ความเจ็บปวดทรมานหายไปรู้สึกเหมือนร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยสายไหมบางเบาและอ่อนโยน ปรือตาช้า ๆ มองโดยรอบพบแต่ความว่างเปล่าในความมืดนอกจากตรงที่นั่งอยู่ก็ไม่มีแสงสว่างให้มองเห็นสิ่งรอบกาย ไม่นานมือขวาของฉันปรากฏขึ้นแสงเล็กหนึ่งดวงท่ามกลางความมืดมิดจากนั้นดวงที่สองสามก็ตามมาเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนไม่สามารถนับได้หมดแสงพวกนั้นจากที่เกาะร่างกายเต็มไปหมดสะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด
แสงดวงเล็ก ๆ พวกนั้นค่อย ๆ หลุดลอยไปเบื้องหน้าแล้วรวมตัวกันจนเกิดแสงสว่างจ้าสิบเท่า ยกมือบังหน้าหลับตาปี๋สักพักเสียงหัวเราะสดใสของเด็กน้อยดังขึ้น ภาพตรงหน้าเป็นแผ่นหลังของดรุณีน้อยกำลังวิ่งไล่ผีเสื้อเล่นในสวนดอกไม้สนุกสนานคนเดียว นางร่าเริงและซุกซนตามประสาเด็กกำลังโต มีครอบครัวที่อบอุ่นได้รับความรักจากบิดามารดาไม่ขาด
กระทั่งนางเติบโตมาอย่างสมบูรณ์แบบแล้วได้หมั้นหมายกับองค์ชายสามซึ่งเขาเป็นสหายของนางตั้งแต่เด็ก ฉันรู้สึกว่าลึก ๆ แล้ว หลี่เหมยซินชอบพอสหายตนไม่น้อยแต่ก็กลัวว่าหากเปลี่ยนสถานะสหายจากมิตรภาพที่ดีระหว่างนางและเขาจะหายไป
จึงเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้เพื่อรักษาสิ่งที่มีอยู่ไม่อยากให้เขาลำบากใจเวลาเจอหน้ากัน ทว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากลับเริ่มห่างเหินมากขึ้นแม้ทั้งสองจะไม่แสดงออกให้ใครเข้าใจว่ารู้สึกอย่างไรกับราชโองการหมั้นหมายครั้งนี้
จนสุดท้ายสิ่งที่นางกลัวมาตลอดก็เกิดขึ้นจริง เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เพราะเขาได้รับบาดเจ็บจนล้มป่วยเกิดความจำเสื่อมแถมยังมีสตรีอ้างว่าเป็นดวงใจเพิ่มมาอีก
มิตรภาพระหว่างสหายนอกจากรักษาไว้ไม่ได้แล้วเขายังลืมนางจนสิ้นกลายเป็นคนละคนไม่เหมือนคนที่นางเคยรู้จัก แต่นางไม่หมดหวังพยายามทำทุกวิถีทางให้เขาจำเรื่องราวในอดีตได้
นานวันเข้าการกระทำของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นหึงหวงถึงขั้นทำร้ายสตรีทุกคนที่เข้าใกล้คู่หมั้นของตนทำให้ผู้อื่นต่างมองนางเป็นสตรีร้ายกาจที่วัน ๆ เอาแต่ไล่ตามเฝ้าองค์ชายสาม นับแต่นั้นเด็กน้อยว่านอนสอนง่ายอ่อนหวานเรียบร้อยในวันวานไม่เคยมีอยู่จริง
ความดื้อรั้นของนางนำหายนะมาสู่ครอบครัวเมื่อบิดาถูกประหารชีวิตข้อหาคิดกบฏ ส่วนมารดาส่งนางหนีตายไปบ้านเกิดทว่ายังไม่พ้นประตูเมืองกลับถูกนักฆ่าไล่ล่าจนสูญเสียมารดาไปอีกคนในวันเดียวกัน ทหารหลวงตามมาช่วยชีวิตนางได้ทัน จะเรียกว่าช่วยก็ไม่ถูกพวกเขาจับนางขังไว้ในคุกใต้ดิน นางจมอยู่ในความมืดมิดและความเสียใจ ยามหลับตาลงภาพมารดาวิ่งเข้ามารับคมดาบแทนนางจนเสียชีวิตก็ยังคงติดตาตลอดไป
ครึ่งปีที่นางต้องอยู่ในคุกใต้ดินอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างมาตลอด จนได้ออกมาดูโลกภายนอกและพบกับแสงตะวันอีกครั้ง นางควรมีความสุขใช่หรือไม่ที่วันนั้นคือกำหนดวันตายของนาง ด้วยการถูกเผาทั้งเป็นข้อหาที่ไร้ซึ่งความคิด เพราะพวกเขากล่าวว่านางเป็นดวงหายนะของแคว้นตามคำทำนายเมื่อ 20 ปีก่อน ไร้สาระสิ้นดี!
ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่จุดจบเพราะในความฝันนางได้รับความช่วยเหลือจากคนกลุ่มหนึ่งก่อนที่ไฟจะเผานางทั้งเป็นได้ทันเวลา นางอาศัยอยู่กับประมุขฮ่าวเทียนห่างไกลจากแคว้นเว่ยหลายพันลี้ เขาพยายามหาทางรักษาอาการป่วยทางจิตของนางให้หาย ทว่าทำอย่างไรนางก็ยังคงซึมเศร้าเหมือนเดิม
นางไม่ถามหาเหตุผลที่เขาช่วยชีวิตและยังทำดีกับนางตลอด แต่นางไม่อาจปล่อยวางเรื่องที่ท่านพ่อถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ด้วยเหตุนี้ทำให้นางลุกขึ้นสู้อีกครั้งเพื่อตามหาความจริงโดยมีประมุขฮ่าวเทียนหนุนหลัง ด้วยอำนาจของเขาช่วยนางสืบหาหลักฐานทั้งหมดได้ภายในสามเดือน
มือของนางเปื้อนเลือดผู้คนนับไม่ถ้วนเพื่อล้างมลทินให้ครอบครัว เป็นวันเดียวกับที่องค์ชายสามรักแรกของนางกำลังเข้าพิธีมงคลกับสตรีในดวงใจของเขา ซึ่งตระกูลของสตรีผู้นี้เป็นตัวการอยู่เบื้องหลังแผนการร้ายทั้งหมด
หลี่เหมยซินซ่อนตัวอยู่ในงานมองเขาบนม้าตัวใหญ่เดินนำหน้าขบวนเจ้าสาว ฉันมองภาพนี้ด้วยความรู้สึกหลากหลายตลอดเรื่องราวฉันมักยืนมองอยู่ข้างหลังแล้วมีความรู้สึกร่วมกับนางเหมือนเผชิญหน้ากับเรื่องราวทั้งหมดด้วย ดังนั้นฉันจึงเข้าใจความรู้สึกของนางภายใต้ใบหน้าที่นิ่งสงบ ไม่แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาว่าทรมานมากเพียงใด
เพราะความฝันล่าสุดจบลงที่พิธีคำนับฟ้าดินขององค์ชายสามกับสตรีนางนั้นแล้วฉันก็ตื่นขึ้นมาใปสนามบิน ดังนั้นเรื่องราวต่อจากนี้มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีราวกับว่านี่เป็นตอนจบของละครเรื่องหนึ่ง ทว่า..
ในที่สุดภาพวาดก็เสร็จสมบูรณ์หลี่เหมยซินยิ้มแก้มปริ พับกระดาษเป็นรูปจรวดพลางออกแรงโยนใส่เฉิงเซ่อนิดเล็กให้บินไปหาเขาระยะใกล้ “เสร็จแล้ว ข้ากลับก่อนล่ะกัน ไว้ข้าจะไปอุดหนุนร้านท่านนะเฉิงเซ่อ”“เจ้าไม่เอาไปใช้วันนี้เลยรึ” ยื่นดินสอให้นาง“ไม่แล้ว ไว้ซื้อกับเจ้าวันเปิดร้านดีกว่า” คือฉันจะหาเรื่องออกจากจวนมาสืบข่าวและตามเก็บหลักฐานที่จำได้ในอดีตชาติเพิ่มเติม วันนี้ได้ข่าวของประมุขพรรคฮ่าวหรานผู้มีบุญคุณกับฉัน“กล่าววาจาห้ามคืนคำ” นัยน์ตาคู่คมประกายสีส้มเหลือบมองนางลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมใส่หมวกคลุมหน้า“แน่นอน” พลางยกมือขึ้นบาย เฉิงเซ่อยกมือหนาของเขาขึ้นเองทำตามได้เป็นอย่างธรรมชาติเหมือนเขาทำบ่อย“ฝนยังไม่หยุดตกเจ้าจะรีบกลับทำไมประเดี๋ยวโดนฝนก็ไม่สบายอีก” น้ำเสียงราบเรียบติดอาลัยอาวรณ์ของเหยียนเฟิ่งกล่าวพลางจับแขนรั้งตัวนางไว้แน่นหนา“หม่อมฉันก็เป็นแบบนี้แหละเพคะไม่สบายกายไม่สบายใจยามเข้าใกล้พระองค์สักเท่าไหร่” ตอบกลับแบบไม่เกรงกลัว ก็ไม่รู้เอาความกล้ามาจากไหนแต่ก็พลั้งปากไปแล้วนิ“ข้าพูดดี ๆ กับเจ้า เหตุใดจึงตอบอย่างไม่ไว้หน้าข้าบ้าง” เสี
