เข้าสู่ระบบบ่ายโมงจนถึงเที่ยงคืน คือเวลาเปิดปิดร้านอาหารของเธอ อัญญาจอดรถนั่งอยู่นานก็ไม่คิดจะลงไป เธออยากอยู่คนเดียวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอมองป้ายร้าน ‘อัญญาเรสเตอร์รอง’ ร้านอาหารที่สร้างมาด้วยมือของเธอเอง เป็นร้านที่เธอตั้งใจทำเพื่อแสดงฝีมือในการทำอาหาร แต่เพราะว่าโรคของเธอทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจไป กลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ จนในที่สุดการรับรู้รสอาหารก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พอเปิดร้านได้เพียงสองปีเธอก็ต้องจ้างเชฟมาทำแทน ส่วนตัวเองก็ผันตัวมาเป็นผู้บริหารแทน
เมื่อลงจากรถ ไม่ทันจะเปิดประตูเธอก็ได้ยินเสียงจากห้องครัวดังออกมาถึงหน้าประตูด้านนอก อัญญาที่เข้ามามองพนักงานเสิร์ฟกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงร่าเริง ที่หันหลังคุยกันสองคน
“เห็นเชฟใหม่หรือยัง หล่อมาก”
“อุ๊ย จริงอะ ยังไม่เห็น เดี๋ยวขอไปส่องก่อน”
“เดี๋ยวไปรับออร์เดอร์ก็เห็นแล้ว อย่าไปเลย เดี๋ยวคุณยามาพวกเราจะถูกดุเอา ยิ่งช่วงนี้ดูเหมือนแกอารมณ์ไม่ค่อยดี”
“ก็มีคนดูลูกให้แล้วนะ”
“อืม ไม่รู้เหมือนกัน รีบทำงานเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันแขกที่มากินดินเนอร์”
สองพนักงานสาวหันมาด้านหลังก็เห็นเจ้านายยืนอยู่จึงรีบแยกย้ายกันคนละทิศละทาง เธอเลือกไม่พูดอะไร เดินเข้าห้องทำงานเพื่อตรวจบัญชี คิดว่าวันนี้คงอยู่ถึงร้านปิดไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้ตรีภพสามีของเธอต้องไปสัมมนาต่างจังหวัดอีกถึงสามวัน
คิด ๆ แล้วช่วงนี้เธอรู้สึกเหนื่อยล้ามากจนไม่อยากตื่นขึ้นมาพบเจอกับเรื่องราวที่เป็นอยู่ เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออกมาเช่นกัน
พลอยใส ผู้จัดการร้านเดินเข้ามา ในมือมีกระดาษบิลชุดใหญ่ และแฟ้มตัวเลขรายงานอีกชุดหนึ่ง
“คุณยาคะ ไม่ทราบว่ามีเวลาคุยไหม”
“เชิญนั่งค่ะ” เธอมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเครียด และดูอึดอัดใจ
“ถ้ามีเรื่องอะไรก็พูดกับฉันมาตรง ๆ เถอะค่ะ ฉันไม่ว่าอะไรคุณหรอก”
พลอยใสวางบิลสั่งซื้อ และรายการสต๊อกสินค้าที่ไม่สมดุลกันลงบนโต๊ะด้วยสีหน้ากังวล “คุณยาลองดูตรงนี้นะคะ ตัวเลขนี้คือสินค้าที่เราซื้อมาเป็นเนื้อริบอายจำนวนหนึ่งกิโล จำนวนเนื้อริบอายจะต้องได้สิบชิ้น แต่พอพลอยลองคำนวณเทียบกับบิลแล้ว เหมือนมันขาดไปสองชิ้นค่ะ เพราะพลอยพึ่งไปนับสต๊อกวันนี้ ของไม่มีเหลือแล้ว”
“คุณพลอยหมายความว่ามีคนขโมยวัตถุดิบของเราไป?”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นค่ะ ไม่ใช่เพียงแค่เนื้อเท่านั้น แต่ยังมีพวกของเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่นอีก แม้จะไม่มาก แต่ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้ว่ามันหายไปค่ะ คนทำคงค่อย ๆ ขโมยไปทีละนิดจนเราจับสังเกตไม่ได้”
“แสดงว่ามีขโมยอยู่ในครัว?”
