“ทำไมทิวเงียบจังคะ อยู่ในงานก็เอาแต่เหม่อๆ วีวี่พูดอะไรก็ไม่สนใจเลย นี่วีวี่ชักจะงอนแล้วนะ อุตส่าห์จัดงานต้อนรับการกลับมาของทิวทั้งที แต่ทิวเหมือนไม่ใส่ใจเลย” สาวสวยหน้างอ แต่เป็นกิริยาที่ดูมีจริตและเย้ายวนใจมากกว่าน่ารังเกียจ
คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของความคิด ทั้งที่มีเรือนร่างเร้าใจเบียดกระแซะอยู่ในอ้อมอกบนโซฟาตัวใหญ่รู้สึกตัว นึกแปลกใจตัวเองไม่น้อยที่เขาคิดถึงเพื่อนมากเกินไปจนลืมเธอ มือที่โอบเอวคอดอยู่ลูบขึ้นลงอย่างเอาใจ
ทั้งสองมาอยู่ด้วยกันตามลำพังที่คอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองของภรวี หลังเพื่อนๆ ต่างก็แยกย้ายจากงานเลี้ยงที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งซึ่งภรวีเหมาทั้งร้านเพื่อต้อนรับการกลับมาหลังจากไปเรียนอเมริกาถึงห้าปีของตติยะจบลง พร้อมกับปริญญาโทสองใบ หนึ่งใบเป็นมาสเตอร์ดีกรีทางด้านวิศวกรรมเครื่องยนต์ที่เขาเรียนตั้งแต่ปริญญาตรี ส่วนอีกใบเป็นสายบริหาร ซึ่งชายหนุ่มจำเป็นต้องใช้ในการบริหารงานของครอบครัวที่มีธุรกิจหลายพันล้าน
“อย่างอนผมเลยนะครับ”
เสียงทุ้มนุ่มที่สาวๆ หลายคนหลงใหลเอ่ยอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะแสร้งทำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย
“ก็ผมน้อยใจวีวี่นี่นา เพิ่งกลับมาถึงไม่กี่วัน แทนที่จะได้อยู่กับวีวี่สองต่อสองให้สมกับความคิดถึง กลับมีใครก็ไม่รู้ตั้งเยอะตั้งแยะมาแย่งเวลาส่วนตัวของเราไป”
ภรวีได้ยินก็แย้มยิ้มอย่างเขินอาย ชายตามองเขาพร้อมส่งค้อนเล็กๆ ให้
“ทิวพูดอะไรไม่เห็นน่ารักเลย นั่นเพื่อนๆ วีวี่ทั้งนั้นนะคะ พวกเขาอยากเจอทิว เพราะไม่คิดว่าทิวจะกลับมาอยู่ที่นี่ แม้แต่วีวี่เองยังคิดว่าทิวจะกลับไปช่วยมิสเตอร์เวลเล่ดูแลธุรกิจภาคพื้นยุโรปด้วยซ้ำ”
“ใครจะทำอย่างนั้นล่ะครับ ถ้าจะให้อยู่ที่โน่น ผมต้องขาดใจตายเพราะคิดถึงวีวี่แน่นอนเลย”
“ปากหวาน”
“วีวี่ก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ครับ”
คนพูดยื่นหน้าหล่อเหลาเข้าไปใกล้พร้อมกับส่งสายตาเสน่หาแล้วกระซิบเสียงพร่า
“อยากชิมอีกไหม”
“ทิวน่ะ” เสียงเอ็ดไม่จริงจังตามด้วยมือบางทุบอกเขาเบาๆ
พริบตาเดียวมือใหญ่ที่เคยถือแก้วไวน์ก็เลื่อนมารวบร่างอวบอัดเข้าหาตัว หญิงสาวไม่ปัดป้องแถมยังเบียดอกกว้างแข็งแกร่งอย่างจงใจ ลำแขนกลมสวยโอบขึ้นรอบคอเขา ในขณะที่ริมฝีปากบางสวยราวอิสตรีของชายหนุ่มประกบกับริมฝีปากแดงอย่างดูดดื่ม
ตติยะลืมเรื่องที่คิดอยู่ในหัวเมื่อครู่ไปในทันใด ด้วยดีกรีความร้อนแรงของเพลิงอารมณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะหยุดลงได้ และไม่มีใครอยากจะหยุดมันในตอนนี้
===================
