“เฮ้ย! ภาพวาดนี้ทำไมถึงคล้ายแกเลยยิปซี” แวนมองแว็บเดียวก็ดูออกว่าเหมือนเพื่อนมาก
“แล้วนี่คือชื่อของคนวาด” พุทธิญาชี้ให้เพื่อนดู “แต่ฉันอ่านชื่อเขาไม่ออก” เธอพูดภาษาจีนได้ดี เรื่องการอ่านเขียนเธอก็ใช้ได้ แต่ทำไมชื่อนี้เธออ่านไม่ออกหรือเดาทางไม่ถูกเลยสักตัว
“แล้วใต้ภาพนี้เขาเขียนว่าอะไร แกอ่านออกหรือเปล่า”
“กุ้ยถิง ภรรยาสุดที่รักของข้า.. แล้วนี่ก็น่าจะเป็นชื่อของเขา” เธอชี้ตัวหนังสือที่อ่านไม่ออก
“เขาเขียนอย่างนั้นจริงหรือวะแก” ปลากระโดดเหยง ๆทำท่าร้อนรน
“แกเป็นอะไรของแกวะปลา” พุทธิญาหัวเราะกับท่าทีของเพื่อน แม้ในใจจะหวาดหวั่นอยู่บ้าง เพราะในบันทึกเล่มนี้มันเป็นเหมือนการบันทึกเรื่องราวของกุ้ยถิงและชายคนนั้น แต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องทุกข์ใจไปด้วย จึงได้แต่ทำตัวทำร่าเริงเข้าไว้
“ฉันกำลังคิดจะหาวิธีช่วยแกอยู่ไง”
“ฉันบอกว่าอย่าคิดมากไง พวกแกฟังฉันนะ” เธอมองหน้าเพื่อนแต่ละคนพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ถ้าฉันไม่อยู่จริง ๆ แกทั้งสามคนช่วยไปจ่ายค่าเช่าคอนโดให้ฉันด้วย แล้วก็เอาของฉันออกมาให้หมดแล้วก็แบ่งกันนะ ของมีค่าจำพวกทองฉันมีอยู่ไม่กี่บาทหรอก แล้วก็มีเอทีเอ็มอยู่ใบหนึ่งมันเป็นเงินเก็บของฉัน พวกแกหารสามละกันฉันยกให้ มันอยู่ในตู้เซฟในตู้เสื้อผ้านะ ถ้าเจอทองก็เจอบัญชีกับบัตรฉันด้วย รหัสเซฟกับบัตรเอทีเอ็มเดี๋ยวฉันส่งให้ทางไลน์”
“แกจะบ้าหรือไงนังยิป!! พ่นอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า”
“ฉันยังพูดไม่จบเลย ใครให้แกขัดนังแวน” เธอยกมะเหงกเคาะหัวเพื่อน
“ถ้ารู้ว่าดูหมอแล้วเป็นแบบนี้ ไม่ดูดีกว่า” แวนพร่ำเสียงสลด ปาดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมา
“แต่ฉันว่าดีนะ อย่างน้อยฉันก็ได้บอกลาพวกแกไง แล้วพวกแกก็รู้ด้วยว่าฉันไปอยู่ดีมีความสุข ไม่ต้องมานั่งร้องไห้คร่ำครวญว่าฉันหายไปไหน โดนใครลักพาตัวไปหรือเปล่า”
“ไอ้เพื่อนบ้า! อย่าเพิ่งคิดอะไรเลยเถิดกันเลยพวกแก เรื่องจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้จะคิดมากทำไมยะ เราอยู่ในยุคสองพันแล้วนะเว้ย เครื่องไทม์แมชชีนก็ไม่มี จะกลับไปอดีตยังไงก่อน” ปลาหมึกโวยวายแล้วหยิบไพ่ขึ้นมาวางลงตรงกลางวงเพื่อเปลี่ยนเรื่อง กลบเกลื่อนความกลัวในจิตใจ.. ถ้าเพื่อนรักของเขาไม่ได้นั่งไทม์แมชชีนกลับไป ก็คงมีอีกหนทางเดียว นั่นก็คือความตาย เขารีบแอบปาดน้ำตาก่อนที่มันจะไหลออกมา
“แก้เซ็งเหรอนังหมึก” ปลาเห็นอาการของหมึก แต่ก็พยายามทำไม่รู้ไม่ชี้
“แกไม่เล่นใช่มั้ยนังปลา”
“เล่นสิยะ ถามนิดถามหน่อยทำเป็นอารมณ์เสีย พรุ่งนี้ก่อนเถอะ ฉันจะฟ้องอาเฉิน”
