LOGIN
“ถึงไหนแล้วยิป พวกเราจะเมากันหมดแล้วนะ”
(ลิ้นพันแบบนี้ฉันว่าพวกแกเมาแล้ว ไม่ใช่จะเมาหรอก)
“ไม่ต้องมายอกย้อนตอนนี้หล่อนถึงไหนแล้ว”
(ใกล้ถึงแล้ว อีกไม่เกินสิบนาที แค่นี้นะ)
“ว่าไงนังแวน ไอ้ยิปซีมันถึงไหนแล้ว” เพื่อนชายใจหญิงที่ชื่อปลาหมึกถามเสียงอ้อแอ้
“อีกสิบนาทีถึงชัวร์ แกไปรอรับที่หน้าร้านได้เลย”
“ไปไม่ไหวแล้ว ขืนไปฉันคงโดนหนุ่ม ๆ ที่แอบมองฉุดไปข่มขืนแน่” ปลาหมึกทำเสียงวี้ดว้ายน่าหมั่นไส้
“แกขย่มมันหรือมันขย่มแกล่ะนังหมึก คิก ๆ ๆ”
“หยาบคายที่สุดนังปลา ข่มขืนย่ะไม่ใช่ขย่ม” ปลาหมึกทำปากขมุบขมิบแล้วสะบัดหน้าจนคางเชิด
“แวนแกดูกะเทยควายงอนสิ” ปลาหัวเราะดังลั่นกับท่าทีของเพื่อนชายใจหญิง
“กรี๊ด!.. พวกแกว่าฉันเป็นกะเทยควายเหรอ ถ้าไอ้ยิปมาเมื่อไหร่ฉันจะให้มันจัดการพวกแกคอยดู” ปลาหมึกทำเป็นโวยวายเสียงดังลั่น แต่เธอก็รู้ว่าเพื่อนหยอกเพราะรัก และพวกเธอก็มักจะเล่นกันแบบนี้เสมอจนถือเป็นเรื่องปกติ
“พูดถึงไอ้ยิปแล้วฉันก็เห็นใจมันจริง ๆ นะ เรียนปีหนึ่งเสียพ่อ พอเรียนจบปริญญาโทก็มาเสียแม่ไปอีก แล้วยังเกิดเป็นลูกคนเดียวอีก ญาติพี่น้องก็อยู่ไกลแทบไม่เคยติดต่อกัน ความสนิทสนมจึงไม่มี ถ้ามันไม่มีพวกเรามันจะเป็นยังไงบ้างวะ” แวนรำพันถึงเพื่อนด้วยความเห็นใจ เพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมจึงรู้เรื่องดีทุกอย่าง
แม้ความสูญเสียของเพื่อนจะผ่านมาเป็นปี แต่ก็ยังจำได้ดี
“ถ้าสงสารมันก็อย่าหนีไปมีผัวก่อนก็แล้วกัน ให้มันมีก่อนแล้วพวกเราค่อยมีทีหลัง”
“แกคิดได้ไงวะนังปลา” แวนใช้สายตาตำหนิเพื่อน แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แกคิดว่าหน้าตาอย่างพวกเราจะขายออกก่อนยิปซีเหรอวะ ยังไงมันก็ขายออกก่อนพวกเราอยู่แล้ว”
“ขำ ๆ น่านังแวน แต่ฉันว่าเป็นยิปซีก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องมีห่วงอะไร ผิดกับพวกเราลิบลับ ที่ยังต้องส่งเสียครอบครัวอยู่ คนเก่ง ๆ อย่างมันไม่ลำบากหรอก เรียนเก่งจบปริญญาโทแค่อายุยี่สิบสอง กีฬาก็เก่ง กับข้าวก็เก่ง สวย หุ่นดี ภาษาก็เก่งทั้งไทย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส ล่าสุดได้ข่าวแว่วมาว่าบ้าเกาหลี ไปแอบเรียนมาซะคล่องเชียว ใครกล้าสู้มันวะ ฉันว่าพ่อกับแม่ของมันไปอย่างหมดห่วงแล้ว เพราะท่านส่งเสียให้มันเรียนจนความรู้มันล้นสมองแล้ว” พูดจบก็ยกแก้วค็อกเทลมาดื่มแก้กระหายไปอึกใหญ่