อัญญานึกถึงบรรดาลูกจ้างในครัวที่จ้างมาหลายปี ทุกคนล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ทั้งสิ้น ทำงานก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรมาก่อน อีกอย่าง อาหารก็คงรสชาติเดิมไม่เปลี่ยน เธอจึงไว้ใจไม่เคยคิดตรวจสอบอะไร จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนเกิดงบขาดทุน เธอจึงให้พลอยใสสืบอย่างละเอียด และจดรายการอย่างลับ ๆ ไม่คิดว่าจะมีขโมยในครัวจริง ๆ
“ตอนนี้ในครัวก็มีคุณปลื้ม” เขาเป็นพ่อครัวใหญ่ที่เธอได้มาตอนที่เธอมีปัญหา ด้วยอายุเขาที่เกือบห้าสิบปีแล้ว เธอจึงคิดว่าเขามีวุฒิภาวะพอที่จะไม่ทำเรื่องอย่างนั้น
“คุณเอกที่เป็นผู้ช่วยคนก่อนตอนหยุดงานไปก็เป็นช่วงจังหวะที่เกิดเรื่องไม่ใช่เหรอคะ ส่วนน้องต้นก็ทำงานตั้งแต่เป็นเด็กหั่นผักจนกระทั่งเลื่อนขั้นมาเป็นผู้ช่วยมือสอง แถมเขามีแม่ที่ป่วยอยู่ด้วย คงไม่คิดตัดอนาคตตัวเองหรอกมั้ง อาจจะเป็นคุณเอกก็ได้”
พลอยใสเองก็คิดแบบนั้น “ถ้าอย่างนั้น”
“ช่วงนี้ก็อย่าพึ่งพูดอะไรออกไป คุณพลอยก็ทำเหมือนเดิมแอบตรวจสอบลับ ๆ ถ้ายังมีขโมยยังไงก็คงต้องพบความผิดปกติ ถึงตอนนั้นเราค่อยมาตรวจดูอีกครั้ง”
เพราะความไว้ใจเธอเลยไม่อยากคิดกับคนที่เหลือว่าเป็นขโมย อย่างไรก็ยังเชื่อใจพวกเขาอยู่ แต่จะปล่อยให้ร้านขาดทุนอีกครั้งไม่ได้ เพราะเท่ากับว่าเธอคงต้องขายร้านนี้ทิ้งตามที่ตกลงกับสามีไว้
‘ถ้าขาดทุนก็ขายทิ้ง แล้วคุณก็มาอยู่บ้านเฉย ๆ ยังไงตอนนี้คลินิกของผมก็ทำกำไรได้มากกว่าที่คิด คุณเองก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อย และเครียด เดี๋ยวจะทำให้อาการของโรคกำเริบอีก’
ฟังดูเหมือนหวังดีกับเธอ แต่เธอกลับรู้สึกว่าหากตัวเองไม่มีงานทำแล้วต้องกลับไปอยู่บ้านที่เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิดพวกนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการไปอยู่ในคุก
ดังนั้นเธอจะขาดทุนอีกไม่ได้ ถ้าในครัวมีขโมยเธอก็แค่วางคนของเธอที่ไว้ใจได้สักคนเอาไว้คอยจับตามอง แล้วใครกันที่จะวางใจได้
เธอนึกถึงคนที่พึ่งรับมาเมื่อวาน ถ้านับจากเวลา เขาเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรพวกนั้นเลย ก็ถือเป็นผู้บริสุทธิ์ แถมเขาก็ไม่ได้สนิทกับคนอื่น ความเป็นกลางก็ย่อมมีมากกว่าคนที่อยู่มานาน
อัญญาถอนใจ จากที่คิดว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เขาก็ทำงานของเขาไป เธอก็แค่อยู่ในห้องคอยดูบัญชี ตรวจความเรียบร้อยก็พอ ใครจะคิดว่าสุดท้ายก็มีเรื่องต้องเกี่ยวพันกันอยู่ดี
ว่าแล้วก็แอบไปดูข้างนอกสักหน่อยก็ได้
