กลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆ ในสวนของอุทยานโชยมา...มองขึ้นฟ้าแจ่ม สีฟ้าครามเมฆสีขาวตัดขอบฟ้าใสเป็นริ้วๆ คล้ายหมอกล่องลอยบนฟากฟ้า วันนี้ฟ้าสวยจริงๆ แม้จะเย็นใกล้ห้าโมงแล้ว ฟ้าแบบนี้ซินะ ที่ครั้งนั้นฉันเคยมาประสบพบใครคนหนึ่งที่นี่ ที่ฉันเรียกว่า ‘รักบังเอิ้น...บังเอิญ’ กลอนก็มาพาฉันรำพึงถึง...เขาคนนั้นในวันนี้ที่สวรรค์มาแย่งเขาไปก่อนฉันจนได้
บังเอิญเจอเขา เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
ใจต้องมลาย ไม่หายคิดถึง
‘หน้าคะมำเลยนายอ้วนขาวจั๊ว วิ่งอิท่าไหนนิ’ สาวตาหยี นัยน์ตาสีน้ำตาล วิ่งมาคู่เลยรู้สึกอยากเข้าไปทักและถามว่าเป็นอะไรไหม
“เจ็บตรงไหมบ้างไหมคุณ” เธอทำเสียงเบาและหยุดวิ่งดูนายหนุ่มตุ้ยหน้าขาวว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ก็ต้องหน้าหงายเลย หนุ่มหน้าขาวพูดแบบไม่เป็นมิตรเอาเสียนี่
“คู้ณ...ถามได้ มาเยาะกันรึว่าแซว” นายตุ้ยหน้าขาวพูดแบบไม่ใยดีและไม่อยากเป็นเพื่อนด้วย
“โอย...อย่างฉันเนี่ยนะ จะแซว...ให้ตายเถอะ เยาะล่ะได้นะ” เธอในตาหยีอยู่แล้ว หรี่ตามองหนุ่มขาวจั๊ว ด้วยความระมัดระวังว่าจะเจอคำพูดอะไรต่อไป
“ผมว่า คุณควรจะทำกิจกรรมของคุณเถอะ อย่ามายุ่งธุระของคนอื่น”
‘พูดแล้วก็ค่อยลุกขึ้น แบบน้ำหนักตัวยั้งให้คุกเข่าอยู่ เออหน่ะ น่าสงสารคนแบบนี้ ปากเสียแถมไม่มีสัมพันธภาพอันดีอีก แย่นะ’ สาวตาหยี ผมสั้นปราดเปรียวก็สะบัดหน้าเชิดใส่ คิดในใจว่า ‘อยากจะช่วยเหลือแค่พูดให้กำลังใจ ก็ยังไม่อยากจะรับ’
“โอเค จะคุกเข่าอยู่อย่างนั้น รึว่าให้ฉันช่วยยก” สาวดูแข็งแรงกล้ามเนื้อเป็นมัดอยู่ บ้างเสนอตัว
“คงไม่ต้องหรอก เพื่อนผมกำลังมานั่นไง” เขาทำท่ามองไปยังสาวผมน้ำตาลเข้ม
หน้าตาลูกครึ่งวิ่งมาหาเขาพอดี
“โอเคค่ะ” สาวตาหยีกำลังจะออกวิ่งต่อไป ก็ต้องให้ทักทายเพื่อนสาวของเขาเพื่อน
สาวเป็นมิตรมากกว่านายขี้เก๊กและปากร้ายคนนี้
“ขอบใจนะ เพื่อนเราเขาเพิ่งจะมาวิ่งเป็นวันแรก และน้ำหนักค่อนข้าง...ไปหน่อย”
สาวตาโตผมน้ำตาลพูดเว้นวรรคแบบเกรงใจ ไม่อยากพูดถึงจุดอ่อน เธอให้การ
ทักทายอย่างอบอุ่น ทำให้สาวตาหยีก็อยากทราบชื่อเสียงเรียงนามทั้งสองคน
“เรียกเราว่า โรซ่า หรือสั้นๆว่า โรช ส่วนเพื่อนเรา ‘ฟ้าประทาน’ หรือสั้นๆ ว่า ‘ฟ้า’ นะ”
“คัมซา หรือ คัม” สาวตาหยีผมสั้น สไตล์สาวเกาหลีแนะนำตัวแล้วก็ขอตัววิ่งต่อไป
ต่างคนต่างวิ่งกัน...เมื่อวนมาเจอกัน สาวลูกครึ่งก็พยักหน้ายิ้มให้สาวตาหยีตลอด