“พวกแกเล่าเรื่องพ่อยิปซีให้ฉันฟังบ้างสิ แกก็รู้ว่าฉันรู้จักพวกแกทีหลัง” นังปลาหมึกของเพื่อน ๆ ร้องขอ เพราะส่วนตัวแล้วหล่อนก็นิยมชมชอบความเก่งของเพื่อนจนยกให้เธอเป็นไอดอล แต่ก็ไม่เคยรู้เรื่องบิดาของเธอมากนัก เพราะไม่เคยถามสักที
“ฉันเล่าเอง” แวนยกมือเสนอตัว “พ่อยิปซีเป็นเจ้าของค่ายมวยที่อยู่ติดกับบ้านฉันทุกวันนี้ไง พ่อรักมันมาก สอนให้มันต่อยมวยตั้งแต่เด็ก แล้วให้เรียนวิชาป้องกันตัวสารพัด ถึงขนาดได้ลงแข่งเลยนะแก ส่วนแม่ของมันก็กลัวว่าลูกจะเป็นทอมก็เลยส่งให้ไปเรียนพวกดนตรี ภาษา เย็บปักถักร้อย แล้วก็สอนให้ทำอาหาร ทำขนม
แต่พอมันสอบติดมหาลัยเข้าปีหนึ่งยังไม่ทันไรพ่อมันก็ตายเพราะโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แม่มันก็เลยตัดสินใจขายค่ายมวยให้เพื่อนพ่อ เอาเงินมาเป็นทุนการศึกษาให้มันนั่นแหละ แล้วแม่มันก็ป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด ตอนหลังก็ต้องเลิกขายของ แต่ไอ้ยิปซีมันก็ใกล้จบแล้วตอนนั้น ไม่นานแม่มันก็ป่วยหนักแล้วก็จากมันไป ฝืนทนจนลูกเรียนจบแล้วจึงไปอย่างสบายใจไร้กังวล” เธอสรุปส่งท้าย
“แกเคยคุยกับแม่มันเหรอถึงรู้ลึกขนาดนั้นน่ะ” ปลาขัดขึ้น
“วันนี้แม่ฉันอาจจะมาหาแกก็ได้นังปลา” เสียงห้วน ๆของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังทำให้ทุกคนให้ไปมอง
“ยิปซี!” อุทานออกมาพร้อมกัน
“เออฉันเอง” กล่าวจบก็นั่งลงข้างเพื่อนชายใจหญิงของตัวเอง แล้วจุ๊บแก้มใส ๆ นั้นหนึ่งที “เดี๋ยวนี้สวยกว่าฉันอีกนะปลาหมึก”
ปลาหมึกมองเพื่อนสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้มเพราะได้รับคำชมที่ถูกใจ จิ้มนิ้วไปที่หน้าผากของเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้
“แค่แกชมว่าฉันสวยครึ่งหนึ่งของแกฉันก็ดีใจแล้วย่ะ ไม่ต้องมากกว่าแกหรอก คนอะไรหุ่นก็ดี หน้าก็สวย เก่งไปหมดทุกอย่าง เลิศไม่มีที่ติ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกเคยเป็นนักมวย”
“ใครบอกนักมวย ยูโด เทควันโด ฟันดาบฉันก็เป็นนะแก ลองกันสักตั้งมั้ย” แล้วหัวเราะเมื่อเห็นหน้าตาของเพื่อนรัก
“ฉันขอแค่ความสวยกับหุ่นของแกก็พอ เรื่องอื่นฉันยอมแพ้” ปลาหมึกยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่อยืนยันคำพูด เรียกเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆได้ดี
