ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจของพิมพ์มาดา แม้ความเศร้าจะยังคงอยู่ แต่การได้พูดคุยกับธาวินก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจและทำให้เธอรู้สึกเหงาน้อยลงไปบ้างในค่ำคืนนี้
ตอนที่ 25 ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้งพิมพ์มาดาเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่เข้าใจ การต้องแสดงออกว่าเป็นคนรักของเขา ต่อหน้าลูกชายของเขา มันฟังดูซับซ้อนและอาจนำไปสู่ปัญหาได้ แต่เมื่อนึกถึงความจริงใจที่อัครเดชมีให้ พิมพ์มาดาก็ไม่กล้าปฏิเสธและพยายามทำความเข้าใจในเหตุผลของเขา แต่ความกังวลเกี่ยวกับ ทายาทของเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว พิมพ์มาดาพลันนึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เธอหันไปมองเขาที่กำลังมองเธอด้วยแววตาเอ็นดู ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามเรื่องที่ติดค้างในใจ“เอ่อ... คุณอัครเดชคะ” พิมพ์มาดาเอ่ยขึ้นอย่างลังเล“หนูขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ... คือ... ลูกชายของคุณ...เค้าอายุเท่าไหร่แล้วคะ” เธอถามออกไปพร้อม ๆ กับความกังวลในใจ“เขา... เป็นเด็กหรือเปล่าคะ คือ..หนูเกรงว่าเด็กจะอาจไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่...และอาจไม่เข้าใจสถานะของหนูน่ะค่ะ” คุณอัครเดชยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนเมื่อได้ยินคำถาม“อ้อ ลูกชายฉันน่ะเหรอ” คุณอัครเดชตอบ พลางยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย“ไม่ต้องห่วงหรอกหนู..ลูกชายฉันน่ะ..มันไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว สบายใจได้ ถ้าฉันจำไม่ผิดปีนี้ลูกชายฉันก็อายุ 30 ปีแล้วมั่ง เพิ่งเรียนจบปริญญาโทจากต่างประ
ตอนที่ 24 สถานะที่พลิกผันหลังจากจัดการเรื่องที่ทำงานและหอพักเสร็จเรียบร้อย วันต่อมาอัครเดชก็พาพิมพ์มาดามายังบ้านของเขาที่อยู่เชียงใหม่ ซึ่งอัครเดชเรียกว่า 'บ้าน' แต่สำหรับพิมพ์มาดาแล้ว นี่มันคือคฤหาสน์ชัดๆ ความรู้สึกราวกับกำลังเดินทางข้ามมิติ ตั้งแต่รถตู้คันใหญ่เลี้ยวเข้ามาในซอยที่สองข้างทางเต็มไปด้วยกำแพงสูงและต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะชะลอความเร็วเมื่อถึงรั้วเหล็กดัดขนาดมหึมาที่เปิดออกอย่างช้าๆ ราวกับประตูสู่สรวงสวรรค์อีกแห่ง การ์ดรักษาความปลอดภัยในชุดเครื่องแบบสีเข้มยืนประจำการณ์คอยดูแลความสงบอยู่ตามจุดต่าง ๆ การ์ดยกมือทำความเคารพอย่างนอบน้อม จากนั้นประตูไฟฟ้าก็เลื่อนเปิดออกรถเคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดผ่านสวนพันธ์ไม้นานาชนิดขนาดใหญ่ราวกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีน้ำพุอยู่ตรงกลางล้อมรอบไปด้วยสนามหญ้าอันเขียวขจีที่ได้รับการดูและอย่างพิถีพิถัน ไม้ดอกนานาพันธุ์ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆเมื่อสายตาของหญิงสาวปะทะกับตัวอาคารเบื้องหน้าครั้งแรก เธอถึงกับตะลึง ตัวอาคารขนาดมหึมา ตั้งตระหง่านอย่างโอ่อ่า สถาปัตยกรรมดูคลาสสิกผสมผสานความทันสมัยได้อย่างลงตัว วัสดุที่ใช้ดูมีราคาแพงลิบ ทั้งหินอ่อนเนื้อดี กระจกใสบานใหญ่ แล
ตอนที่ 23 โลกใบใหม่รุ่งเช้า..วันต่อมาเป็นเช้าแรกที่รู้สึกแปลกไปจากเดิม พิมพ์มาดาร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับอัครเดชและคุณแม่ บรรยากาศเงียบสงบกว่าทุกวันที่ผ่านมา มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบจาน และบทสนทนาเบาๆขณะที่กำลังจิบกาแฟอุ่นๆ อยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของพิมพ์มาดาก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของหัวหน้างานที่แผนกบัญชี เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะกดรับสาย“สวัสดีค่ะ...” พิมพ์มาดาเอ่ยได้แค่เพียงประโยคทักทายเท่านั้น เสียงแว้ดๆ จากปลายสายดังลอดออกมาทันที แม้เธอจะพยายามลดเสียงแล้วก็ตาม“นี่พิมพ์! ถ้าวันนี้เธอยังไม่กลับมาทำงานอีก ฉันจะไล่เธอออกนะยะ!”พิมพ์มาดาหน้าซีดเผือดทันที เธอเกือบจะลืมเรื่องงานไปเสียสนิทในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ เธอก็ยังมัวแต่ยุ่ง ๆคุณอัครเดช ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม และเพิ่งจิบกาแฟไปเมื่อครู่ ชำเลืองมองมาที่เธอ เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเด็กสาว และได้ยินเสียงหัวหน้างานที่ดังลอดออกมา เขาก็พอจะเดาเรื่องได้เมื่อวางสาย พิมพ์มาดานั่งนิ่งอึ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล“มีอะไรรึเปล่าลูก ใครโทรมาเหรอ” พิมพ์ดาวเอ่ยถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง“หัวหน้าโทรมาค่ะแม่ บอกว่าถ้าวันนี้หนูไม่ไปทำงาน เค้าจะไล่ออก