ส่วนเพื่อนชายก็ได้แต่ทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่เคยรู้จักหรือเจอกันเลย
วันนี้สองคนวิ่งได้แค่สองรอบก็ไม่อยากจะวิ่งต่อ เพราะเพื่อนชายมู้ดดี้อารมณ์บ่อจอยที่หกล้มต่อหน้าสาว แถมยังมีข้อเสนอให้ช่วยพยุงขึ้น ทำให้รู้สึกเสียหน้า แต่สำหรับคัมซาแล้ว เธอไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกหรือว่าหน้าแตกตรงไหน ใครๆ ก็เป็นได้ การรู้จักช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เล็กๆ น้อยๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่หนักหนาสาหัสตรงไหน เธอยังมีโอกาสช่วยเหลือคนสูงวัยที่มาวิ่งบ่อยครั้ง เธอเป็นคนชอบพกยาดมยาหม่อง อุปกรณ์พวกนี้เธอจะติดไว้เผื่อเสมอ
“คัม ใจลอย....วันนี้ทำงานเหม่อเชียว ซุปเรียก 2 ครั้งแล้วนะเธอ” เพื่อนร่วมงานมาสะกิดว่า หัวหน้าเรียกไปสอบถามเรื่องลูกค้ามาตะโกนต่อว่าอยู่นานสองนานหน้าชอป
“ค่ะ พี่เดียว พอดีเขามาสอบถามเครื่องฟอกอากาศ ทำไมมีปัญหา คัมก็แจ้งว่าให้โทรไปตามเบอร์ที่ให้ แล้วแจ้งเลยว่าเสียอะไรบ้าง เคลมได้เพราะบริษัทมีรับประกัน แต่เธอบอกเสียเวลามากเลย ทำไมซื้อมาต้องมีปัญหา”
“พี่เรียกหาอยู่ แต่เราเหมือนจะไม่ได้ยินพี่เลยนะ” ซุปชื่อเดียว เป็นหัวหน้าในชอป ที่คัมซาทำงานเป็นฝ่ายส่งเสริมการขาย ด้วยอัธยาศัยไมตรีที่ดีของคัมซา ทำให้เพื่อนๆ และพี่เดียวของทุกคนชื่นชอบ มีสิ่งเดียวที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอมักจะดื้อรั้นถ้าเรื่องนั้นไม่ถูกต้อง จะให้เธอต้องน้อมรับคงจะไม่ใช่สาวอย่างคัมซาแน่นอน
คัมซาทำงานที่แห่งนี้มานานเกือบหนึ่งปี มีนาคมปีหน้าจะครบขวบปี แต่เธอคิดอยู่ตลอดเวลาว่า เธอจบด้านการตลาดมาและต้องมาทำงานตรงจุดนี้คงจะไม่ก้าวหน้า ถ้าได้ไปเรียนโทต่อคงจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น ที่บ้านพ่อกับแม่ก็รอว่าเธอจะยังไง น้องสาวกำลังเรียนอยู่ปี 3 และก็จะจบตามมาเร็วๆ นี้ คัมซาก็วางแผนอยากเรียนต่อ แต่ที่เธอฝันคืออยากไปเรียนต่อที่อังกฤษ และเธอก็ได้หารายละเอียดบ้างแล้วว่าที่นี่เรียนแค่หนึ่งปีเศษก็จบ
พี่เดียวซุปที่ชอปก็ทราบดีว่าเธอคงจะทำงานอยู่ไม่นาน แต่ด้วยการทำงานที่รับผิดชอบและความมีน้ำใจ ทำให้เธอกลายเป็นดาวเด่น และเช่นกันคนอย่างซุปเดียวมีรึจะไม่ชอบเธอ และแอบมองสาวตาหยีผมสั้นสไตล์เกาหลีคนนี้อยู่บ่อยๆ
พ่อกับแม่ของคัมซา ค้าขายเสื้อผ้าสไตล์เกาหลี ถึงจะดูว่าไม่มีหน้ามีตานักในสังคมที่มองเรื่องฐานะและหน้าที่การงาน แต่ก็หมุนเงินในธุรกิจเลี้ยงดูลูกสาวสองคน คือ
