เข้าสู่ระบบ“ก็เพราะความใจดีทำให้ฉันต้องเสียใจมาจนทุกวันนี้ ในเมื่อนายไปแล้วก็ควรไปให้พ้น อย่าได้กลับมาอีก แบบนี้ถึงจะเรียกว่าคนมีศักดิ์ศรี”
“ถ้าผมไม่อยากมีศักดิ์ศรีล่ะครับ”
อัญญามองลึกเข้าไปในแววตานั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจริงทุกคำ “ถ้าอย่างนั้นนายก็มาสายเกินไปแล้ว เจ็ดปีมันนานเกินไป”
“พี่พูดเหมือนยังคิดถึงผมมาตลอด”
หญิงสาวพาลูกทั้งสองคนเข้าไปในรถ เพราะไม่อยากให้ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาอีก เมื่ออยู่กันสองคนเธอก็พูดความรู้สึกออกไป
“ไม่ว่านายทำแบบนี้เพื่ออะไร มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ทุกอย่างมันจบตั้งแต่วันที่นายเลือกสิ่งนั้น ตอนนี้ฉันมีสามี และมีลูกที่น่ารักถึงสองคน นายไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันอีก”
“ถ้าหากผมจะบอกว่า วันนั้นผมไม่ได้อยากเลือกทางนั้น แต่เพราะถูกบังคับ พี่จะเชื่อผมไหม และที่สำคัญ ตลอดเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาผมรักพี่ไม่เคยเปลี่ยน”
คำว่ารักจากปากเขาง่ายดายนัก แต่สำหรับเธอแล้วมันก็เหมือนน้ำเปล่าที่สาดลงพื้น ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“นายควรไปได้แล้ว” เธอพูดตัดบทไม่อยากสาวความยาวอีกจึงหันหลังให้เขา จะเปิดประตูรถเขาก็ดึงแขนเอาไว้
“นะครับพี่ พี่รับผมไว้ทำงานสักหนึ่งเดือนก็ได้ จนกว่าผมจะหาที่อยู่ใหม่ได้ ตอนนี้ผมไม่มีเงินสักบาท ที่นอนก็ไม่มี”
เธอหันมองคนพูดแล้วขมวดคิ้ว เขาก็หยิบกระเป๋าออกมาเทให้ดู มีเหรียญสิบหล่นออกมาจากกระเป๋า “ผมเก็บเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือบินกลับมากับค่าแท็กซี่ก็เหลือเงินเท่านี้เอง ตอนนี้ผมไม่มีที่นอนด้วยซ้ำ ถ้าพี่ไม่รับผมเอาไว้ ผมคงต้องไปนอนข้างถนน”
อัญญาถึงกับถอนใจ “แม่นายก็มี”
“ผมตัดขาดกับแม่แล้ว ตอนนี้ผมตัวคนเดียว”
ตัดขาด? ลูกแหง่แบบเขาตัดขาดกับแม่ เธอจะเชื่อเขาได้สักเท่าไร “นายไม่เกาะนมแม่กินแล้วเหรอ”
“ที่ผ่านมาผมถือว่าผมตอบแทนบุญคุณแล้ว ต่อจากนี้ผมขอเลือกทางที่หัวใจผมต้องการ”
เขาต้องการอะไร ในเมื่อสิ่งที่เขาคาดหวังนั้นไม่มีอยู่จริงอีกแล้ว เธอไม่ใช่อัญญาครูฝึกงานที่หลงรักเด็กน้อยที่อายุไม่ถึงสิบแปดปีคนนั้น ทั้งที่อายุเราห่างกันถึงหกปี
“สรุปแล้วตอนนี้กลายเป็นปัญหาของฉัน?”