อัญญามองร้านอาหารหรู มีดนตรีสด และอาหารระดับพรีเมียมไว้คอยเสิร์ฟลูกค้ากระเป๋าหนักตรงหน้า เมื่อเจ็ดปีก่อน ก่อนเกิดเรื่องเธอเคยมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ อยากเป็นเชฟที่มีชื่อเสียง และเปิดร้านให้คนรู้จักให้มากที่สุด แต่ความฝันทุกอย่างต้องหยุดลงเมื่อเธอได้เจอกวิน เด็กหนุ่มที่มีความฝันเช่นเดียวกับเธอ ลูกศิษย์กับอาจารย์ สำหรับเธอกับเขาแล้ว ถือว่าเป็นความผิดมหันต์ในชีวิต เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมีกับเด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึงสิบเจ็ดปี ทำให้เธอต้องเกือบเข้าคุก และถูกแยกออกจากกัน ครั้งนั้นทำให้เธอได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนัก จนทำให้การรับรู้รสเปลี่ยนไป ตอนแรกเธอคิดว่าชีวิตในเส้นทางอาหารของเธอได้จบสิ้นแล้ว ใครจะไปคิดว่าหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเธอก็เจอกับตรีภพ จิตแพทย์หนุ่มที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเธอ และสนับสนุนให้เธอทำตามฝัน “การเป็นเจ้าของร้านไม่จำเป็นต้องลงไปทำเองเสียหน่อย คุณก็แค่หาเชฟฝีมือดี ๆ สักคนก็พอแล้ว” นั่นทำให้เธอพบกับคุณปลื้ม เชฟที่มีรางวัลจากรายการดัง ๆ หลายรายการพ่วงท้าย แต่เขากลับไม่มีทุนทรัพย์ในการเปิดร้านอาหาร เธอจึงเสนอให้เขาได้
บ่ายโมงจนถึงเที่ยงคืน คือเวลาเปิดปิดร้านอาหารของเธอ อัญญาจอดรถนั่งอยู่นานก็ไม่คิดจะลงไป เธออยากอยู่คนเดียวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอมองป้ายร้าน ‘อัญญาเรสเตอร์รอง’ ร้านอาหารที่สร้างมาด้วยมือของเธอเอง เป็นร้านที่เธอตั้งใจทำเพื่อแสดงฝีมือในการทำอาหาร แต่เพราะว่าโรคของเธอทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจไป กลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ จนในที่สุดการรับรู้รสอาหารก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พอเปิดร้านได้เพียงสองปีเธอก็ต้องจ้างเชฟมาทำแทน ส่วนตัวเองก็ผันตัวมาเป็นผู้บริหารแทน เมื่อลงจากรถ ไม่ทันจะเปิดประตูเธอก็ได้ยินเสียงจากห้องครัวดังออกมาถึงหน้าประตูด้านนอก อัญญาที่เข้ามามองพนักงานเสิร์ฟกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงร่าเริง ที่หันหลังคุยกันสองคน “เห็นเชฟใหม่หรือยัง หล่อมาก” “อุ๊ย จริงอะ ยังไม่เห็น เดี๋ยวขอไปส่องก่อน” “เดี๋ยวไปรับออร์เดอร์ก็เห็นแล้ว อย่าไปเลย เดี๋ยวคุณยามาพวกเราจะถูกดุเอา ยิ่งช่วงนี้ดูเหมือนแกอารมณ์ไม่ค่อยดี” “ก็มีคนดูลูกให้แล้วนะ” “อืม ไม่รู้เหมือนกัน รีบทำงานเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันแขกที่มากินดินเนอร์” สองพนักงา