‘คัมซา’ และน้องสาว ‘อันยอง’ ได้ทัดเทียม อันยองได้เรียนปริญญาตรีหลักสูตรอินเตอร์ที่เชียงราย ส่วนคัมซาก็มีโอกาสได้ไปโครงการแลกเปลี่ยน และไปทำงานโครงการเวิร์คแอนด์ทราเวลที่อเมริกาด้วย สองสาวจึงดูดีในสายตาของญาติๆ เพราะนอกจากจะภาษาดีแล้วยังประพฤติตนไม่เหลวไหล อ้อนน้อมถ่อมตน แม้ว่าอันยองจะดูหยิ่งๆ ในสายตาเพื่อนบ้าน แต่เธอก็มีน้ำใจให้กับทุกคน สำหรับคัมซาเป็นสาวมั่นอกมั่นใจ ไม่ค่อยเอ่ยปากขอเงินพ่อกับแม่บ่อยนัก ระหว่างเรียนเธอก็ทำงานร้านกาแฟและขายเสื้อผ้าที่มีอยู่ในสต๊อคที่บ้านให้กับเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัย
คัมซาเป็นคนเจ้าระเบียบคิดมาก ส่วนน้องอันยองของเธอเป็นสาวขี้อ้อนแต่ก็ไม่เบาเรื่องการต่อปากต่อคำของเธออยู่เหมือนกัน สุดท้ายแม้จะเป็นคนเจ้าระเบียบจู้จี้บ้าง แต่ก็ยอมน้องเสมอ
“อันยองมีงานปาร์ตี้เสาร์หน้า อยากให้คัมซาไปร่วมงานด้วยนะ” อันยองอยากโชว์พี่สาว
“มาชวนฉันนี่นะ แทนที่จะชวนเพื่อนหรือไม่ก็แฟน เป็นงานอะไรล่ะ” คัมซาถามแบบ
ไม่ใส่ใจ น้องสาวขาปาร์ตี้ คัมซาก็เห็นว่าทุกครั้งมักจะมีเพื่อนไปด้วยเสมอ งานนี้มาแปลก
“งานวันเกิดและงานครบรอบแต่งงานของพ่อกับแม่ของแอนนี่ ไปเถอะน่า อยากโชว์พี่สาว” อันยองพูดอย่างออกหน้าว่าอยากโชว์เธอกับเพื่อนๆ แต่ก็เหมือนอยากเซอร์ไพร์สด้วย
“แล้วต้องใส่ชุดไหนดีล่ะเนี่ย” คัมซากังวล ด้วยความที่เป็นคนเจ้าระเบียบและเรียบร้อย ก็อยากรู้ว่าจะต้องแต่งตัวยังไงให้เหมาะสม
“แหม คุณพี่ บ้านเรามีเสื้อผ้าสต๊อคอยู่เต็มบ้าน ก็เลือกเอาที่มันสวยๆ ใส่แล้วปิ้งๆ คะ” น้องสาวคัมซา หัวเราะคิกและมองหน้าพี่สาวว่าแค่นี้ทำไมต้องถาม
“เอาล่ะ ฉันจะไปดูว่ามีเดรสสีครีมไหม น่าจะโออยู่นะ” คัมซาพูดลอยๆ และเดินไปหาแม่เพื่อจะสอบถามว่าพอจะมีเสื้อผ้าแนวเรียบร้อยไปงานปาร์ตี้วันเกิดไหม
เอาล่ะ สาวน้อยคัมซาจะไปงานปาร์ตี้ของน้องสาว แล้วจะรู้จักใครไหมเนี่ย ให้รู้สึกหวั่นใจ แต่ก็มั่นใจว่า ความที่เป็นคนผูกมิตรเก่งคงหาเพื่อนคุยได้ไม่ยาก
งานวิวาห์ของฟ้าประทานและคัมซาจัดขึ้นท่ามกลางสวนสวยหน้าหอคำหลวงของอุทยานหลวงราชพฤกษ์ บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสไตล์การตกแต่งแบบล้านนา ซุ้มที่เป็นเต้นท์สีขาวตกแต่งด้วยโคมและตุงประดับพลิ้วไหวไปตามลม...