“เปล่า ผมไม่ได้อยากเป็นปัญหาให้พี่ แต่ของานนี้ให้ผมทำสักเดือนหนึ่งก็ได้ จนกว่าผมจะหาที่อยู่ และงานที่ดีกว่านี้ได้”
สรุปแล้วเธอต้องรับเขาใช่ไหม อัญญาถอนใจเปิดประตูเข้าไปในรถแล้วปิดประตู ทำให้คนที่รออยู่ด้านนอกใจเริ่มตกไปที่ตาตุ่ม
หญิงสาวถอนใจกับความใจอ่อนของเธอ เธอหันไปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบกุญแจออกมา เปิดกระจกแล้วโยนให้ชายหนุ่ม
กวินรีบรับมาถือเอาไว้
“เดือนเดียวตามที่พูด ส่วนกุญแจนั่นเป็นกุญแจห้องเช่าของเชฟคนก่อน ฉันยังไม่ได้ยกเลิกการเช่า ตึกอยู่ด้านหลังร้านนี้เอง เดี๋ยวฉันจะ โทร.บอกเจ้าของหอให้”
กวินยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว “ขอบคุณครับ” ในใจก็คิดว่าอย่างน้อยเธอก็ไม่ใจดำให้เขาต้องไปนอนข้างถนนจริง ๆ
รถเก๋งจอดเข้าที่จอดรถ อัญญาลงจากรถก็เห็นในบ้านยังปิดไฟมืดสนิท หันมองด้านหลังก็เห็นสองลิงหลับไปแล้ว พอดูเวลาก็จวนจะสี่ทุ่ม เธอจึงอุ้มลูกขึ้นไปนอนบนชั้นสองทีละคน พอเสร็จก็ห่มผ้าแล้วปิดไฟออกจากห้องไป
ตอนนี้ทุกอย่างมืดสนิท มีเพียงดวงไฟดวงน้อยที่ตรงหน้าทีวีชั้นล่าง เธอลงไปด้านล่างหยิบมือถือขึ้นมา มีข้อความจากแอปดังขึ้น
“ขอบคุณครับ ผมเข้าอยู่เรียบร้อยแล้ว พอดีผมเอาเบอร์มาจากพี่เจ้าของหอครับ พี่อย่าดุเจ้าของหอนะครับ ผมเป็นคนตื๊อเอง มีเบอร์กันไว้จะได้ โทร.ถามเรื่องสำคัญได้”
อัญญาลบข้อความที่เขาทักออกไปแล้วกดซ่อนชื่อเขาเพราะไม่อยากเห็น แต่กลับไม่กล้าบล็อกเขาไปทันที เหมือนว่าใจกำลังลังเลที่จะตัดเขาอีกครั้ง
เธอเดินไปที่ห้องครัวหยิบขวดน้ำเย็นมารินน้ำใส่แก้ว พอจะดื่มก็อดคิดถึงคำพูดหนึ่งไม่ได้ ‘น้ำเย็นดื่มแล้วไม่ดีต่อสุขภาพ’ คำพูดนั้นคือคำพูดของสามีเธอ ตรีภพ
เขาเป็นคนเจ้าระเบียบ และเจ้าแผนการทุกอย่าง จนบางครั้งเธอรู้สึกอึดอัด จะขยับทำอะไรแต่ละครั้งกลายเป็นว่าไม่กล้าทำ จากที่เมื่อก่อนกล้าทำกล้าตัดสินใจ
เธอมองแก้วน้ำเย็นแล้วรู้สึกว่าถ้าได้ดื่มจะรู้สึกหายใจสะดวกขึ้น และรู้สึกดีที่ได้ทำอย่างที่ตัวเองอยากทำระหว่างที่เขายังไม่กลับมา จึงหยิบดื่มจนหมดแก้ว
หญิงสาวหันไปล้างแก้วแล้วคว่ำเอาไว้ เดินมานั่งที่โซฟาหยิบรีโมตขึ้นมาเปิดทีวีโดยไม่ลืมที่จะลดเสียงลงให้เบาที่สุด เพราะกลัวว่าลูก ๆ จะตื่นขึ้นมาอีก
เวลานี้เธอรู้สึกหายใจโล่ง ทุกอย่างเงียบสงบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ความรู้สึกเช่นนี้หาไม่ง่ายเลยสำหรับคนที่มีลูกเล็ก หากแต่ในความเงียบนั้นกลับมีความเหงาขึ้นมา เธออยากมีคนคุยที่สามารถจะบอกเล่าความรู้สึกหรือเหตุการณ์ในวันนี้ให้ฟัง โดยที่เขาทำเพียงรับฟัง ไม่ใช่มาดุด่าว่ากลับ
‘ก็เพราะแบบนี้ไงถึงได้...’
