“คุณหนู” เสียงอาอิงเรียกจากข้างหลัง สีหน้าตกใจและดูจะ ดีใจมากในเวลาเดียวกันที่เห็นนายหญิงของตนฟื้นแล้ว แต่ฉันกลับสะดุ้งตัวโยนกระโดดตัวหลบหนีอาอิงที่ทำท่าจะวิ่งเข้ามา นัยน์ตาของอาอิงฉงนใจขึ้นยามมองฉัน
ความคิดและความรู้สึกฉันตอนนี้ตีกันไปมาจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ฉันก็ดีใจนะที่อาอิงยังมีชีวิตอยู่แต่ฉันเคยเห็นอาอิงตายอนาถมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้กลับยืนอยู่ตรงหน้าต้องมีกลัวบ้างล่ะ
ส่วนกรณีของฉันมาอยู่ในร่างหลี่เหมยซินได้อย่างไรนั่นไว้ค่อยคิด ดวงตากลมโตจ้องมองอาอิงสาวใช้คนเดียวในห้องอย่างไม่วางตา
“คุณหนูระวังค่ะ” อาอิงพยายามเดินช้า ๆ เพื่อเข้าใกล้ แต่ฉันก็ถอยหนีอย่างเดียว
“ยะ..อย่าเข้ามานะ” เสียงแข็งติดสั่น จ้องอาอิงอย่างไม่วางใจ ขอเวลาทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหน่อยสิ
“คุณหนูไม่ต้องตกใจนะเจ้าค่ะ บ่าวเป็นสาวใช้ประจำตัวที่คุณหนูรับมาแต่เด็ก อาอิงเองเจ้าค่ะ คุณหนูไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ” อาอิงกล่าวอย่างอ่อนโยนหวังให้นายตนคลายความวิตกที่แสดงออกบนหน้าอย่างชัดเจน
เพราะเป็นอาอิงไงถึงกลัว ไม่เอาอย่าเข้ามานะ ฉันกระโดดขึ้นเตียงคว้าหมอนคิดจะขว้างใส่ก็ทำไม่ลง ยังไงซะอาอิงก็เป็นสาวใช้ที่ซื่อสัตย์มากจนมีจุดจบไม่สวย แล้วฉากการตายของอาอิงก็ดันฉายชัดให้เห็นอีกรอบ จนฉันต้องสะบัดหัวไล่ภาพนั้นออกไป พอเงยหน้ามองเจออาอิงแล้วรีบทำการเอาผ้าห่มคลุมตัวมิดชิดพลางจ้องนางตาไม่กะพริบ
อาอิงเองก็ยืนนิ่งไม่พยายามเข้าใกล้อีก นางถอดหายใจยาวใบหน้าจิ้มลิ้มสลดก้มหัวกล่าว “คุณหนูรออยู่ที่ห้องนะเจ้าคะ บ่าวจะรีบออกไปรายงานฮูหยินโดยเร็วเจ้าค่ะ”
อาอิงโค้งตัวคำนับตามธรรมเนียมก่อนเดินออกจากห้องไป ภายในห้องตอนนี้เหลือแค่ฉันคนเดียว เนื่องจากร่างกายนี้กำลังป่วยอยู่พอฉันตื่นขึ้นมาร่างกายคงใช้พลังงานเยอะเกินไป ตอนนี้ฉันรู้สึกเพลียอยากนอนหลับสักตื่นแต่ว่าฉันยังไม่วางใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันแอบย่องออกจากห้องมองด้านนอกเห็นแถวนี้ไม่มีคนเดินผ่านเพราะเป็นเรือนคุณหนูหลี่เหมยซินสตรีร้ายกาจบ้าอำนาจวัน ๆ ไล่ตามผู้ชายไม่เอาการเอางาน ใครจะรู้ว่าแท้จริงเบื้องหลังของนางเป็นอย่างไรฉันคนหนึ่งแหละที่รู้และเข้าใจหลี่เหมยซินมากที่สุด คิดว่างั้นนะ
เมื่อเดินมาที่สวนดอกไม้ข้างเรือน เจอศาลาหลังเล็กใกล้ต้นไม้ใหญ่ทุกอย่างจัดให้ดูเรียบง่ายน่านั่งเล่น บรรยากาศเย็นสบายมีลมอ่อน ๆ พัดโชยกลิ่นหอมมวลดอกไม้นานาชนิดทำให้รู้สึกสดชื่น ดื่มด่ำกับธรรมชาติสูดลมหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ไม่มีมลพิษ ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ต้นนั้นมีชิงช้าตัวหนึ่งฉันจำได้ว่าหลี่เหมยซินชอบนั่งมันมากเพราะคนที่นางแอบรักเป็นคนทำให้นางกับมือ ฉันก็ชอบชิงช้าเหมือนกันนะแต่ไม่ใช่เหตุผลเดียวกันกับนาง