เพื่อนทั้งสี่ดื่มสังสรรค์ ผลัดกันเล่าเรื่องที่ต่างประสบพบเจอแลกเปลี่ยนกันอย่างออกรส
“ทำไมแกไม่ไปเป็นไกด์วะยิป ได้ใช้ความสามารถเต็มที่ด้วย”
“ก็ที่นี่เงินมันดีนี่หว่า ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อยด้วย”
“ไม่ต้องเดินทางตรงไหนวะ ฉันโทรหาแกทีไรแกก็ออกพื้นที่ตลอด ระวังนะโว้ย ฉันเคยอ่านข่าวพวกที่ไปทวงหนี้แล้วถูกยิงตาย ฉันเป็นห่วงแกนะ” ปลาหมึกเตือนเพื่อนที่เป็นฝ่ายเร่งรัดหนี้สินของบริษัทการเงินแห่งหนึ่ง
“นั่นปากเหรออีหมึก!” ปลาตวาดเพื่อนแล้วชี้หน้าแบบคาดโทษ
“อะไรยะ ฉันพูดเพราะเป็นห่วงยิปมันหรอกนะ” ปลาหมึกเชิดหน้าโต้ตอบเพื่อน
“หยุด! กินเหล้า ๆ อย่ามาทะเลาะกัน ชนแก้วโว้ยชนแก้ว” แวนห้ามทัพแล้วยกแก้วรอชน
“ฉันชอบทำงานแบบนี้นะ สนุกดี เดินทางบ้างก็ช่างมันเพราะแค่ในเมืองไทย แต่ถ้าเป็นไกด์ก็ต้องบินไปต่างประเทศ ซึ่งฉันปรับตัวกับอากาศไม่ค่อยไหวน่ะ ฉันมันคนผิวบางพวกแกก็รู้” หญิงสาวทำหน้าทะเล้นใส่เพื่อน
“ผิวบางหรือกลัวหนาวกันแน่ แกไม่ต้องมาทำเป็นผู้ดีหรอก” แวนดักคออย่างรู้ทัน เพราะเพื่อนของเธอคนนี้ไม่ชอบอากาศหนาว ถ้าอากาศเริ่มเย็นเมื่อไหร่ภูมิแพ้จะกำเริบ ต้องพึ่งยาอยู่ตลอดเวลา
“พวกแก..ตกลงเรื่องลาพักร้อนว่ายังไง ลาได้ตรงกันหรือเปล่า” ยิปซีหรือพุทธิญาชี้หน้าเพื่อนทีละคนเพื่อเอาคำตอบ “ดีมาก ต่อไปก็มาโหวตกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี”
ส่วนเจ้าบ่าวทั้งสองต่างวางสุขุม สีหน้านิ่งสงบ แต่ในใจนั้นกลับรู้สึกเหมือนถูกสบประมาทอย่างแรงอี่เฉินเอียงหน้าไปใกล้หูโต้วฉือ “ข้าจะมีลูกก่อนท่านอ๋องให้ได้”“แต่ข้าจะต้องมีก่อนเจ้าและก่อนท่านอ๋อง” โต้วฉือข่มกลับแม้ท่านอ๋องจะอยู่กับพระชายามาเป็นปีแล้ว แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไร้วี่แวว ดังนั้นคู่ที่น่าลุ้นที่สุดในตอนนี้ก็ต้องเป็นเขากับเสี่ยวซิงแน่นอน เพราะเขากับนางร่วมหอล่วงหน้ามาเกือบเดือนแล้ว โต้วฉืออมยิ้มอย่างพอใจกุ้ยหย่งหมิงก้มหน้าลงไปแทรกกลางระหว่างกลางองครักษ์ทั้งสอง“ถ้าข้ามีโอกาสได้ไปอยู่ในสถานที่ที่เป็นใจแบบนั้น ลูกของข้าคงวิ่งได้แล้ว ฮา ๆ ๆ ฮา ๆ ๆ” กระซิบบอกเบา ๆ แต่หัวเราะเสียงดัง แล้วยกกาเหล้าขึ้นดื่มจนหมด “ชายาที่รัก ช่วยสามีคิดหน่อยว่าเราจะไปไหนกันดี