“ไม่” ฉันตอบเสียงเรียบ "ข้ามีสหายเก่ง ๆ กันทั้งนั้นแหละ ไม่แปลกใจสักนิด"“เอ่อ.. คุณชายหากท่านไม่ติดขัดอะไรข้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับหอวิหคราตรี ท่านพอจะเล่าให้ฟังได้หรือไม่เจ้าคะ” เสียงหวานถามบุรุษอาภรณ์สีส้มอ่อน“แม่นางกล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าเป็นแค่พ่อค้าพเนจรที่บังเอิญพบสถานที่งดงามอย่างหอวิหคราตรี เห็นแววสินค้าตนจะเจริญรุ่งเรืองหากลงทุนที่แห่งนั้น จึงทำข้อตกลงทางการค้ากับเจ้าของหอวิหคราตรีเท่านั้น”หลี่เหมยซินคิ้วกระตุก ข้อตกลงรึ? เป็นประโยคปฏิเสธทางอ้อมค้อมได้ดี ใคร ๆ ก็รู้ว่าเรื่องข้อตกลงหรือเงื่อนไขของหอวิหคราตรีต้องเป็นความลับห้ามผู้ใดรู้เป็นอันขาดเป็นสถานที่ที่ขนาดเชื้อพระวงค์ยังไม่กล้าแตะต้อง เฉิงเซ่อช่างมีไหวพริบเล่นเอาหม่าฉวี่หลินเงิบไปเลย“เจ้าของหอวิหคมีสายตาที่เฉียบแหลมมากถึงได้ยอมทำการค้ากับสหาย” พลางส่งซิกให้เฉิงเซ่อ ทว่าเขาก็ไม่รับคำชมที่ตนสามารถนำสินค้าไปขายในหอวิหคราตรีได้“หึ เจ้าก็ทำได้มิเลวเลยด้วย” มือหนายกชาขึ้นจิบพลางสบตาหลี่เหมยซินสหายใหม่ มองลึกเข้าไปนัยน์ตาสีดำประกายสีส้มนั่นซ่อนเรื่องราวไว้มากมายยากคาดเดาว่าประโย
เปรี้ยง! ครานี้ของจริงสายฟ้าผ่าลงมากลางเมืองหลวงแคว้นเว่ยแต่ไม่ได้สร้างความเสียหายใดต่อบ้านเมือง แต่มันผ่าเส้นความอดทนของหลี่เหมยซินซะงั้น นางพยายามควบคุมสติไม่ให้มือที่ถือดินสอร่างภาพอยู่เขวี้ยงใส่หน้าหม่าฉวี่หลิน สตรีที่มาพร้อมสหายเก่าพวงตำแหน่งว่าที่คู่หมั้นดูมัน! พอเหยียนเฟิ่งนั่งลงแทนที่เจ้าตัวจะนั่งฝั่งตรงข้ามนางกลับเดินเข้าหาเหยียนเฟิ่งแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าตนซับหยาดฝนบนใบหน้าของบุรุษ ส่วนคนโดนบริการก็นั่งนิ่งปล่อยผ่าน โอ้ยยัยนี่มันน่าตบสักที อะไรจะสวีทกันปานนั้น ไปหวานกันไกล ๆ ตาข้าไม่ได้รึ‘เว่ยเหยียนเฟิ่ง! ท่านคือคนที่สวรรค์ส่งมาทดสอบความอดทนของข้ารึ’ ฉันรู้สึกคัดไม้คัดมืออยากกระชากหัวหม่าฉวี่หลินที่ทำตัวสนิทสนมกับว่าที่คู่หมั้นผู้อื่นได้ออกหน้าออกตา น่าหมั่นไส้จริง