มองเห็นแต่ไกลจากอีกฟาก เหมือนพิธีของเหล่าทวยเทพ ณ แดนสวรรค์ฟ้าประทานต้องการจำกัดจำนวนแขกของทั้งสองฝ่าย เขาเคยทำผิดพลาดมาแล้วและไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำสอง คัมซาและฟ้าประทานอยู่ในชุดแบบล้านนาประยุกต์สีเหลืองทองช่วงเช้าที่เป็นพิธีหมั้น ส่วนช่วงค่ำเป็นชุดสากลผ้าไหมสีขาวทั้งเขาและเธอก่อนงานเลี้ยงช่วงค่ำ มีการฉายวีดิทัศน์นำเสนอความเป็นมาของเขาและเธอ คัมซาปลื้มใจว่า เขาช่างเป็นคนละเมียดละไมอย่างไม่น่าเชื่อ ตัดต่อภาพของอุทยานแห่งนี้ที่เขาและเธอพบกันตั้งแต่วันนั้น ...วันที่เขายังมีหุ่นอวบอ้วนจนบัดนี้กลายร่างเป็นหนุ่มหุ่นเพรียวลมสมกับหัวใจที่เด็ดเดี่ยวของเขา คัมซาแปลกใจที่เขาเก็บภาพเธอวันนั้นตรงสิงโตหินคู่หน้าศาลาว่าการ “Council House” ถึงบางอ้อ...ก็วันนี้นี่เอง เขานำมาโชว์หลายต่อหลายภาพ ที่คัมซาถูกแอบถ่ายที่นั่น และยังมีแอบอัดตอนเธออธิบายเรื่องตำนานรักของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ตั
ตอนอยู่ในรถกับหนุ่มคนนี้ คัมซารู้สึกประหลาดๆ ว่า เธอคุยกับฟ้าประทาน เธอแอบหยิกมือตลอดว่า ฝันไปหรือเปล่า ยังอยู่ในโลกใบนี้...อยู่นะ ไม่ใช่อยู่ในมิติไหน“คุณรู้ไหม...ผมอึดอัดขนาดไหนที่เห็นคุณที่นั่น” คัมซามองหน้าเขา...ตกใจที่เขาพูดภาษาไทยได้“เอ้า...คุณพูดภาษาไทย...ด้าย” คัมซาลืมตัวโพล่งออกไป จะดีใจหรือตกใจกันแน่ เธอยังไม่เข้าใจตนเอง“ใช่...ผมนี่แหละคนไทย” เธอนึก ‘เฮ้ย...มันยังไงกัน ใส่หน้ากากมาไหมเนี่ย ให้ฉันสงสัยอยู่ได้’“แล้วยังไงกันล่ะคะ...ไอ crazy head จะบ้าตายแล้วนะคะ สับสน confused เรื่องคุณ” คัมซาก็ยังพูดภาษาอังกฤษไปด้วย เธอคิด ‘ชีวิตนี้ตลกสิ้นดีมาเจอเรื่องประหลาดได้ขนาดนี้’“ผมคิดถึงคุณตลอด...นะ Kumsa” เขาใช้ภาษาอังกฤษปนไทย น่ารักไปอีกแบบ จากไม่เจอกันสองปีกว่า ดูเขาเปลี่ยนไปเหมือนกัน“ผมรอดตายจากระเบิดที่ฟิลิปปินส์ครั้งนั้น นักธุรกิจที่ผมไปพบ เขาช่วยผมไว้” แววตาเขาเศร้ามาก คงอยากระบายอะไรต่างๆ นานา“ผมไม่รู้สึกตัวเป็นเดือน แล้วหน้าผมพังไม่มีชิ้นดี... ไมเคิลช่วยติดต่อคุณคิม พ่อของยูจิน เรื่องผ่าตัดใบหน้าผมใหม่” คัมซาฟังเรื่องของเขาเหมือนนิยายแอ็คชั่นที่เคยดู ....พระเอกผ่าตัดเปลี