เสียงเรียกเข้าเป็นเพลงสากลเร้าใจดังขึ้น มือหนาควานหาในที่ที่คิดว่ามันน่าจะอยู่แต่เมื่อไม่มี ร่างสูงใหญ่ก็ลุกขึ้นนั่งหันมองไปรอบๆ จึงนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของเขา และสาเหตุของการมาถึงเตียงนอนเมื่อคืนก็ทำให้โทรศัพท์มือถือของเขาไม่อยู่ที่หัวเตียงเช่นทุกครั้ง หากมันยังอยู่ในกางเกงซึ่งกองอยู่ข้างเตียง เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง ตติยะจึงเอื้อมไปหยิบกางเกงแล้วล้วงเข้าไปหยิบมือถือรุ่นบางเฉียบทันสมัยออกมารับหลังจากเหล่มองเบอร์เล็กน้อย
“มีธุระอะไรคุณวิชัย ถึงได้โทรมาแต่เช้าแบบนี้”
แม้ประโยคที่พูดไปจะห้วนและบอกถึงความหงุดหงิด แต่เสียงทุ้มไม่ดังหรือโวยวายใดๆ ติดจะรำคาญซะด้วยซ้ำ
“ไม่เช้าแล้วครับคุณตติยะ สิบเอ็ดโมงกว่าแล้วครับ” เสียงตอบกลับมาใจเย็น แต่ทำเอาคนฟังหงุดหงิดสุดๆ
กวนใจจริง...ประชดเก่งอีกต่างหาก พ่อตั้งใจเลือกเลขาคนนี้มาให้เขาเพราะพี่แกเก่งเรื่องพูดประชดได้หน้าตายแน่นอนเลย
“วันนี้ผมไม่เข้า...” ยังพูดไม่ทันจบก็โดนสวนขึ้น
“ไม่เข้าไม่ได้ครับ วันนี้มีเรื่องใหญ่...”
“ใหญ่เท่าสงครามโลกไหม ถ้าไม่ คุณก็จัดการไปเองได้เลย”
ชายหนุ่มบอกอย่างไม่แยแส ในเมื่อวิชัยพูดแทรกได้ ทำไมเขาจะทำบ้างไม่ได้
“คงไม่ถึงขั้นสงครามโลก แต่...”
“จะอะไรก็ช่าง ผมไม่สน ผมไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ถ้าจะเข้าผมก็จะเข้าไปเอง ไม่ใช่ให้คนมาออกคำสั่ง”
ตติยะบอกอย่างเย็นชาแล้วตัดสายทิ้งทันที ไม่เกรงใจเลขาผู้มีอายุมากกว่าเขา ไม่ใช่ไม่เคารพผู้อาวุโส ทว่าชายหนุ่มเป็นลูกชายคนโตของบ้าน ตั้งแต่เกิดผู้เป็นแม่ก็ประคบประหงมจึงเอาแต่ใจตัวเองเสมอ เพราะแม่กลัวว่าเขาที่อายุห่างจากน้องชายถึงห้าปี กับน้องสาวคนเล็กที่ห่างกันถึงเก้าปีจะน้อยใจว่าพ่อกับแม่รักน้องมากกว่า ฉะนั้นคนอย่างตติยะอยากได้อะไรก็ต้องได้ หากว่าไม่อยากได้อะไร สิ่งนั้นก็ต้องไปให้ไกลสุดลูกหูลูกตา ส่วนพ่อนั้นไม่ต้องสงสัย แม่บอกอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น นอกเสียจากว่าจะแอบจัดการลับหลังอย่างเช่น เรื่องเลือกเลขาอย่างวิชัย
ชายหนุ่มคิดอย่างเซ็งๆ ที่ไม่ว่ายังไงเขาก็หนีออกจากใต้ปีกพ่อไม่พ้น และเวลานี้เขายังไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นเพราะง่วงงุนเกินกว่าจะใส่ใจ แต่ยังไม่ทันได้ล้มตัวลงนอนต่อก็มีเสียงเรียกเข้าอีกครั้ง จนต้องสบถอย่างหงุดหงิดกับตัวเอง ก่อนจะรีบรับเพราะไม่อยากให้มันดังรบกวนคนข้างๆ
“อะไรเรฟ” คราวนี้เขาเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษหลังจากมองเบอร์ที่โชว์หราขึ้นมา
“คุณทิวช่วยเปิดทีวีดูช่อง...หน่อยได้ไหมครับ” เสียงภาษาอังกฤษที่แปร่งสำเนียงเยอรมนีดังมาตามสาย
นี่ก็อีกคน อุตส่าห์คิดว่ากลับมาเมืองไทยแล้วจะไม่โดนตามเป็นพรวน แต่ที่ไหนได้ กลับถูกส่งมาประกบแบบตัวต่อตัวซะอีก