“ผัวฉันต้องโซนยุโรปเท่านั้นย่ะ สูง ใหญ่ ยาว กรี๊ด ๆ ๆ แค่คิดก็ขนลุกซู่” ปลาหมึกทำท่าสะดีดสะดิ้งน่าหมั่นไส้
“อะไรวะสูง ใหญ่ ยาว” พุทธิญาหัวเราะกับคำพูดกำกวมของเพื่อน “คิดดีไม่ได้เลย”
“แล้วแต่แกจะคิดเลยย่ะ”
“โห! อีกะเทยควาย อย่ามัวแต่ฝัน รีบแจกไพ่ซะที”
“โห! อีปลา ฉันสงสารผัวแกจริง ๆ เชียว”
“แจกไพ่โว้ยแจกไพ่ อย่าเถียงกัน เสียเวลาเล่น แล้วเงินน่ะวางลงมาด้วยนะ ไม่ใช่วางแต่ไพ่” แวนวางเงินสิบหยวนลงข้างหน้าเพื่อให้คนอื่นทำตาม
เช้าวันที่เจ็ด
สภาพของแต่ละคนดูย่ำแย่เพราะมัวแต่นับเลขกันเพลินเกือบถึงเช้า
ไกด์หนุ่มตกใจกับสภาพอิดโรยของลูกทัวร์
“พวกคุณขึ้นไปพักกันอีกสักคนละสามสี่ชั่วโมงก็ได้นะครับ ตอนบ่ายค่อยออกไปเที่ยว วันนี้ก็เข้าที่พักช้าหน่อย เหลือโปรแกรมไหนก็ไปชดเชยพรุ่งนี้ แต่เราต้องออกเร็ว”
“ฉันเห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นเจอกันตอนบ่ายโมงตรงนะคะ” พุทธิญาโบกมือให้เฉิน แล้วหันไปบอกกับเพื่อนตามที่คุยกับเขา จากนั้นรีบเดินนำไปที่ลิฟต์ก่อนใครเพื่อน เพราะคิดถึงเตียงนอนเหลือเกินแล้ว
วันที่แปด
พวกเธอได้ไปเยี่ยมชมความยิ่งใหญ่ของเมืองซีอาน เมืองหลวงของมณฑลฉานซี และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของสิบสามราชวงศ์ เป็นเมืองปลายทางของเส้นทางสายไหมในอดีต ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่าสามพันปี
ส่วนช่วงบ่ายพวกเธอได้ไปเยี่ยมชมกองพลทหารม้าในสมัยกษัตริย์ฉินซีฮ่องเต้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยรูปปั้นดินเผาของเหล่าพลทหารประมาณหกพันตัว ซึ่งมีขนาดเท่าคนจริง และหุ่นแต่ละตัวหน้าตาไม่เหมือนกันเลย ที่นี่ถูกเลือกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก และยูเนสโก้ได้กำหนดให้เป็นแหล่งกำเนิดอารยะธรรมโลกอีกด้วย
วันที่เก้า
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการท่องเที่ยวทริปนี้ พวกเธอจึงเลือกไปเดินตามแหล่งช็อปปิ้งเพื่อหาซื้อของฝาก แต่พุทธิญาเริ่มมีอาการแพ้อากาศ แม้จะกินยาดักไว้แล้วแต่ก็ไม่ดีสักเท่าไหร่
“อากาศก็ไม่ได้เย็นมากนี่นา ทำไมอาการแกถึงกำเริบวะยิปซี”
“มันไม่ได้เย็นมาก แต่อากาศเป็นแบบนี้ทุกวันก็เหมือนเราอยู่ในห้องแอร์ทุกวันติดต่อกันนั่นแหละ อากาศที่นี่เย็นกว่าห้องแอร์บ้านเราอีก”
“ใช่ ฉันว่าเป็นเพราะอากาศที่มันเย็นขึ้นเมื่อวานนี้แหละ”
“ก็คงจะใช่ ขนาดว่าฉันห่มผ้าจนอุ่นแล้วนะ” เธอไม่ชอบใส่เสื้อกันหนาวประเภทที่มีกระดุม ซิปหรือฮู้ดตอนนอน เพราะรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว เสื้อไหมพรมก็ไม่ได้เตรียมมา จึงใช้ผ้านวมผืนหนาห่มจนมิดคอเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย และยืนยันได้ว่ามันอุ่นจริง แต่ทำไมถึงยังมีอาการเธอก็ไม่เข้าใจ