ระหว่างถ้ำลับแลที่อยู่ทางทิศใต้ กับเรือนหิมะทางทิศตะวันตกอากาศร้อนแบบนี้พานางไปโอบรักที่เรือนหิมะน่าจะดี ไม่ได้ ๆ นางไม่ถูกกับหิมะ ขืนไปเที่ยวที่นั่นคงนอนป่วยอยู่บนเตียงมากกว่าได้ระเริงรักกัน ไปถ้ำลับแลก็แล้วกัน เย็นสบาย ๆ กำลังดี ด้านหน้าเป็นลำธาร ด้านหลังเป็นน้ำตก ตัวบ้านถูกดัดแปลงอยู่ภายในถ้ำ อยู่ในป่าลึกที่อุดมสมบูรณ์ด้วยไม้ยืน
คำขอร้องปนเสียงร้องกระซิกจากด้านหลังไม่ได้ทำให้เขาใจอ่อนสักนิด สองมือแกะแขนที่กอดเกี่ยวนั้นออกอย่างแรง แล้วเดินจากไปทันทีโดยไม่หันกลับไปมอง“คนใจดำ! ฮือ ๆ ๆ ฮือ ๆ ๆ ทำไมข้าต้องรักคนใจดำอำมหิตแบบท่านด้วย ทำไมข้าถึงเกลียดท่านไม่ลงสักที ทั้งที่ท่านไม่เคยรักข้าสักนิด ฮือ ๆ ๆ ฮือ ๆ ๆ” มองแผ่นหลังพร่ามัวที่กำลังก้าวข้ามประตูกำแพง “หันกลับมามองข้าสักนิดเถิด ได้โปรด ฮือ ๆ ๆ กุ้ยอ๋อง ฮือ ๆ ๆ” หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้น ร้องไห้แทบขาดใจ “คนใจดำ คนใจร้าย คนอำมหิต คนไม่มีหัวใจ ฮือ ๆ ๆ ฮึก ๆ ๆ” ตัดพ้อไม่ขาดปากกุ้ยหย่งหมิงได้ยินคำพร่ำรำพันปนสะอื้นของนางชัดเจน แต่เขาไม่คิดจะหันกลับไป คำว่าอโหสิของเขา ไม่ได้หมายความว่าหายโกรธหายเกลียดกับการกระทำที่นางเคยทำไว้………………….งานแต่งงานขององครักษ์ทั้งสองถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมกับตำแหน่งที่คฤหาสน์ของสกุลกุ้ย เหตุผลเพราะทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้า กุ้ยอ๋องจึงรับเป็นญาติผู้ใหญ่ให้ทั้งสอง และจัดห้องรับรองแขกให้เป็นห้องหอตามคำแนะนำของพระชายา ผ่านพ้นคืนเข้าหอนี้ไปแล้ว เขายังอนุญาตให้ทั้งคู่หยุดงานได้อีกสิบห้าวัน จะได้มีเวลาหวานชื่นกับเจ้าสาว ผลิตทายาทเอาไว้สืบตระกูล“นี่
“กระหม่อมขอบอกความจริงกับพระองค์สักเรื่อง ตอนที่ได้ยินคำสารภาพของนาง กระหม่อมอยากหยิบดาบบั่นคอนางให้ขาดคามือด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องอดกลั้นไว้ เพราะเห็นว่าเป็นคนของพระอัยยิกา กระหม่อมไว้หน้านาง แต่นางกลับเหยียดหยามกุ้ยถิงของกระหม่อมต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครปกป้องกุ้ยถิงยกเว้นฝ่าบาท ไม่มีใครออกปากตำหนินางแม้แต่พระองค์ แล้วแบบนี้จะให้กระหม่อมเห็นใจพระองค์หรือ”พระอัยยิกาหลบสายตาที่มองมาอย่างดุดันคู่นั้น ไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้ เพราะรู้ตัวดีว่าเอนเอียงไปทางเหวินเว่ยเพียงใด เขาไม่ฆ่าเด็กคนนั้นให้ตายคามือก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว พระองค์ยังต้องการให้เขารับนางเป็นชายารองอีก มันก็เหมือนเหยียบย่ำหยามใจเขาเกินไปจริงนั่นแหละ..........................