“อะไรกันอีกล่ะ”
ใบหน้าคมสันของหนุ่มลูกเสี้ยวไทยงอหงิก ทั้งเลขาทั้งเรฟลูกผู้พี่ ช่างน่ารำคาญอย่างบอกไม่ถูก แถมเวลานี้ดูเหมือนภรวีจะตื่นแล้ว เพราะเธอคว้าเอวเขาพร้อมกับเบียดหน้าอกอวบเข้ามาเสียดสี จนเขาแทบอยากโยนโทรศัพท์ทิ้งไปทำอย่างอื่นแทน
“เปิดดูก่อนเถอะครับคุณทิว”
แม้จะหงุดหงิดใจเพียงใดแต่ก็หยิบรีโมตที่โต๊ะตั้งโคมไฟใกล้ๆ มากดชี้ไปยังโทรทัศน์เพื่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ตั้งใจว่าจะหันไปมอร์นิ่งคิสกับสาวสวยที่กำลังลูบไล้แผงอกเขาอยู่ เพราะหวังว่าเรฟจะได้ยินเสียงแล้ววางสายไปเองหากไม่หน้าทนจนเกินไปนัก แต่เสียงผู้ประกาศข่าวที่แว่วเข้าหู ก่อนริมฝีปากบางสวยเกินหญิงจะแตะลงบนริมฝีปากอวบอิ่มทำให้เขาเด้งตัวขึ้นหันมองทันควัน
“เกิดอะไรขึ้นคะทิว”
ภรวีผวาลุกตามขึ้นมาโอบคอเขาแบบเนื้อแนบเนื้อ แต่ขณะนี้อารมณ์ของตติยะไม่อยู่ในโหมดวาบหวามอีกแล้ว ด้วยมีปัญหาที่ใหญ่มาก ซึ่งกำลังปรากฏอยู่ในภาพและเสียงของข่าว แม้ไม่ใหญ่เท่าสงครามโลกอย่างที่เขาประชดวิชัย แต่มันก็เรียกว่าเป็นปัญหาระดับชาติ เพราะจะทำให้เขาได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากเยอรมนี และแน่นอน...ตติยะยังไม่อยากคุยกับพ่อในเร็วๆ นี้เลย
ให้ตาย มันเรื่องบ้าอะไรกัน เขาเพิ่งมาถึงเมืองไทยได้อาทิตย์เดียวก็เกิดเรื่องให้ปวดหัวแล้วเหรอเนี่ย
เสียงสบถเป็นภาษาอังกฤษดังลอดออกมาจากริมฝีปากสวยของชายหนุ่มอย่างอดไม่อยู่ เพราะปกติตติยะไม่นิยมแสดงอาการไม่สุภาพต่อหน้าหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยกับคนที่ยังถือสายรอการตัดสินใจของเขาอยู่
“โอเคเรฟ โทรบอกคุณวิชัยด้วยว่าอีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะไปถึง เตรียมเรียกคนที่เกี่ยวข้องทุกคนเข้าประชุมด่วน” พูดจบก็วางสายแบบไม่รอเสียงตอบรับ แล้วหันมาหาร่างอวบอัดที่เบียดอยู่ด้านหลังของเขา
“ผมต้องรีบไปจัดการปัญหาก่อน วีวี่นอนต่อเถอะนะ”
จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็ลุกขึ้นอวดหุ่นเปล่าเปลือยที่มีมัดกล้ามสมชายชาตรี คว้าเสื้อผ้าแต่ละชิ้นของตัวเองที่อยู่คนละทิศละทางเดินเร็วๆ ไปยังห้องน้ำ สักพักก็ออกมาและจากไปโดยไม่หันมาสนใจคนที่เขากกกอดอยู่บนเตียงทั้งคืนอีกเลย
=====
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ
ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจไปรอบๆ รถ ดูทุกล้อว่ามีปัญหาที่ล้อใดบ้าง ร่างสูงก้มๆ เงยๆ หลายครั้งอย่างใช้ความคิด พลางยกมือหนาขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำฝนปรกใบหน้าคมเข้มอยู่บ่อยครั้ง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแนบกับร่างกำยำคิ้วเรียวได้รูปสวยของพยาบาลสาวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ เห็นชายหนุ่มตากฝนอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด หลังจากได้สติหญิงสาวจึงนึกได้ว่าตนเองพกร่มคันเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยเนื่องจากหน้านี้หน้าฝน หากเรฟก็ดูจะไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากล้อรถ เธอจึงยิ่งเป็นกังวล...คนอะไรไม่รู้ สนใจรถมากกว่าตัวเองซะอีก เดี๋ยวก็ได้หวัดกินกันพอดี คิดได้ดังนั้นชินานางจึงหยิบร่มออกจากกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับกางร่ม ก่อนจะเดินอ้อมไปหาคนที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ที่หลังรถพื้นถนนซึ่งเป็นทางเลี่ยงถนนใหญ่นั้นค่อนข้างเฉอะแฉะ และมีโคลนที่ทำให้หญิงสาวก้าวเดินอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปหาคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นบางอย่างวุ่นวาย ชินานางคิดอยากช่วยชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วชะโงกหน้าไปดู แต่จังหวะนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพอดีทำให้คนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ“เฮ้ย!” เ
ชินานางรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถโฟร์วีลคันใหญ่นี้ ดูอึมครึมไม่แพ้กับเมฆฝนทมึนที่ตั้งเค้าอยู่ภายนอก เพราะมีคนตัวโตนั่งหน้าบึ้งถมึงทึงและมุ่งมั่นกับการบังคับรถอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จา นอกจากเสียงแอร์แล้วเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งลมหายใจของเขา‘ตายไปแล้วมั้งเนี่ย’หากเป็นอย่างที่หญิงสาวค่อนขอดอยู่ในใจจริง คุณ MIB คนนี้คงเป็นพวกมีความสามารถพิเศษที่ขับรถได้ทั้งที่ไม่หายใจ แต่ในเมื่อเธอยังไม่เห็นเขาบินได้เขาจึงยังดูธรรมดา และรถก็ยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่“ฝนตกอีกแล้ว...ดีนะที่พ้นเขตในเมืองมาแล้ว ไม่งั้นรถคงติดแย่ หน้าฝนก็งี้ ฝนตกรถติดเรื่องธรรมชาติ”ชินานางเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่ดูจากที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วมันรู้สึกขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก คนอะไรไม่รู้ใส่แว่นดำก็ดูน่ากลัว พอไม่ใส่สายตาก็ดูราวกับจะเผาเธอได้“คุณคงยังไม่ชิน แต่อีกหน่อย เดี๋ยวก็ชินไปเอง...เอ๊ะ!”เธออุทานเมื่อเรฟหักพวงมาลัยเลี้ยวขวา ทั้งที่ยังไม่ถึงแยกที่ต้องเลี้ยวจริงๆ นั่นทำให้ชินานางตระหนกขึ้นมา กลัวว่าเขาจะโมโหเธอจนอยาก
‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่าบอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไงข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