จะว่าไปพวกเราสองคนก็เหมือนกันราวกับแกะทั้งรูปร่างหน้าตา สไตล์ความชอบ ยกเว้นนิสัย หลี่เหมยซินนางเกิดมาในยุคสมัยนี้พวกเราย่อมต่างกันด้านการใช้ชีวิตรวมไปถึงด้านความคิดทัศนคติด้วย เวลาฉันฝันไม่ว่านางจะสุขหรือเศร้ามันส่งผลให้ฉันมีความรู้สึกร่วมด้วย จนบางครั้งฉันเผลอคิดว่า ‘หลี่เหมยซินคือตัวเอง’
มือเรียวบางขาวซีดเล็กน้อยของคนป่วยลูบไล้เนื้อไม้ชั้นดีที่ใช้ทำม้านั่ง มืออีกข้างพลางจับเชือกเส้นใหญ่ใช้มัดระหว่างกิ่งไม้ใหญ่กับ ม้านั่งที่รับน้ำหนักได้เยอะมีความแข็งแรงเวลาโยกชิงช้าคนนั่งจะได้ปลอดภัย
“เจ้านี่ดื้อเสียจริงพึ่งฟื้นตัวแท้ ๆ ยังกล้าเดินออกมาตากแดดตากลม ไม่กลัวล้มป่วยหนักกว่าเดิมหรือ” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้น ข้างหลัง
ฉันหันตามเสียงนั้น บุรุษร่างสูงสวมอาภรณ์สีดำลายปักเมฆาสีขาวดูองอาจสง่าผ่าเผย ใบหน้าคมสันจมูกโด่ง คิ้วหนาเข้มคมดั่งทรงกระบี่ นัยน์ตานิ่งสงบดูเย็นชาอ่านอารมณ์ได้ยาก เดินแขนข้างหนึ่งไขว้หลังไว้เข้ามาใกล้ฉัน
หลังสำรวจผู้มาเยือนคำถามในหัวฉันคือ ใคร? มองยังไงก็คุ้นหน้าเหมือนเคยเห็น อาจจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในฝันด้วยแต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร
ฉันลุกขึ้นจากชิงช้าด้วยความเร็วที่ยืนขึ้นไวไปหน่อยลืมว่าร่างนี้ยังอ่อนแอ เกิดหน้ามืดรู้สึกโลกหมุนไปมาเป็นวงกลมเกือบล้มยังดีที่คว้าเชือกชิงช้าได้
“จะเรียกร้องความสนใจจากข้าด้วยวิธีใหม่หรือ”
เพราะยังเอาตัวเองไม่รอดฉันจึงไม่ได้สนใจคำของเขามาก เหมือนพลังงานในร่างกายกำลังจะหมด ปวดหัวตุบ ๆ ราวกับเลือดในสมองจะแตก แข้งขาออกแรงทรงตัวไม่อยู่จนในที่สุดก็ทรุดลงกับพื้นกุมหัวกลั้นเสียงร้องทรมานไว้ไม่ไหวเมื่อมีภาพบางอย่างฉายเป็นฉาก ๆ รวดเร็วจนจับเป็นเรื่องเป็นราวที่เรียบเรียงไม่ได้ยัดเข้ามาในหัวอย่างมหาศาลอัดแน่นจนแทบจะระเบิด
“หลี่เหมยซิน เจ้าเป็นอะไรเหมยซิน เหมยซิน!” บุรุษผู้นั้นจับไหล่บางอย่างเบามือถามด้วยความฉงนใจที่อยู่ ๆ สตรีตรงหน้าก็ทรุดตัวลงสั่นไปทั้งร่างและยังพึมพำจับใจความไม่ได้
“โอ้ย! พอแล้ว! หยุดเดี๋ยวนี้! ฉันบอกให้หยุด!กรี้ดดด!” ฉันควบคุมความทรงจำพวกนั้นของหลี่เหมยซินไม่ได้มันมากเกินที่จะรับครั้งเดียวทั้งหมดทำให้อาการปวดหัวหนักขึ้นสมองทำงานอย่างหนัก ทรมานจนต้องกรีดร้องแทบจะระเบิดหัวตัวเองเป็นเสี่ยง ๆ แล้วหมดสติลงในสุด