แต่ต้องเก็บความแค้นไว้ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เดี๋ยวเสียแผนหมดใจเย็น ๆคดีตกน้ำตกท่ายังไม่เคลียร์อยากจะสร้างคดีเพิ่ม หลี่เหมยซิน คนนี้ก็ไม่ติดขัดพร้อมฟาดเสมอ แต่ท่องไว้เพื่อท่านพ่อท่านแม่เพื่อครอบครัวเพื่อชีวิตสงบสุขในอนาคต เย็นไว้ พอฉันข่มความเดือดดาลไว้ข้างในได้ก็หันไปยิ้มน้อยพร้อมยักคิ้วให้เฉิง
“ข้าเดาเอาน่ะ” จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยได้อย่างเชี่ยวชาญโดยการใช้เรื่องเจรจาการซื้อขายแทน กระทั่งหลี่เหมยซินถามนามของเขา“เรียกข้าว่า ‘เฉิงเซ่อ’ ก็ได้สหายข้าชอบเรียกกันเช่นนั้น” เขากล่าวทั้งหัวเราะเมื่อนึกถึงสหายของตนกับชื่อเรียก“เฉิงเซ่อแปลว่าสีส้ม เหมาะกับดวงตาของท่านที่ประกายแสงสีส้มจริง ๆ เจ้าค่ะ” พอฉันพูดออกไปแบบนั้นเขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เกาหลังหัวคล้ายเขินกับคำชมของฉัน อะไรก็แค่พูดตามความจริงนะดวงตากลมมองโดยรอบจากนั้นฉันก็กวักมือเรียกเขาโน้มตัวยื่นหูมาใกล้ ๆ หน่อย กระซิบเสียง “ส่วนข้านามว่าหลี่เหมยซินเจ้าค่ะ”เฉิงเซ่อเขามองฉันใช้ผ้าขาวบางปกปิดครึ่งใบหน้าหัวคิ้วข้างซ้ายมีรูปดอกเหมยสีแดงติดอยู่ เฉิงเซ่อคล้ายจะตีความช้าไปนิด เขามองนางนิ่งก่อนเบิกตากว้างหลังตีโจทย์ปัญหาได้ “เจ้า..”“ตามนั้นเจ้าค่ะ” ฉันผู้ไม่มีอะไรจะเสียเรียกว่าก่อนออกจากจวนได้ทาปูนหนาชั้นกันหน้าบาง ๆ ไว้พร้อม ถามว่าอายไหมก็นิดหนึ่งแต่รู้สึกตลกตัวเองมากกว่าที่มีชื่อเสียงในด้านติดลบแบบไม่ธรรมดา“ท่านจะเลิกคบเป็นสหายข้าก็ไม่ว่า แต่ข้าในฐานะ
“แม่นางข้าขอนั่งด้วยคนได้หรือไม่” เสียงนุ่มทุ้มเรียกความสนใจฉันออกจากบทสนทนาของกลุ่มสตรีข้างโต๊ะฉันหันตามเสียงเรียกเงยหน้าขึ้นพบบุรุษร่างสูงผอมบางอายุราว ๆ ยี่สิบปีต้น ๆ เขาสวมใส่อาภรณ์สีส้มอ่อนไร้ลวดลาย ใบหน้าคมเลิกคิ้วรอคำตอบ“คือที่นั่งในร้านอาหารเต็มหมดแล้ว ข้างนอกฝนตกหนักข้าขอนั่งรอฝนหยุดด้วยคนก็เท่านั้น”“อ๋อ เชิญเจ้าค่ะ” ผายมือข้างซ้ายเชิญให้นั่งฝั่งตรงข้าม“ขอบคุณ”เมื่อเกิดความเงียบบนโต๊ะตัวเองแล้ว บทสนทนาของสตรีข้างโต๊ะไม่ไกลมากนักจึงได้ยินชัดเจน‘เจ้าก็พูดได้สิ เจ้าไม่เคยเห็นนางตบตีกับคุณหนูในห้องหอจวนอื่นจนเลือดสาด’‘นางน่ะร้ายกาจที่สุดในแคว้นแล้ว เวลาเกิดเรื่องหยิบจับอะไรก็เป็นอาวุธได้หมด หากไม่หยิบนางก็สามารถทำให้สตรีผู้นั้นฟกช้ำด้วยสองมือหรือสองเท้าของนางเอง น่านับถือหรือไม่’‘วรยุทธนางล้ำเลิศแต่ควรมีสติมากกว่านี้ ตอนข้าซื้อของในตลาดข้าเห็นนางใช้ปิ่นปักผมกรีดใบหน้างาม ๆ ของคุณหนูผู้หนึ่ง ภายหลังได้ยินว่าดีที่แผลไม่ลึกจึงไม่เสียโฉมมานัก’ประโยคกึ่งด่ากึ่งชมของพวกนางทำเอาฉันแทบกลั้นขำไม่อยู่ สงสัยแผลเ