“ก็เพราะความใจดีทำให้ฉันต้องเสียใจมาจนทุกวันนี้ ในเมื่อนายไปแล้วก็ควรไปให้พ้น อย่าได้กลับมาอีก แบบนี้ถึงจะเรียกว่าคนมีศักดิ์ศรี” “ถ้าผมไม่อยากมีศักดิ์ศรีล่ะครับ” อัญญามองลึกเข้าไปในแววตานั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจริงทุกคำ “ถ้าอย่างนั้นนายก็มาสายเกินไปแล้ว เจ็ดปีมันนานเกินไป” “พี่พูดเหมือนยังคิดถึงผมมาตลอด” หญิงสาวพาลูกทั้งสองคนเข้าไปในรถ เพราะไม่อยากให้ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาอีก เมื่ออยู่กันสองคนเธอก็พูดความรู้สึกออกไป “ไม่ว่านายทำแบบนี้เพื่ออะไร มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ทุกอย่างมันจบตั้งแต่วันที่นายเลือกสิ่งนั้น ตอนนี้ฉันมีสามี และมีลูกที่น่ารักถึงสองคน นายไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันอีก” “ถ้าหากผมจะบอกว่า วันนั้นผมไม่ได้อยากเลือกทางนั้น แต่เพราะถูกบังคับ พี่จะเชื่อผมไหม และที่สำคัญ ตลอดเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาผมรักพี่ไม่เคยเปลี่ยน” คำว่ารักจากปากเขาง่ายดายนัก แต่สำหรับเธอแล้วมันก็เหมือนน้ำเปล่าที่สาดลงพื้น ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม “นายควรไปได้แล้ว” เธอพูดตัดบทไม่อยากสาวความยาวอีกจ
อัญญามองข้าวปั้น และข้าวหอมที่ตอนนี้กำลังนั่งกินไก่ทอดกับเฟรนช์ฟรายส์จากฝีมือของคนมาสัมภาษณ์งาน ดูท่าทางการกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ท่าทางคงอร่อยกว่าฝีมือเธอแน่ เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆนั่งลงบนโซฟาอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เธอจึงเบนสายตามามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็เห็นสายตาคู่นั้นมองอยู่ที่เด็กสองคนอยู่แล้ว ก่อนจะหันมามอง และสบตาเธอ “ไม่นึกเลยว่าพี่จะมีลูกโตขนาดนี้แล้ว ผมไม่เจอพี่แค่ไม่กี่ปีเอง” “เจ็ดปี” เธอพูดจำนวนปีให้กับคนตรงหน้าแทนคำประมาณที่เขาพูดเอาไว้ตอนแรก ชายหนุ่มมองคนพูด “ครับ เจ็ดปีที่ผมไปเมืองนอก” “แล้วกลับมาทำไม” เป็นคำถามที่คนสัมภาษณ์งานไม่ควรถามที่สุด แต่เธอก็พูดคำในใจออกไปจนได้ เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนมีโรคประจำตัวก็คือคนตรงหน้าเธอในตอนนี้ คงตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ใบหน้าที่ดูขี้เล่น อ่อนโยน และมีน้ำใจ ยังคงมีเสน่ห์ชวนหลงใหล แต่เมื่อได้สัมผัสถึงความจริงข้างในจะรู้ว่ากำลังเล่นกับไฟที่ร้อนแรงจนสามารถกลับมาแผดเผาตัวเองจนตายได้ ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มกริ่ม ตอบไม่ตรงคำถาม “พี่คิดถึงผมใช่ไหม”