“องครักษ์เฟิงข้ามีภารกิจที่ต้องให้ท่านทำร่วมกับข้า” ดวงตากระจ่างใสใต้แสงจันทร์มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ขัดกับคราบน้ำตาบนแก้มนวลอาเฟิงองครักษ์หนุ่มเบิกตากว้างเมื่อถูกสตรีผู้เป็นนายจับท้ายทอยดึงลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มของนาง ครั้งจะผลักผู้เป็นนายสาวออกก็สลัดไม่หลุด จะออกแรงมากขึ้นก็กลัวทำคนตัวเล็กเจ็บ อีกทั้งนางยังกอดรั้งเข้าแน่นอย่างกะอะไรดี ผลสุดท้ายแล้วรสจุมพิตหวานจากนางก็เริ่มมอมเมาทำให้เขาเอนอ่อนตอบรับอย่างเชื่อฟังหลี่เหมยซินดูดดื่มเรียวปากหยักได้รูปของอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาแดงกล่ำคลอน้ำใสปรือขึ้นช้าๆ มองเขากระทำจุมพิตโต้ตอบนางอย่างโหยหาไม่ต่างกัน ไม่นานองครักษ์เฟิงหนุ่มก็กลายเป็นฝ่ายนำ ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าโพรงปากเล็กคว้านหาความหวานข้างในอย่างชำนาญ จนหลี่เหมยซินอ่อนละทวยเหลวเป็นน้ำแทบทรงตัวไม่อยู่ ดีที่มีแขนแกร่งของเขาเกี่ยวรัดเอวนางไว้จนตัวนางลอยเหนือพื้นหลี่เหมยซินสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่เขายังคงอ่อนโยนจนสมองนางว่างเปล่างคิดสิ่งใดไม่ออกนอกจากคล้อยตามเขาไป“ชะ..ช้าก่อน” นางพึ่งรู้ตัวว่าถนนที่ผู้คนพลุกพล่านร่ายล้อมด้
“เดี๋ยวๆ.. หยุดก่อน.. ท่าน.. ได้ยินข้าไหม.. อย่าพึ่งไป.. นี่ เหยียนเฟิ่ง!” หลี่เหมยซินเดินแทรกเข้าไปในกลุ่มผู้คนมากมายเพื่อตามบุรุษผู้นั้น เขากำลังเดินไปที่สะพานโดยไม่หันมาตามเสียงเรียกของนาง หลี่เหมยซินรู้สึกหวั่นใจที่บุรุษผู้นั้นไม่ใช่เขา เพราะตะโกนชื่อเขาตั้งหลายรอบก็ไม่มีทางทีจะใช่เขาเลยเพราะมัวแต่ชะเง้อคอมองหาบุรุษผู้นั้นจนตอนนี้ผู้คนเยอะขึ้นเดินเบียดกันทำให้นางทรงตัวไม่อยู่ชนคนนั้นคนนี้ที่เริ่มเมาหัว หาทางออกไม่เจอ แต่จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งจับข้อมือนางไว้แล้วดึงตัวนางออกจากฝูงชนจำนวนมากหลี่เหมยซินรู้สึกเย็นๆ ที่ข้อมือนางแต่นางยังมึนๆ หน้ามืดอยู่เลยไม่ได้เงยหน้ามองผู้ที่ช่วยนางออกจากกลุ่มฝูงชนเมื่อครู่ ใช้มืออีกข้างเคาะหัวตัวเองเบาๆ แล้วหลับตาปี๋เพื่อให้หายหน้ามืด ดวงตาประกายแสงจากโคมไฟลืมตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลามาดเข้มจมูกโด่งได้รูปดวงตาดำสนิทแฝงความดุดันแต่กลับอ่อนโยนกำลังจ้องมอง นางนิ่งเดาอารมณ์และความคิดของเขาไม่ถูก แววตาเยือกเย็นดั่งธาราน้ำแข็งหายไปชั่วพริบตาเหลือไว้ให้เห็นแต่ความอบอุ่นที่ซ้อนอยู่นัยน์ตาดำคู่นั้นเหยียนเฟิ่ง