เย็นวันรุ่งขึ้นเธอรอให้แดดร่มกว่านี้ ก่อนเริ่มวิ่ง...เลยขอวอร์มอัพสมองเล่นสักหน่อย...เธอหอบเอาเล่มวิทยานิพนธ์ร่างเดิมก่อนแก้ไขมาอ่านดูอีกครั้ง ที่เธอจ้างให้คนคนหนึ่งช่วยแก้ไขภาษาอังกฤษให้ โดยโปรเฟสเซอร์ของเธอเป็นคนจัดการ เธอคิดว่า... ‘จ้างก็ไม่น่าใช่เพราะไม่ได้จ่ายค่าตอบแทน’ “ผมขอดู...ได้ไหมครับ” คัมซาได้ยินเสียงพูดขึ้นข้างหลังเธอ หันไปก็เจอเขามายืนเก้ๆ กังๆ แอบมองเธออยู่ “เชิญค่ะ...นั่งตรงข้ามนี้ดีกว่านะคะ” คัมซาชี้ให้เขานั่งตรงกันข้ามเธอ แล้วเดินไปสั่งน้ำดื่มมาให้เขา“ผม...ว่าวิทยานิพนธ์ของคุณดีมากๆ เลย” คัมซาสงสัยว่าเขารู้ได้ยังไง“รู้ได้ยังไงคะ...ยังไม่ได้อ่านเลย...เนี่ยนะ” คัมซาทำหน้าไม่เข้าใจ หรือว่าเขาเป็นผู้วิเศษตาทิพย์สามารถเห็นตัวหนังสือในเล่มนี้ทั้งหมด“ก็ผม...เป็น reader อ่านให้คุณ...ดร.สมิธเป็นคนมอบเล่มนี้ให้ผมเอง” คัมซานึกในใจ อะไรมันจะแปลกได้ขนาดนั้น แล้วที่ไม่คิดเงินนี่ก็เป็นเขาแน่นอน “แล้วจะมาตามเก็บเงินถึงนี่...ใช่ไหมคะ...” เธอทำหน้าเหว๋อ...มีตัว ‘ง’ อยู่เต็มหน้าผาก เห็นแววตาเขาที่เหมือนจะยิ้มได้...สบตาเธอพอดี ยิ่งทำให้คัมซา... งง ...หนักเข้าไปอีก ‘ช่างเหมือนแววต
หลังจากคัมซาบินกลับมาได้ไม่นาน เธออยากกลับมารำลึกถึงความหลัง ณ ที่แห่งนั้นที่เธอเคยพบใครคนหนึ่ง ที่ทำให้ชีวิตเธอต้องเข้าไปผูกพันกับเขาด้วยเรื่องสุขภาพ การออกกำลังกายและการควบคุมอาหาร มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับเขาที่เข้ามาอยู่ในใจเธอ คิดถึง...กังวลใจ...เสมอ อยากเห็นหน้าเขา ไม่ว่าเขาจะจากเธอไปแล้วหรือว่าหายสาบสูญไปจากโลกนี้ เธอก็ยังอยากได้เห็นหน้าเขา...แม้ในฝันก็ตาม ถึงเขาจะไม่ใยดีกับเธอ ถึงเขาจะไม่เห็นเธออยู่ในสายตา ถึงเขาจะไม่แคร์เธอก็ตาม คัมซาบอกกับใจว่า ‘ฉันยังมีนายอยู่ในหัวใจของฉันเสมอ ไม่เคยลืมวันนั้นเลย’ เธอนึกถึงวันแรกที่เจอฟ้าประทานหกล้มหน้าคะมำ...ที่อุทยานแห่งนี้ ‘หนุ่มอ้วนหน้าอวบขาวจั๊ว...เรียบเฉยเมยเหมือนกระดาษ A4’ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ชักนำให้เธอเข้าไปพัวพันกับชีวิตของเขา จนติดกับดักรัก...สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด..ฉุดกระชากอย่างไรก็ไม่ออกไปจากใจได้คัมซาพักวิ่งไปนานสองปีกว่า เพราะอยู่ที่แคมปัสหมกมุ่นกับตำราจนเธอรู้สึกว่าตัวโตกว่าหัว น้ำหนักเธอขึ้นมาเกือบ 4 กก. จะกลับมาฟิตหุ่นให้เฟิร์มเหมือนเดิม กลับมาสู่โหมดเดิมที่เห็นแสงแดดแผดเผาเกือบตลอดทั้งปี ทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นกว่าต