กุ้ยหย่งหมิงมองสำรวจบ้านหลังกะทัดรัดที่อยู่ห่างจากวังหลวงไม่ไกลเท่าไหร่นัก แค่มองเผิน ๆ ก็รู้ได้ทันทีว่ามันถูกสร้างจากวัสดุชั้นเลิศ บ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของได้อย่างดี แต่เขาก็ไม่อยากเข้าไปเหยียบอยู่ดี‘เห็นแก่คนแก่อย่างข้าสักครั้งเถิดนะ ช่วยไปคุยกับนางให้ที’ คิดถึงคำพูดของพระอัยยิกาแล้ว เขาก็ต้องจำใจก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านในองค์หญิงเหวินเว่ยที่ถูกปลดจากตำ
“นี่!” กุ้ยถิงรีบกอดลำคอสามีไว้ด้วยความตกใจ เมื่อถูกเขาอุ้มขึ้นแบบไม่รู้ตัว “ท่านจะอุ้มยิปทำไม วางยิปลงเดี๋ยวนี้นะ”คนถูกถามมองชายาสายตาเป็นประกายพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ บ่งบอกให้นางรู้ในสิ่งที่ตนปรารถนาโดยไม่เอ่ยปาก ก้าวเท้าออกจากเรือนรับรองแขกแล้วลัดเลาะไปตามสวนดอกไม้เพื่อกลับไปที่เรือนหลังใหญ่“ออกไปให้หมด ห้ามใครมารบกวนเด็ดขาด!” เมื่อกลับมาถึงเรือนก็ส่งเสียงเคร่งขรึมก้องกังวาน ประหนึ่งกำลังโมโหคนในวงแขน ทำให้สาวใช้ทุกคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานตัวเอง รีบทิ้งงานในมือแล้วลงไปจากเรือนอย่างรวดเร็ว“ท่านนี่นะ!” ยิปซีทั้งอายสาวใช้และโมโหสามีตัวดี แต่ถ้าพูดมากก็กลัวสาวใช้จะจับไต๋ได้ว่าทำไมท่านอ๋องถึงทำแบบนี้ จึงได้แต่แอบหยิกเขา“ทำข้าเจ็บแบบนี้ ข้าจะเอาคืนให้สาสม” ทำเสียงแข็งแต่สายตากลับเต็มไปด้วยแววเจ้าเล่ห์........................พระอัยยิกาเรียกตัวหลานชายมาเข้าเฝ้าด้วยความไม่สบายพระทัย พระนางอยากพูดเรื่องนี้กับเขาให้รู้เรื่อง แต่ใครจะคิดว่าเขาไม่ได้มาเพียงลำพัง ยังพาพระชายาของเขามาด้วย“ถวายบังคมพระอัยยิกาเพคะ” กุ้ยถิงย่อกายคารวะงดงาม หลังจากที่สามีถวายการเคารพเสร็จแล้ว“พระอัยยิกาเรีย