ในเมืองซวงโจวผู้คนเดินพลุกพล่านไปมาจับจ่ายซื้อของตามร้านค้าอย่างครึกครื้น สตรีร่างบางสวมอาภรณ์สีขาวลวดลายดอกเหมยสีชาด เรียวขายาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งบนถนนมากผู้คน ดวงตางดงามคู่นั้นกระจ่างใสทอประกายแวววาวแห่งความสุขทอดมองไปยังเบื้องหน้า นางหันซ้ายทีขวาทีท่าทางตื่นเต้นมองหาบางสิ่งบางอย่างบนท้องถนนในเมืองมากผู้คน‘บุรุษผู้นั้นถูกพิษน้ำค้างแข็ง วันนั้นที่เขาหายตัวไปข้าพบเขาตอนที่ร่างกายกำลังถูกแช่แข็ง อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนักรวมถึงบาดแผลที่ถูกแทงจากการต่อสู้กับนักฆ่ายิ่งทำให้เขาอ่อนแอลง ยามนั้นข้าไม่มีทางเลือกนอกจากผนึกร่างเขาไว้แล้วใช้พลังปราณรักษาเขา แต่ว่าสุดท้ายก็ฝืนลิขิตฟ้าไม่ได้..’สตรีนางนั้นหยุดฝีท้าวลงกระทันหัน นางเหนื่อยหอบลมหายใจเข้าออกรัวๆ เหงื่อเริ่มไหลทั่วใบหน้า นางหยุดพักเอาแรงพยายามปรับลมหายใจให้คงที่ ช้อนตาขึ้นมองผู้คนรอบด้านบนท้องถนนอีกครั้งอย่างไม่ลดละความตั้งใจ‘เกิดอะไรขึ้นกับเขาเจ้าคะ’‘เขาตายแล้ว’ฝีท้าวเริ่มก้าวเดินอย่างเชื่องช้าทีละก้าวด้วยความอ่อนแรง ใบหน้าสง่างามของสตรีวัยยี่สิบกว่ามีดวงตาเจือความเจ็บปวดรวดร้าวเมื่อรู้จุดจบของบ
“พลังวิญญาณที่บุรุษผู้นั้นคืนให้สำคัญต่อข้ามาก ส่วนหนึ่งของพลังข้าใส่ไว้ในกำไลที่เจ้าสวมอยู่ช่วยให้ห่อหุ้มดวงจิตเปราะบางที่พึ่งข้ามภพข้ามชาติอย่างเจ้าให้มีชีวิตรอดต่อไป พลังนี้ยังช่วยพยุงลมหายใจของเจ้าตลอดหนึ่งปีที่เจ้ายังไม่ฟื้น หลังผ่านความเป็นตายสายเลือดนักเวทย์ในอดีตชาติก็ถูกปลุกทำให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์มากกว่าคนทั่วไป”“กำไลไม้มีพลังวิญญาณแถมยัง.. ปลุกสายเลือดนักเวทย์ พี่สะใภ้เรื่องมันชักจะวุ่นวายไปหน่อยหรือไม่ นักเวทย์เชียวนะเจ้าคะข้าไม่ชอบความวุ่นวายท่าน.. ท่านเอามันออกไปได้หรือไม่” ฉันกลายเป็นคนมีของดีโดยไม่รู้ตัวเลยต้องมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง แต่ว่าชีวิตที่สงบสุขหลายปีมานี้จะหายไปเพราะมันหรือไม่ หากมีคนรู้จักเกิดสิ่งใดขึ้น คงหาว่านางเป็นปีศาจแล้วจับเผาหรืออยากจับไปเป็นหนูทดลอง“วางใจเถิดหากเจ้าไม่รู้วิธีนำออกมาใช้ ยังไงสุดท้ายก็มีชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีสายเลือดนักเวทย์ การไม่ได้รับการฝึกฝนมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากสายเลือดนักเวทย์ทำให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงและมีกำลังมากกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเฉยๆ”“ค่อยยังชั่วเจ้าค่ะ”“หนึ่งสิทธิ์ต่อหนึ่งชีว