ซ่าา ซ่าา ปรายตามองเสียงสายฝนพร้อมสายลมพัดเข้ามากระทบขอบหน้าต่างเล็กน้อย น้ำฝนข้างนอกถูกสายลมพัดเข้ามาเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ กระทบใส่ดวงหน้างามใต้ผ้าคลุมสีขาวบางที่ปลิวไสวตามลมตลาดแคว้นเว่ยเมื่อครู่ยังครึกครื้นอยู่เลย ตอนนี้ผู้คนต่างวิ่งหาที่หลบฝนตกกะทันหันทั้งที่วันนี้ช่วงเช้าท้องฟ้ายังแจ่มใส ช่วงบ่ายกลับมีฝนตกลมกระโชกแรงอย่างคาดไม่ถึง‘ข้าไม่ทำการค้าขาดกำไร หลังเจ้ารู้ผลประโยชน์ที่ตนได้รับแล้ว ต้องทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง’“ทุกอย่างหรอ ข้าจะโดนหลอกไหมเนี่ย” หลี่เหมยซินเหม่อลอยมองท้องถนนข้างล่างที่เริ่มไร้ผู้คนเพ่นพ่านผ่านม่านสายฝน ไม่รู้ตัวว่าอาอิงนั้นรีบปิดหน้าต่างนานแล้วเพราะเห็นลมแรงกลัวคุณหนูไม่สบายหลังจากออกมาจากหอวิหคราตรี เดิมเรื่อย ๆ มาจุดนัดพบที่เหล่าอาหารไม่ไกลมานัก จู่ ๆ ท้องฟ้าเกิดเมฆครึ้มสายฝนตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ต้องนั่งรอฝนหยุดก่อนเพราะเดี๋ยวอาการป่วยคุณหนูจะกำเริบ“เสื้อคลุมเจ้าค่ะ เดี๋ยวไม่สบายนะเจ้าคะ” นางกล่าวพลางเอื้อมมือคลุมเสื้อให้นายสาวอย่างเบามือ ก่อนรินน้ำชาร้อนให้ด้วย&
สตรีผู้เป็นเจ้านายของท่านลุงเดินตรงมาที่ฉัน ดวงตาสีน้ำเงินดังรัตติกาลห้วงลึกล้ำสบตาฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่งคล้ายยิ้มก็ไม่ยิ้ม นางกล่าวเสียงเรียบกับท่านลุงทั้งยังไม่ละสายตาจากฉัน“ลุงจินลงไปจัดการปัญหาที่ชั้นสามเถิด ส่วนสองคนนี้ข้าจะสานต่อเอง”ท่านลุงรับคำสั่งอย่างว่าง่ายคำนับนางอีกครั้งแล้วไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย สตรีผู้นี้พิกลเสียจริงทั้งที่นางลงมาจากชั้นหกกลับบอกว่าชั้นสามมีปัญหาท่านลุงก็เชื่อนัยน์ตาประกายสีน้ำเงินของสตรีเจ้าของหอเปลี่ยนไป ก็ไม่เข้าใจว่าเปลี่ยนยังไง แค่รู้สึกว่าเมื่อกี้ตอนสบตานางอย่างกับถูกมนต์สะกด รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยพบกันมาก่อนเจ้าของหอปรายตามองทั้งสองคนที่เข้ามาในฐานะลูกค้า ก่อนกล่าวพลางเดินขึ้นบันไดทางที่ตนพึ่งมา “เจ้าตามข้ามา”ระหว่างเดินตามสตรีเจ้าของหอไปชั้นหกนางทำท่าจะเปิดประตูห้องทว่าก็หันมาสบตาใต้หน้ากากกับพวกเรา “ข้าหมายถึงให้นางตามมาคนเดียว”“?” ฉันเลิกคิ้วหันไปมองบุรุษร่างสูงข้างกาย เขายังคงมีท่าทีสงบนิ่ง เจ้าของหอเดินไปที่ระเบียงตะโกนเรียกคนจาก