โชคดีที่หนึ่งที่ปีที่ผ่านมาเธอได้พี่เลี้ยงเด็กมาใหม่ อายุมากกว่าเธอสิบปี มีลูกมาแล้วสามคน ลูก ๆ ก็โตหมดแล้ว จึงทำให้มีเวลาว่าง โชคดีที่แกไม่ชอบอยู่นิ่งจึงมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเจ้าแฝด ช่วงหนึ่งปีหลังเธอจึงสบายตัวขึ้นหน่อย ช่วงเช้าก่อนไปโรงเรียนเธอจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนป้านิลจะมาช่วยเธอแค่หลังเลิกเรียนจนถึงหนึ่งทุ่ม และเสาร์อาทิตย์แบบเต็มวัน โชคร้ายที่วันนี้ลูกชายป้านิลบวช ทำให้เธอต้องดูแลเจ้าแฝดแบบเต็มวัน จนเกือบทำให้โรคของเธอกำเริบอีกครั้ง อาการแพนิก และซึมเศร้าของเธอเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เธอเป็นเพียงคนไข้ของคุณหมอตรีภพ ใช่ เธอคือคนไข้ของเขาที่กลายมาเป็นภรรยา แต่งงาน และมีลูกชายลูกสาวด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ระยะเวลาที่เธอพบเจอเขานั้นมีเรื่องราวมากมาย ยอมรับว่าอาการของเธอค่อย ๆ ดีขึ้น จนกระทั่งได้แต่งงานกัน อาการพวกนั้นก็กลับมาอีกครั้งจนถึงหลังคลอด และปัจจุบันก็ยังไม่หายดี แม้จะไม่แสดงอาการมากมาย แต่บางครั้งหากเครียดหรือกังวลก็จะทำให้เธอระเบิดอารมณ์ออกมาโดยไม่คิด อย่างก่อนหน้านี้ที่เธอพึ่งระบายออกไป อัญญามองสองแฝดผ่านทางกระจกมองหลังเพื่อดูว
อัญญานั่งถอนใจมองสภาพบ้านที่พึ่งจะจัดเรียบร้อยเมื่อวาน ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเหมือนเดิมด้วยฝีมือของลูกสองคนที่ทำเอาไว้ในวันนี้ ข้าวปั้นกับข้าวหอม ลูกชายลูกสาวฝาแฝดที่เธอได้มาเมื่อห้าปีก่อนกำลังระบายสีข้างฝาที่ตอนนี้ไม่เหลือสีเดิมของมันเหมือนที่เข้ามาอยู่เมื่อหกปีก่อนอีกแล้ว เธอถอนใจแล้วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดของเธอ แต่ทำไมกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิม เสียงมือถือที่ดังขึ้นทำให้เธอได้สติ อัญญาจึงเดินไปรับโทรศัพท์แทน พอเห็นข้าวปั้นกำลังปีนขึ้นโต๊ะก็รีบตะโกนห้าม “เดี๋ยวตกนะลูก” แต่ข้าวปั้นไม่ได้สนใจฟังสักนิด ยังคงมุ่งมั่นที่จะปีนขึ้นไปบนโต๊ะเพื่อหยิบสีที่เธอยึดไว้ไม่ให้เล่นต่อ มือหนึ่งรับสาย อีกมือก็หิ้วปีกแขนลูกลงมา “แม่บอกว่าห้ามปีน” พูดไปพลางมองตาดุ แต่คนปีนกลับยิ้มไม่รู้สึกกลัวสักนิด ก่อนจะยกมือที่เปื้อนสีน้ำแปะที่แก้มของแม่ “ข้าวปั้น” เสียงเข้มกว่าเดิม จนคนปลายสายได้ยินชัด “แม่จะทนไม่ไหวแล้วนะ” เสียงปลายสายยังเงียบเหมือนรอเธอพูดให้จบ พอความเงียบเข้ามาเพราะตัวแสบวิ่งไปแปะสีใส่ตัวน้องสาวแทน อัญญาก็เอ่ยถาม “คุณคะ เมื่อไหร่จะ