ตอนที่ 22 ข้อตกลง..ระหว่างเราพิมพ์มาดาตัดสินใจว่าเธอควรจะคุยกับคุณอัครเดชอย่างเปิดอก เธอรู้สึกขอบคุณแม่ที่ให้สิทธิ์เธอตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ได้บังคับให้เธอรับข้อเสนอเพียงเพราะเรื่องหนี้สิน แม้ว่านั่นจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เธอต้องมานั่งคิดหนักก็ตามหลังจากทานมื้อกลางวันกันอย่างเงียบๆ คุณอัครเดช ก็เห็นว่าพิมพ์มาดาดูมีบางอย่างในใจ เขาจึงหาจังหวะเอ่ยขึ้น เพื่อคุยกับเธอสองต่อสอง หลังจากพิมพ์ดาวลุกไป“หนูพิมพ์!!!... ถ้าหนูไม่สบายใจเรื่องที่ฉันเสนอ...ก็บอกกันตรง ๆ ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก ฉันพร้อมรับฟังทุกอย่างที่” คำพูดของชายสูงวัยเป็นเหมือนการเปิดประตูให้เธอพิมพ์มาดาสูดหายใจลึกๆ เธอรู้ว่านี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่จะต้องเคลียร์ความรู้สึกและความคิดของตัวเองกับเขาอย่างตรงไปตรงมา“คุณอัครเดชคะ... คือจริง ๆ แล้ว หนูยังมีหลายอย่างที่หนูอยากจะบอกให้คุณได้รับรู้ค่ะ”“โอเคร งั้นหนูพูดมาได้เลยนะ”พิมพ์มาดา สูดหายใจลึกๆ พลางมองใบหน้ายินดีของชายสูงวัยคราวพ่อ ที่กำลังนั่งรอฟังเธอด้วยความตั้งใจ ก่อนที่ตนเองจะเปิดเผยความรู้สึกที่วุ่นวายให้กับเขาฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับเธอเหลือเกิน“คุ
ตอนที่ 21 ทางเลือก...บนคราบน้ำตาเช้าวันต่อมา หลังจากพิธีฌาปนกิจและวันอันแสนสาหัสผ่านพ้นไป บนผืนน้ำนิ่งสงบของลำน้ำสายหนึ่ง พิมพ์มาดาและพิมพ์ดาวผู้เป็นมารดา ยืนอยู่เคียงข้างคุณอัครเดช เถ้ากระดูกที่บัดนี้แปรสภาพเป็นเพียงธุลีถูกโรยลงสู่ผืนน้ำอย่างช้าๆ ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่ทาบทาผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับบรรยากาศเงียบสงบแต่ในใจของสองแม่ลูกยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความเศร้า ความเหนื่อยล้า และความสับสนจากเหตุการณ์เมื่อวานที่เกิดขึ้นคุณอัครเดช ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่สายตาที่มองมาที่พิมพ์มาดาเต็มไปด้วยความห่วงใยเมื่อพิธีง่ายๆ เสร็จสิ้นลง พิมพ์ดาวหันมาทางคุณอัครเดช ด้วยใบหน้าที่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้า แต่แววตาเจือด้วยความซาบซึ้งใจ“คุณอัครเดชคะ เรื่องหนี้สินที่พ่อยัยพิมพ์ก่อไว้ ดาวจัดการโอนเงินคืนให้พวกนั้นเรียบร้อยแล้วนะคะเมื่อวาน เย็น ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับความช่วยเหลือของคุณจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่ได้คุณดาวก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร...” เสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย อัครเดช ยิ้มบางๆ ให้พิมพ์ดาว ก่อนจะเอ่ยขึ้นถึงความต้องการของตัวเองบ้าง“ไม่เป็นไรครับคุณดาว ผมยินดีช่วยค
ตอนที่ 20 เบื้องหลังของบิดา15.00 นช่วงเวลาอันเงียบสงบก่อนพิธีฌาปนกิจศพของคุณพ่อพิมพ์มาดา ได้ถูกรุกรานด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างกำยำ ท่าทางไม่เป็นมิตร พวกเขากรูเข้ามาในบริเวณวัดอย่างไม่เคารพสถานที่ ส่งเสียงโวยวายและทวงถามถึงหนี้สินมหาศาลที่คุณพ่อของพิมพ์มาดาทิ้งไว้ ก่อนจะบอกยอดเงินเกือบยี่สิบล้านบาทรวมทั้งต้นและดอกให้พิมพ์ดาวรับรู้ ทำเอาเธอถึงกับเข่าอ่อน ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ มือไม้สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อได้ยินตัวเลขที่น่าตกใจนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นดูจะไม่ยอมรามือ พวกเขายืนกรานที่จะทวงหนี้ให้ได้ก่อนที่จะมีพิธีใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการอ่านประวัติของผู้ตาย พิมพ์ดาวกลัวว่างานศพของสามีจะสะดุด และพวกนั้นก็บอกว่าจะป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ในช่วงขั้นตอนการอ่านประวัติของผู้ตายอีกด้วย สร้างความกดดันให้กับพิมพ์ดาวเป็นอย่างมากอัครเดชที่ยืนต้อนรับแขกเหรื่อคู่กับพิมพ์มาดา สังเกตเห็นความผิดปกติและสีหน้ากังวลของพิมพ์ดาว จึงเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่หนักแน่นอย่างไม่เกรงกลัว“มีอะไรกันหรือครับ” เสียงทุ้มนุ่มของอั