“ตั๋วเงินสามร้อยตำลึงทอง ตราวิหค”หลี่เหมยซินเบิกตากว้างยังดีที่หมวกคุมใบหน้างามตกตะลึงไว้อยู่ ลอบมองบุรุษร่างสูงมาใหม่ด้วยอารมณ์หลากหลายเขาก็สวมหมวกคลุมหน้าสีดำเช่นเดียวกับนาง ก่อนที่หลี่เหมยซินจะออกปากว่าเขาไร้มารยาท ท่านลุงก็ตอบกลับไวกว่านาง“บัตรเข้าร่วมชิงหมดแล้วขอรับ” ท่านลุงพูดได้ถูกใจฉันมาก มันหมายความว่าถึงฉันจะจ่ายน้อยกว่าท่านลุงเก็บบัตรใบสุดท้ายไว้ให้ฉันแล้วแม้จะยังไม่ลงนามทำสัญญา“ใบสุดท้ายยังไม่ถูกขาย คนผู้นี้ยังไม่ได้จ่ายค่าบัตรให้เจ้ามิใช่หรือ” เขาพูดเสียงเย็น“ใช่ขอรับ แต่อยู่ในขั้นตอนการตกลงกันอยู่ถือว่าท่านนี้มีสิทธิ์ซื้อก่อนขอรับ เว้นแต่จะถูกยกเลิก” ความอ่อนน้อมถ่อมตัวยังมีล้นเหลือ“ข้าวางเงินแล้วจำนวนเยอะกว่าหลายเท่าในข้อตกลง เจ้ากลับไม่สนใจว่าหอวิหคราตรีจะได้กำไรมากกว่า”“สามร้อยตำลึงทองของท่านทางหอวิหคราตรีจะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่านจะแพ้หรือชนะในวันชิงตราวิหคต่างหากขอรับ ต่างจากท่านผู้นี้ที่จ่ายเพียงสิบตำลึงเงินต่อให้แพ้หรือชนะทางหอวิหคราตรีของเราก็ได้รั
ชายวัยกลางคนเดินกลับมาแจ้งให้ฉันทราบเกี่ยวกับสินค้าที่สั่ง “ท่านโชคดีมากเลยขอรับที่ได้บัตรเข้าร่วมชิงตราวิหคเป็นใบสุดท้าย ราคาอยู่ที่สามร้อยตำลึงทองขอรับ”สามร้อยตำลึงทอง! ไม่ใช่คนทั่วไปไม่สนใจแล้ว แต่เป็นเพราะราคามันแพงเกินไปต่างหาก “ท่านลุงเหตุใดราคาตั๋วจึงสูงถึงเพียงนี้”ชายวัยคนกลางเห็นฉันตกตะลึงจนกะพริบตาปริบ ๆ มองบัตร สีเงินที่ใช้เข้าร่วมชิงตราวิหค จึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เช่นนั้นท่านจงตอบก่อนว่ารู้จักตราวิหคของหอแห่งนี้มากน้อยเพียงใดขอรับ”ฉันจำได้ว่าอดีตชาติประมุขฮ่าวหรานบุรุษที่เคยช่วยชีวิตจากกองไฟในอดีตชาติ เขามอบตราวิหคให้ฉันเพื่อใช้หาหลักฐานเอาผิดคนชั่วที่ใส่ร้ายครอบครัวฉัน เพียงแค่นำตรานี้ไปยื่นที่หอวิหคราตรีแล้วกล่าวสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้นหากได้รับอนุมัติจากเจ้าของหอสิ่งที่ขอก็จะมาอยู่ในมือ แต่หากไม่ได้รับการอนุมัติก็จะสูญเสียตราวิหคโดยไม่ได้อะไรกลับคืนชายวัยกลางคนเห็นลูกค้าเงียบไปนานสองนานจึงกล่าวให้กระจ่างเกี่ยวกับสินค้าชิ้นนี้ “ตราวิหคหนึ่งปีมีเพียงชิ้นเดียวนายท่านของข้าน้อยก็คือเจ้าของหอผ