พอถึงโรงแรมหลังจากเช็คอินแล้ว ต่างคนต่างเข้าพักห้องตนเองด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไมเคิลนัดเจอที่ลอบบี้ 9 โมงเช้า หลังจากกินข้าวที่โรงแรมแล้วจะเดินไปชมหอไอเฟลซึ่งไม่ไกลจากโรงแรม “หอไอเฟล...นี่สร้างในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม น่าจะเป็นงาน World Expo ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้โลกเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศนี้....Right?” ไมเคิลมองคัมซาที่กำลังตั้งใจฟังเขาอยู่ แต่พี่เดียวเหมือนไม่สนใจฟัง เดินแยกไปถ่ายรูปคนเดียว จนคัมซาเองรู้สึกไม่สบายใจ“Kumsa...ยูเดินตามไปช่วยถ่ายรูปให้เดียวเถอะ...ผมจะไปซื้อตั๋วขึ้นไปชมข้างบน” ไมเคิลไปจัดการซื้อตั๋วให้ทุกคน คัมซาสังเกตเห็นว่าเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน“พี่เดียวคะ...คัมช่วยถ่ายรูปให้นะคะ” คัมซาสงสารพี่เดียวขึ้นมาจับใจ เขากลายเป็นคนเซื่องซึมอย่างไม่น่าเชื่อ เธอเองไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้าพูดอะไรกระทบไมเคิล เธออาจเสียเพื่อนที่ดีอย่างเขาไปชั่วชีวิตเลยก็ได้“จากที่นี่...เราจะไปไหนกันต่อ...รึ..คัม” พี่เดียวถามแบบเนือยๆ “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ...” คัมซาตอบแบบสิ้นคิด เพราะไมเคิลทำตัวเป็นผู้จัดการโปรแกรมทั้งหมด และเขาจะเปลี่ยนโปรแกรมได้ตามความเหมาะสมของเวลาอีกด้วย ทำให้
จากที่ซัลลิสเบอรี่ ไมเคิลขับรถเลยไปถึงบริสโตล เป็นเมืองท่าทางตอนใต้ใกล้มหาสมุทรแอตแลนติค วันนี้ค่อนข้างมีแสงแดดและอบอุ่นไม่ขมุกขมัวหมอกปกคลุม Hazy เหมือนที่ลอนดอน ตอนที่ไมเคิลขับรถข้ามสะพานแขวนคลิฟตัน เขาก็พูดว่า ข้ามแม่น้ำสายโรแมนติก ...เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเอวอน เขาพาเราไปชมท่าเรือซึ่งเป็นที่ขนถ่ายสินค้ามาแต่โบราณ ไปดูเรือกลไฟเก่าแก่ที่ทอดสมอให้นักท่องเที่ยวได้โพสต์ท่าถ่ายรูป“เมืองนี้สวยงามน่าอยู่นะ...คัม” พี่เดียวพูดตอนที่ลงเดินไปท่าเรือกัน วิวสองข้างทางใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ‘นี่แหละคือความงดงามของยุโรป’ คัมซาพูดกับตนเองเบาๆ“ออกจากที่นี่ไม่ไกล...ผมจะไปแวะ St. Nicolas Market ตลาดเซนต์นิโคลัส” คัมซามองนาฬิกาเห็นว่าใกล้เที่ยง ไมเคิลคงพาทุกคนไปแวะกินข้าวเที่ยงด้วยเลย วันนี้มีผักผลไม้มาวางขายสดๆ ซึ่งแต่ละร้านผักผลไม้สีสวยมาก และมีร้านดอกไม้เรียงรายสลับกันไปด้วย“ผมจะแวะร้านอาหารที่นี่ด้วยเลย...นะครับ” คัมซาเห็นเขาเดินนำหน้าไปเพื่อหาร้านอาหารที่น่าจะราคาไม่สูงนัก “เดียว...คุณลองนี้สิ...ซอมเมอร์เซตไซเดอร์” คัมซาได้ยินไมเคิลบอกว่ามันคือน้ำผลไม้หมักแอลกอฮอล์ต่ำ ที่เรียกว่า