3 ปีผ่านไป บนยอดภูเขาสูงเขียวขจีป่าไม้ร่มรื่นเสียงนกน้อยบินล่องบนท้องนภาเป็นฝูง แสงพระอาทิตย์อ่อนๆ ส่องสว่างทั่วผืนป่าในยามเย็น หลี่เหมยซินนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์นี้ด้วยรอยยิ้มสดชื่น ดวงหน้างามเปล่งปลั่งดูสดใสแววตาไม่มีความทุกข์ความกังวลใจเหมือนดั่งเช่นอดีตฉันยิ้มรับสายลมอ่อนๆ พัดผ่าน เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอนนางจึงพยายามหาความสุขให้กับตัวเอง ไม่อยากให้ชีวิตจมปลักอยู่กับความทุกข์ในอดีต ใช้เวลาที่มีอยู่ทำเรื่องที่อยากทำแล้วไม่เสียใจภายหลัง ชีวิตของฉันในเมืองซวงโจวก็ไม่มีอะไรมากเป็นชีวิตเรียบๆ สบายๆ ปัญหาก็มีเข้ามาบ้างเพิ่มสีสันให้ชีวิตไม่น่าเบื่อเกินไป แต่ละวันจะหานู่นหานี่ทำไม่ยอมให้ตัวเองว่างเพราะว่างทีไรคิดถึงใครบางคนทุกที“ว้าย!” หลี่เหมยซินอุทานเสียงดังเกือบหงายหลังตกใจ นั่งอยู่คนเดียวตรงนี้เป็นชั่วยามจู่ๆ ก็มีคนโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ฉันสะดุ้งตัวโยนเกือบตกหน้าผา“ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” หลันเซ่อหรือหนิงเทียนนั่งลงข้างๆ ขณะฉันยังคงลูบอกปลอบขวัญตัวเองพลางมองคนต้นเหตุทำขวัญตนหาย นอกจากโผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วจากข่าวที่ได้ยินเหล่าบุปผาราตรีกลับฉางอั
“ได้เบาะแสเขาบ้างหรือไม่” พอเห็นหน้าฮ่าวหรานประโยคแรกที่พูดกับเขาทุกวันนี้คือถามความคืบหน้าการตามหาเว่ยเหยียนเฟิ่ง ฮ่าวหรานก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบเดิมทุกครั้ง“เหมยซินปล่อยวางเถิดพวกเราหาเขาทุกที่แล้วนะ” พลิกแผ่นดินหาเป็นปีกว่าแล้วยังไม่พบเจออะไรเกี่ยวกับบุรุษที่หายไปกลางอากาศ หากยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะเจออะไรบ้าง“ถ้าท่านเหนื่อย ช่วยตามหาไม่ไหวก็ไม่ต้องทำแล้ว” น้ำเสียงนุ่มไม่มีแววโกรธหรือน้อยใจของคนตรงหน้า แต่อารมณ์หลี่เหมยซินกำลังดิ่งจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ฉันเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอนแต่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน“ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไร แต่เจ้าต่างหากทำตัวปกติทั้งที่ข้างในใจคิดถึงแต่เขาตลอด ข้าห่วงสุขภาพจิตเจ้านะหลี่เหมยซิน” เขาเห็นแววตาประกายความหวังของนางทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องเว่ยเหยียนเฟิ่ง ดวงตาคู่นั้นผิดหวังและเศร้าหมองลงเมื่อได้รับคำตอบ“ฮ่าวหรานข้าดูแย่ขนาดนั้นเชียวรึ” ที่ผ่านมาฉันก็ทำตัวยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดไม่ได้แสดงความทุกข์ใจต่อหน้าใครทั้งสิ้น“รอยยิ้มของเจ้าไม่ถึงตาด้วยซ้ำ”ฉันสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วถอนหายใจยาว “เพราะชี