“ไหวมั้ยยิป อยากกลับไปพักมั้ย”
“ไหว ๆ ฉันอยากช้อปมากกว่าอยากนอน”
“แกซื้ออะไรบ้างวะ”
“เสื้อผ้าไงแก แนวเกาหลีก็มีเยอะนะ แกดูสิสวย ๆ ทั้งนั้นเลย เสื้อโค้ตก็สวย แต่บ้านเราไม่ได้หนาวมากมายไม่รู้จะซื้อไปทำไมเยอะแยะ ซื้อพวกนี้ดีกว่า” หญิงสาวชี้ไปที่เสื้อแบบต่าง ๆ
“ซื้อเสื้อโค้ตไปสักตัวสองตัวก็ดีนะ เพราะแกเจออากาศเย็น ๆ ไม่ค่อยได้ ช่วงหน้าหนาวจะได้ใส่ไปทำงาน” ปลาหมึกแนะนำ
“ถ้าสวยถูกใจก็จะซื้อ”
ทั้งสี่คนสนุกกับการช้อปปิ้งก่อนกลับไทย กว่าจะหลุดออกมาจากแหล่งช็อปปิ้งได้ก็ปาเข้าไปพลบค่ำแล้ว จึงตัดสินใจแวะภัตตาคารระดับห้าดาวเพื่อเติมท้องให้อิ่มก่อนกลับสู่ที่พัก
อวี่หมิ่งฟู่แอบมองบุรุษที่ตนเองมอบใจให้ ตั้งแต่เขาโอบประคองสตรีต่างถิ่นนางนั้นเข้าไปในร้านน้ำชา แล้วยังตอนที่เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากให้นางด้วยความริษยา จิกนิ้วลงไปบนเสาไม้ที่ใช้เป็นที่กำบังด้วยความลืมตัว“อุ๊ย!”“คุณหนู! โดนเสี้ยนตำหรือเจ้าคะ” โค่วอี้ตกใจ“เสี้ยนตำแค่นี้ไม่เจ็บเท่าที่ใจของข้าหรอก” นางมองกุ้ยอ๋องกับสตรีนางนั้นไม่วางตา อยากรู้นักว่าคุยอะไรกัน แล้วสตรีนางนั้นเป็นใคร ทำไมคนระดับกุ้ยอ๋องที่ทุกคนขนานนามว่าหยิ่งทระนง เย็นชาและไร้หัวใจ ยังยอมลดตัวใส่ใจนางเพียงนั้น“เรากลับกันก่อนดีกว่านะเจ้าคะ บ่าวจะได้บ่มเสี้ยนให้ ขืนปล่อยไว้จะเป็นหนองนะเจ้าคะ” โค่วอี้สงสารคุณหนูของตน ที่ต้องทนเห็นภาพบาดตาบาดใจ“ไม่ ข้าจะอยู่ดูจนกว่าพวกเขาจะกลับ”“คุณหนู เรื่องนี้ถ้าคุณหนูอยากได้คำตอบ ก็ชวนคุณชายไปเยี่ยมท่านอ๋องที่คฤหาสน์สิเจ้าคะ”หมิงฟู่หันไปมองสาวใช้แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ความคิดดี ข้าจะชวนพี่ใหญ่ให้พาข้าไปพรุ่งนี้เลย”“ดีเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้เรารีบกลับบ้านกันก่อนดีกว่า ตอนออกมาเราก็ไม่ได้บอกใครไว้ ป่านนี้คุณชายคงเป็นห่วงแล้ว”“ใครบอกว่าข้าจะกลับ ถ้าเจ้าอยากกลับนักก็กลับไปก่อน ข้าจะอยู่ดูพวกเ
ลงจากรถม้าแล้วกุ้ยอ๋องก็บอกให้องครักษ์ทั้งสองไม่ต้องตามเขาไป“กระเป๋าของข้าเจ้าค่ะ” เธอทวง“ในเมื่อเจ้ายังไม่มั่นใจว่าจะกลับไปได้ แล้วจะถือไปด้วยทำไม”“อ้าว! แล้วถ้าข้ากลับได้จะทำยังไงเล่า”“ถ้าเจ้ากลับไปได้ กระเป๋าใบนี้ยกให้ข้าเอาไว้ดูต่างหน้าก็แล้วกัน”“คิดไปได้”“เจ้าว่าอะไรนะ” เขาได้ยินนางพึมพำอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ออก“ว่าอะไรเจ้าคะ” เธอเลิกคิ้วตอบกลับกวน ๆ แล้วมองนาฬิกาข้อมือ “รีบไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว” ไม่ลืมที่จะเดินไปปลดรหัสกระเป๋าเผื่อไว้ เพราะถ้าเธอได้กลับไป อย่างน้อยเสี่ยวหลันกับเสี่ยวซิงก็เปิดกระเป๋าใบนี้เป็นแน่นอน เพราะเธอเพิ่งสอนไปเองกับมือโฉมงามรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ที่แต่งตัวผิดแผกไปจากสตรีแคว้นนี้ เดินเคียงคู่กับกุ้ยอ๋องผู้มีใบหน้าหมดจดงดงาม และร่างกายสูงใหญ่ล่ำสันถ้าหากแค่มองจากภายนอก ทุกคนในเขตการค้าที่พบเห็น ต่างรู้สึกว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันยิ่งนักจึงเกิดการซุบซิบนินทา ถามกันว่าแม่นางผู้นั้นคือใคร มาจากแคว้นดินแดนใดแต่ก็ไม่มีใครรู้คำตอบแน่นอนว่าเสียงซุบซิบเหล่านั้น กุ้ยหย่งหมิงได้ยินชัดเจนทีเดียว..และเขาก็ไม่ชอบการถูกนินทาว่าร้าย แต่สำหรับครั้งนี้เขา
ยิปซีตกตะลึงกับคำสารภาพของเขา ใจเต้นแรงตุบตับ ๆ ความร้อนเริ่มระอุทั่วใบหน้า อยากชักมือหนีแต่ใจกลับไม่กล้า ได้แต่ขยับเบา ๆ พอเป็นพิธี“ท่านอ๋องอย่าพูดอะไรแบบนี้เลย ข้ากำลังจะกลับบ้านท่านก็รู้” เธอพูดโดยไม่มองหน้าเขา เพราะรู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าต้องแดงมาก“ข้าถึงต้องบอกให้เจ้ารู้ เพราะข้าไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้พูดอีกไหม”“ท่านยิ่งไม่ควรพูด”“ข้ามอบใจให้เจ้าตั้งแต่แรกเห็น เจ้าควรรู้เอาไว้”“ข้าไม่อยากรู้ ข้าไม่อยากเก็บไปคิด” เธอตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด“แต่ข้าอยากให้เจ้าคิดถึงข้า แม้เราจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก แต่ข้าก็อยากให้เจ้าคิดถึงข้าไปตลอด”“ท่านอ๋อง” เธอพยายามชักมือออกแต่ไม่สำเร็จ “ปล่อยได้แล้วเจ้าค่ะ รถม้าหยุดแล้ว” พูดเสียงเบาเพราะกลัวคนอื่นจะได้ยิน“ก่อนหน้านี้เจ้าจับมือข้า ที่นี่การที่สตรีจับมือบุรุษเท่ากับบอกให้รู้ว่านางอยากเป็นภรรยาเขา และถ้าบุรุษจับมือกลับ แสดงว่าเขารับรักนาง” เขาแต่งเรื่องโกหกคำโตสตรีที่น
ระหว่างเดินทางยิปซีแง้มม่านมองดูข้างทางด้วยความตื่นตาตื่นใจ วันนี้กับวันที่หลงยุคมาที่นี่ อารมณ์ของเธอต่างกันพอสมควร เพราะวันนั้นเธอรู้สึกแย่จากอาการป่วยจนไม่มีแก่จิตแก่ใจจะสังเกตอะไรทั้งนั้น“ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงใช่ไหม” เธอชวนเขาคุยเพื่อลดความอึดอัด เพราะเขาเอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทาง“ใช่” เขาเลิกม่านให้กว้างขึ้น “ต้นไม้เริ่มทิ้งใบแล้วจนเหลือแต่ต้นก็มี แต่ต้นไม้บางชนิดก็ไม่ทิ้งใบ” ตอบอย่างอารมณ์ดี ลืมไปแล้วว่าแอบไม่พอใจนางอยู่ “ถ้าเจ้าอยู่ต่อเจ้าจะได้เจอกับอากาศที่หนาวเหน็บ แทบไม่อยากจะลุกจากเตียงคั่ง” เธอยิ้มรับ และรู้ว่าเตียงคั่งคือเตียงที่ทำจากอิฐ แล้วปูด้วยฟูกหนาไว้ชั้นบน ใต้เตียงมีโพรงไว้เติมไฟเพื่อให้ความอบอุ่น“อีกนานไหมเจ้าคะกว่าจะถึงตลาด” เธอถามไปอีกเรื่องเพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี“ไม่เกินสองลี้ก็ถึงแล้ว” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าไม่ได้กลับบ้าน ข้าจะขอเพิ่มอีกอย่าง หวังว่าเจ้าจะให้ข้าได้”เธอเลิกคิ้วมองหน้าเขา คลี่ยิ้มบาดใจส่งไปให้โดยไม่ตอบอะ