“ไม่! ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด”“แล้วจะให้ตามนางกลับมาทำไม” เขายิ่งสงสัย“ก็ให้นางกลับมาเป็นชายาของท่าน ส่วนข้าก็จะขอหย่าจากท่าน แล้วไปหาสามีใหม่บ้าง” นางเชิดหน้าท้าทาย จ้องเขาตาไม่กะพริบกุ้ยอ๋องเริ่มมีอารมณ์หึงหวง เมื่อได้ยินคำประกาศก้องของนาง“จะให้ข้าหย่าแล้วไปหาสามีใหม่หรือ ฮา ๆ ๆ ฮา ๆ ๆ ช่างฝันเฟื่องจริง ๆ นะชายาที่รัก คนอย่างกุ้ยอ๋องกุ้ยหย่งหมิง จะไม่ยอมเสียเจ้าให้ผู้ชายหน้าไหนแน่ ๆ ต่อให้ต้องฆ่าเจ้าทิ้งข้าก็จะทำ” ให้นางไปเสพสุขกับชายอื่น เขาเลือกฆ่านางให้ตายด้วยน้ำมือตัวเองเสียดีกว่า“ฮึ! เป็นความรักที่มั่นคงดั่งหินผา หรือว่าเป็นหมาหวงก้างดีนะ” ใช้ถ้อยคำหยาบคายยอกย้อนใส่เขา ตอนนี้อารมณ์ต่าง ๆ ตีกันยุ่งเหยิงไปหมดโกรธ เกลียด รัก หึงหวง เสียใจ เจ็บใจ บรรยายไม่ถูก“พอเถิดพระชายาที่รัก ข้าไม่ล้อเล่นกับเจ้าแล้ว พูดไปพูดมาเดี๋ยวจะกลายเป็นทะเลาะกันใหญ่โต” เขานั่งลง กระตุกมือบางเบา ๆ จนนางเซลงมาบนตัก แล้วโอบเอวของนางไว้ ซุกปลายจมูกกับซอกคอที่ชื้นเหงื่อ นางคงโกรธเขามากสินะ ความร้อนในร่างกายถึงสูงได้ขนาดนี้“ปล่อยข้า อย่ามาจับเนื้อต้องตัวข้า น่าขยะแขยงสิ้นดี!” นางดีดดิ้นรุนแรง ยิ่งเขารัดก็ยิ
“เพราะท่านนั่นแหละ ข้าถึงได้มีโอกาสรู้จักท่านโจน” ถ้าหัวหน้าไม่ยืนอยู่ด้านหลังที่นางยืนอยู่ เขาก็คงไม่เดินมาทางนี้ และคงไม่เห็นนางถึงจะอยู่บนเรือลำเดียวกัน แต่มันก็ใหญ่โตกว้างขวางมาก โอกาสที่จะได้เจอกันแบบนี้คงหาได้ยากเต็มที“ในเมื่อท่านเมตตาก็ทำตัวให้ดี ขยันขันแข็งให้มาก ๆ จำเอาไว้” เขาเองก็รู้สึกถูกชะตากับหนุ่มน้อยคนนี้เหมือนกัน จึงตักเตือนด้วยความหวังดีเหมือนเห็นเป็นลูกหลานคนหนึ่ง........................คฤหาสน์สกุลกุ้ยสามวันแล้วที่การติดตามข่าวของหลินโม่วไม่มีอะไรคืบหน้า นางไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่นิดเดียว บิดามารดาของนางจึงถอดใจไม่คิดจะตามหา เตรียมตัวเดินทางกลับหมู่บ้าน“เราสองคนปรึกษากันแล้ว มั่นใจว่าหลินโม่วต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อไม่ให้เป็นจุดเด่น นางพกยาไปหลายขนาน ทั้งยารักษาโรคและยาพิษ ข้าจึงยิ่งมั่นใจว่านางต้องปลอดภัย” นางเข้าไปค้นในห้องพักของลูกสาว พบว่าห่อยาที่ติดตัวมาในครั้งแรกหายไปด้วย ทำให้เบาใจลงมาก จึงคุยกับสามีและชวนกันเดินทางกลับ“แต่เรามีเรื่องอยากขอร้องท่านทั้งสอง”“พวกเรายินดีช่วยเหลือ ท่านหมอเกิงมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” กุ้ยถิงรีบตอบรับ ความพลัดพรากทำให้เสี