สามีเธอโต้กลับด้วยคำพูดแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่เธอบอกเล่าแบ่งปันความทุกข์ เธอแค่อยากได้ยินคำว่า ‘ถ้าเหนื่อยก็พักหน่อย’ คำง่าย ๆ แค่นั้น แต่กลับไม่เคยมีเลย ไม่สิ เคยมี แต่มันจางหายไปตามกาลเวลาจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็แทบจะไม่มีอีกเลย
เสียงข้อความดังขึ้นทำให้เธอหันมองโทรศัพท์อีกครั้ง อัญญาหยิบมาอ่านข้อความ “คืนนี้ดึกแล้วผมคงไม่กลับบ้าน จะนอนที่คลินิก คุณนอนได้เลยไม่ต้องรอ คุณดื่มน้ำเย็นไปก็กินยาไว้ด้วย ไม่งั้นพรุ่งนี้จะปวดท้องอีก”
เขารู้ได้ยังไงว่าเธอทำอะไร และยังไม่หลับ พอหญิงสาวมองกล้องวงจรปิดที่ติดรอบบ้านก็ถอนใจอีกรอบหนึ่ง ความปลอดโปร่งที่คิดก่อนหน้าหายไปเหลือเพียงความอึดอัดกลับมาแทน เธอเข้าใจเขานะว่าเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาจะเข้าใจไหมว่าความเป็นห่วงนั้นทำให้เธอเหมือนอยู่ในช่องแคบ ๆ ที่ขยับไปไหนไม่ได้ และไม่เป็นตัวเองเลย
เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้เสียที เธอไม่อยากสูญเสียครอบครัวที่มีอยู่ อยากประคับประคองมันไว้ให้นานที่สุด
อัญญามองร้านอาหารหรู มีดนตรีสด และอาหารระดับพรีเมียมไว้คอยเสิร์ฟลูกค้ากระเป๋าหนักตรงหน้า เมื่อเจ็ดปีก่อน ก่อนเกิดเรื่องเธอเคยมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ อยากเป็นเชฟที่มีชื่อเสียง และเปิดร้านให้คนรู้จักให้มากที่สุด แต่ความฝันทุกอย่างต้องหยุดลงเมื่อเธอได้เจอกวิน เด็กหนุ่มที่มีความฝันเช่นเดียวกับเธอ ลูกศิษย์กับอาจารย์ สำหรับเธอกับเขาแล้ว ถือว่าเป็นความผิดมหันต์ในชีวิต เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมีกับเด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึงสิบเจ็ดปี ทำให้เธอต้องเกือบเข้าคุก และถูกแยกออกจากกัน ครั้งนั้นทำให้เธอได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนัก จนทำให้การรับรู้รสเปลี่ยนไป ตอนแรกเธอคิดว่าชีวิตในเส้นทางอาหารของเธอได้จบสิ้นแล้ว ใครจะไปคิดว่าหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเธอก็เจอกับตรีภพ จิตแพทย์หนุ่มที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเธอ และสนับสนุนให้เธอทำตามฝัน “การเป็นเจ้าของร้านไม่จำเป็นต้องลงไปทำเองเสียหน่อย คุณก็แค่หาเชฟฝีมือดี ๆ สักคนก็พอแล้ว” นั่นทำให้เธอพบกับคุณปลื้ม เชฟที่มีรางวัลจากรายการดัง ๆ หลายรายการพ่วงท้าย แต่เขากลับไม่มีทุนทรัพย์ในการเปิดร้านอาหาร เธอจึงเสนอให้เขาได้
บ่ายโมงจนถึงเที่ยงคืน คือเวลาเปิดปิดร้านอาหารของเธอ อัญญาจอดรถนั่งอยู่นานก็ไม่คิดจะลงไป เธออยากอยู่คนเดียวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอมองป้ายร้าน ‘อัญญาเรสเตอร์รอง’ ร้านอาหารที่สร้างมาด้วยมือของเธอเอง เป็นร้านที่เธอตั้งใจทำเพื่อแสดงฝีมือในการทำอาหาร แต่เพราะว่าโรคของเธอทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจไป กลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ จนในที่สุดการรับรู้รสอาหารก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พอเปิดร้านได้เพียงสองปีเธอก็ต้องจ้างเชฟมาทำแทน ส่วนตัวเองก็ผันตัวมาเป็นผู้บริหารแทน เมื่อลงจากรถ ไม่ทันจะเปิดประตูเธอก็ได้ยินเสียงจากห้องครัวดังออกมาถึงหน้าประตูด้านนอก อัญญาที่เข้ามามองพนักงานเสิร์ฟกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงร่าเริง ที่หันหลังคุยกันสองคน “เห็นเชฟใหม่หรือยัง หล่อมาก” “อุ๊ย จริงอะ ยังไม่เห็น เดี๋ยวขอไปส่องก่อน” “เดี๋ยวไปรับออร์เดอร์ก็เห็นแล้ว อย่าไปเลย เดี๋ยวคุณยามาพวกเราจะถูกดุเอา ยิ่งช่วงนี้ดูเหมือนแกอารมณ์ไม่ค่อยดี” “ก็มีคนดูลูกให้แล้วนะ” “อืม ไม่รู้เหมือนกัน รีบทำงานเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันแขกที่มากินดินเนอร์” สองพนักงา
“ก็เพราะความใจดีทำให้ฉันต้องเสียใจมาจนทุกวันนี้ ในเมื่อนายไปแล้วก็ควรไปให้พ้น อย่าได้กลับมาอีก แบบนี้ถึงจะเรียกว่าคนมีศักดิ์ศรี” “ถ้าผมไม่อยากมีศักดิ์ศรีล่ะครับ” อัญญามองลึกเข้าไปในแววตานั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจริงทุกคำ “ถ้าอย่างนั้นนายก็มาสายเกินไปแล้ว เจ็ดปีมันนานเกินไป” “พี่พูดเหมือนยังคิดถึงผมมาตลอด” หญิงสาวพาลูกทั้งสองคนเข้าไปในรถ เพราะไม่อยากให้ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาอีก เมื่ออยู่กันสองคนเธอก็พูดความรู้สึกออกไป “ไม่ว่านายทำแบบนี้เพื่ออะไร มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ทุกอย่างมันจบตั้งแต่วันที่นายเลือกสิ่งนั้น ตอนนี้ฉันมีสามี และมีลูกที่น่ารักถึงสองคน นายไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันอีก” “ถ้าหากผมจะบอกว่า วันนั้นผมไม่ได้อยากเลือกทางนั้น แต่เพราะถูกบังคับ พี่จะเชื่อผมไหม และที่สำคัญ ตลอดเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาผมรักพี่ไม่เคยเปลี่ยน” คำว่ารักจากปากเขาง่ายดายนัก แต่สำหรับเธอแล้วมันก็เหมือนน้ำเปล่าที่สาดลงพื้น ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม “นายควรไปได้แล้ว” เธอพูดตัดบทไม่อยากสาวความยาวอีกจ
อัญญามองข้าวปั้น และข้าวหอมที่ตอนนี้กำลังนั่งกินไก่ทอดกับเฟรนช์ฟรายส์จากฝีมือของคนมาสัมภาษณ์งาน ดูท่าทางการกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ท่าทางคงอร่อยกว่าฝีมือเธอแน่ เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆนั่งลงบนโซฟาอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เธอจึงเบนสายตามามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็เห็นสายตาคู่นั้นมองอยู่ที่เด็กสองคนอยู่แล้ว ก่อนจะหันมามอง และสบตาเธอ “ไม่นึกเลยว่าพี่จะมีลูกโตขนาดนี้แล้ว ผมไม่เจอพี่แค่ไม่กี่ปีเอง” “เจ็ดปี” เธอพูดจำนวนปีให้กับคนตรงหน้าแทนคำประมาณที่เขาพูดเอาไว้ตอนแรก ชายหนุ่มมองคนพูด “ครับ เจ็ดปีที่ผมไปเมืองนอก” “แล้วกลับมาทำไม” เป็นคำถามที่คนสัมภาษณ์งานไม่ควรถามที่สุด แต่เธอก็พูดคำในใจออกไปจนได้ เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนมีโรคประจำตัวก็คือคนตรงหน้าเธอในตอนนี้ คงตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ใบหน้าที่ดูขี้เล่น อ่อนโยน และมีน้ำใจ ยังคงมีเสน่ห์ชวนหลงใหล แต่เมื่อได้สัมผัสถึงความจริงข้างในจะรู้ว่ากำลังเล่นกับไฟที่ร้อนแรงจนสามารถกลับมาแผดเผาตัวเองจนตายได้ ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มกริ่ม ตอบไม่ตรงคำถาม “พี่คิดถึงผมใช่ไหม”
โชคดีที่หนึ่งที่ปีที่ผ่านมาเธอได้พี่เลี้ยงเด็กมาใหม่ อายุมากกว่าเธอสิบปี มีลูกมาแล้วสามคน ลูก ๆ ก็โตหมดแล้ว จึงทำให้มีเวลาว่าง โชคดีที่แกไม่ชอบอยู่นิ่งจึงมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเจ้าแฝด ช่วงหนึ่งปีหลังเธอจึงสบายตัวขึ้นหน่อย ช่วงเช้าก่อนไปโรงเรียนเธอจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนป้านิลจะมาช่วยเธอแค่หลังเลิกเรียนจนถึงหนึ่งทุ่ม และเสาร์อาทิตย์แบบเต็มวัน โชคร้ายที่วันนี้ลูกชายป้านิลบวช ทำให้เธอต้องดูแลเจ้าแฝดแบบเต็มวัน จนเกือบทำให้โรคของเธอกำเริบอีกครั้ง อาการแพนิก และซึมเศร้าของเธอเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เธอเป็นเพียงคนไข้ของคุณหมอตรีภพ ใช่ เธอคือคนไข้ของเขาที่กลายมาเป็นภรรยา แต่งงาน และมีลูกชายลูกสาวด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ระยะเวลาที่เธอพบเจอเขานั้นมีเรื่องราวมากมาย ยอมรับว่าอาการของเธอค่อย ๆ ดีขึ้น จนกระทั่งได้แต่งงานกัน อาการพวกนั้นก็กลับมาอีกครั้งจนถึงหลังคลอด และปัจจุบันก็ยังไม่หายดี แม้จะไม่แสดงอาการมากมาย แต่บางครั้งหากเครียดหรือกังวลก็จะทำให้เธอระเบิดอารมณ์ออกมาโดยไม่คิด อย่างก่อนหน้านี้ที่เธอพึ่งระบายออกไป อัญญามองสองแฝดผ่านทางกระจกมองหลังเพื่อดูว
อัญญานั่งถอนใจมองสภาพบ้านที่พึ่งจะจัดเรียบร้อยเมื่อวาน ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเหมือนเดิมด้วยฝีมือของลูกสองคนที่ทำเอาไว้ในวันนี้ ข้าวปั้นกับข้าวหอม ลูกชายลูกสาวฝาแฝดที่เธอได้มาเมื่อห้าปีก่อนกำลังระบายสีข้างฝาที่ตอนนี้ไม่เหลือสีเดิมของมันเหมือนที่เข้ามาอยู่เมื่อหกปีก่อนอีกแล้ว เธอถอนใจแล้วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดของเธอ แต่ทำไมกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิม เสียงมือถือที่ดังขึ้นทำให้เธอได้สติ อัญญาจึงเดินไปรับโทรศัพท์แทน พอเห็นข้าวปั้นกำลังปีนขึ้นโต๊ะก็รีบตะโกนห้าม “เดี๋ยวตกนะลูก” แต่ข้าวปั้นไม่ได้สนใจฟังสักนิด ยังคงมุ่งมั่นที่จะปีนขึ้นไปบนโต๊ะเพื่อหยิบสีที่เธอยึดไว้ไม่ให้เล่นต่อ มือหนึ่งรับสาย อีกมือก็หิ้วปีกแขนลูกลงมา “แม่บอกว่าห้ามปีน” พูดไปพลางมองตาดุ แต่คนปีนกลับยิ้มไม่รู้สึกกลัวสักนิด ก่อนจะยกมือที่เปื้อนสีน้ำแปะที่แก้มของแม่ “ข้าวปั้น” เสียงเข้มกว่าเดิม จนคนปลายสายได้ยินชัด “แม่จะทนไม่ไหวแล้วนะ” เสียงปลายสายยังเงียบเหมือนรอเธอพูดให้จบ พอความเงียบเข้ามาเพราะตัวแสบวิ่งไปแปะสีใส่ตัวน้องสาวแทน อัญญาก็เอ่ยถาม “คุณคะ เมื่อไหร่จะ