ยิปซีหัวเราะกับความตื่นตาตื่นใจของเขา แล้วกดรูปต่อไปให้เขาดูเรื่อย ๆ“อันนี้ศาลไคฟงของท่านเปาบุ้นจิ้น สร้างขึ้นหลังจากนี้อีกพันปี อันนี้วัดเส้าหลิน สร้างมาก่อนยุคสมัยของท่าน ท่านรู้จักไหม” เธอถามเขาอย่างใกล้ชิด ใบหน้าห่างกันเพียงคืบ แต่ก็ไม่รู้ตัว เพราะสนใจแต่กล้องถ่ายรูปในมือ“ข้าเคยเดินทางไปสักการะ แต่ในรูปไม่ค่อยเหมือนกับตอนนี้นัก” ความใกล้ชิดแค่เอื้อม กลิ่นหอมที่มาจากตัวนาง ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง แต่ก็ไม่อยากขยับหนีแม้สักนิด“ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมหรอกเจ้าค่ะ มีแต่พัฒนาขึ้นกว่าเดิมทั้งนั้น” เธอหันไปมองเขา..ตะลึงกับการแนบชิดไปพักใหญ่ แล้วจึงขยับออกเล็กน้อยอย่างขัดเขิน “ภาพนี้คือกองพลทหารม้าสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ท่านอ๋องต้องรู้จักแน่ ๆ ส่วนรูปนี้ฉันถ่ายกับเพื่อนที่เมืองซีอาน มณฑลฉานซี เป็นเมืองที่ใหญ่และเจริญเมืองหนึ่งของประเทศท่าน มีประวัติความเป็นมายาวนานสามพันกว่าปี ท่านรู้ไหมว่ามันคือที่ไหน”“ข้าไม่รู้” เขาตอบตามความจริง“มันคือเมืองฉางอานของท่านในตอนนี้ค่ะ”&ldquo
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านอ๋อง เขาะ ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ประทานโทษเจ้าค่ะ หม่อมฉันพูดคำพิธีการไม่ค่อยเป็น”“ข้าไม่ชอบเจ้ายศเจ้าอย่าง คุยธรรมดาก็พอ ตำแหน่งอ๋องก็แค่หัวโขนเท่านั้น อย่าไปใส่ใจมันมาก พ่อบ้านบอกว่าท่านหญิงอยากพบข้าหรือ”เธอรีบโบกมือปฏิเสธอย่างขัดเขิน “อย่าเรียกหม่อมฉันว่าท่านหญิง เรียกแค่ยิปซีก็พอเจ้าค่ะ” สายตาที่เขามองมาไม่วางตา ทำให้เธอหวั่นไหวจนใจสั่น“..ยิปซี ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าพูดกับข้าแบบนั้น”“ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านอ๋อง”“แม่นางอนุญาตให้ข้าเรียกยิปซีแน่นะ” นางไม่รู้หรือว่าการเรียกชื่อกันห้วน ๆ โดยไม่มีคำอื่นเสริม มันใช้กับคนที่สนิทกันมาก หรือคนรักกันเท่านั้น“เรียกได้เลยเจ้าค่ะ”โอ้โหแฮะ ยิ่งมองนาน ๆ ยิ่งหล่อกร้าวใจมาก แต่ทำไมคนสมัยนี้ถึงตัวใหญ่ถึก บึกบึนขนาดนี้ เทียบกับเธอแล้วเหมือนหมีกับคน คนสูง 170 แบบเธอดูตัวเล็กไปเลย“พ่อบ้านบอกว่าแม่นางจะเดินทางกลับบ้านวันนี้”“เจ้าค่ะ”“ข้าไม่คุ้นต