ราวกับต้องมนต์เมื่อเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม เธอยังคงจ้องมองเขานิ่งค้างในอ้อมแขนแกร่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหนความรู้สึกคิดถึงอ้อมกอดเกิดขึ้นมาในใจ จนเธอต้องพยายามตั้งสติและดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขา นรินทร์ไม่กล้าที่จะมองใบหน้าหล่อคมนั้นตรงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะ”
เธอเอ่ยขึ้นมาแก้เขิน ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตัวปราสาทไปโดยมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม …ในที่สุดเขาก็ปรากฏกายมาเจอเธอได้เสียที ตามคำสาปที่เขาได้สาปตัวเองด้วยความรู้สึกผิดครั้งในอดีตหลายพันปีที่ผ่านมาเอาไว้ว่า
…หากตัวข้าหานางในดวงใจมิเจอ นางมิก้าวเท้าลงเหยียบเมืองข้าแล้วไซร้…ก็หาออกจากกายทิพย์สังขารนี้ได้ไม่…
…จักเกิดก็มิได้ จักตายก็มิได้ ทรมานจากความคำนึงถึงห่วงหาอาวรณ์ไปชั่วกัปชั่วกัลป์…
“รู้จักหนุ่มหล่อคนนั้นเหรอ? หรือพี่แอบนัดกิ๊กมาที่นี่? เห็นนะว่านั่งกอดกันอยู่ข้างใน” มินตราเดินเข้ามาหาหัวหน้าทีมด้วยสีหน้าที่อมยิ้มกรุ่มกริ่มเธออดที่จะแซวหัวหน้าทีมของตนที่ตอนนี้ใบหน้าแดงราวกับไปวิ่งมาราธอนมาอย่างไรอย่างนั้น
“บ้า! กอดกันอะไรพูดไปเรื่อย ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะใครจะกล้าทำ…แค่อุบัติเหตุต่างหาก” นรินทร์ตอบไปอย่างไม่รู้ตัวเลยว่าหน้าเธอแดงแค่ไหน มินตราไม่วายร้องแซวก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางตัวปราสาทที่หนุ่มหล่อเมื่อครู่กำลังเดินลงมาพร้อมกับจดจ้องสายตาทางนรินทร์ด้วยรอยยิ้ม
“ฮั่นแน่! …นู่นๆ…ลงมาหาพี่แล้ว เขามองมาทางนี้ด้วย” มินตราพยักเพยิดใบหน้าไปทางเขาแล้วหัวเราะคิกคัก กระแซะไหล่นรินทร์ให้มอง ก่อนนรินทร์จะหันไปส่งยิ้มกลับไปให้หนุ่มคนนั้น และเขาก็เดินตรงมาหาเธอตามที่มินตราบอก
“คุณครับ”
“คะ?”
หันกลับไปเต็มตัวแอบยิ้มเล็กน้อย ท่ามกลางท่าทีของรุ่นน้องที่กำลังล้อเลียนแซวเธออยู่ นรินทร์หันสายตามองรุ่นน้องของตนเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะดึงสายตากลับมาเผชิญหน้ากับหนุ่มคนนั้น…ที่เธอเขินเพราะเขาหน้าเหมือนผู้ชายโบราณในฝันต่างหาก แต่นี่คือคนเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้าเลยเป็นใครจะไม่เขินล่ะ ซ้ำยังแต่งตัวดีตามยุคตามสมัยเสียอีก
“คือว่า ถ้าไม่รังเกียจ…ผมพึ่งซื้อบ้านหลังใหญ่ตรงท้ายหมู่บ้านและพึ่งย้ายเข้ามาอยู่เลย…”
“คะ? นี่คุณคะ เราพึ่งเจอกันไม่ถึงสิบนาทีเลยจะชวนไปบ้านแล้วเหรอคะ?” นรินทร์เอ่ยดักอย่างรู้ทัน
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ อย่าเข้าใจผิด…แค่อยากจะชวนเที่ยวชมหมู่บ้านด้วยกัน”
“ไปค่ะ…เอ่อ อ๋อ…เที่ยวหมู่บ้าน...ไปก็ได้ค่ะ ว่าแต่ทำไมถึงชวนฉันล่ะคะ?” เผลอตอบสวนขึ้นมาทันควันก่อนที่เขาจะพูดจบด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคท้ายเพราะมันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเลยสักนิด ใบหน้าสวยทำทีเสียดายไม่น้อย
“ท่าทางคุณดูเหมือนไม่น่าใช่คนแถวนี้ น่าจะเป็นคนของนิตยสารชื่อดังที่รถตู้จอดอยู่หน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ผมก็คนรุ่นใหม่อยากให้ที่นี่เป็นที่รู้จักและเจริญขึ้นเหมือนกัน”
“คุณเคยเป็นหนุ่มบ้านป่าที่นี่เหรอคะ?”
“ครับ ผม…เกิดที่นี่และพึ่งได้กลับมา” เขาไม่ได้พูดโกหกเลย เพราะเขาเกิดที่นี่และอยู่ที่นี่มานานหลายพันปี ที่เขาบอกว่าพึ่งกลับมาที่นี่ได้เพราะคำสาปของตัวเองที่ขังตัวเองไว้ใต้บาดาลในท้องนที(ทะเล)เมืองพรหมกายโลกไว้ แม้จะออกมาช่วยชาวบ้านที่เข้ามากราบไหว้ร้องขอบ้างแต่ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน เพราะที่นี่มีแต่ความทรงจำมากมายกับนางใจดวงใจที่เฝ้ารอ
เขามองหน้าเธออย่างรอคำตอบ แต่ระหว่างที่มองใบหน้าเค้าโครงเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยของเธอนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บในใจ คิดถึงจนอยากจะดึงเข้ามากอดแต่ทำไม่ได้ ภาพที่เธอสลายหายไปต่อหน้าเขานั้นมันผุดขึ้นมาจนทำให้น้ำตาเอ่อคลอ นรินทร์เห็นอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมองหน้าเขาอย่างสงสัยที่อยู่ ๆเขาก็ยืนน้ำเอ่อต่อหน้าต่อตา…
"เหตุใดน้องจึ่งทำร้ายใจพี่เช่นนี้..."
"เจ้าพี่..."
"ถึงจักตั้งสัจจะวาจาแลกมณีนาคากับพี่ น้องก็จักหนีตามชายผู้นั้นไปหรือ?"
"น้องมิได้..."
"ความรักที่พี่มีให้ มิเพียงพอต่อใจน้องหรือ..." เสียงเข้มพูดสั่นเครือ ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาใสที่ยากนักที่จะได้เห็นจากชายนักรบ เขาจับจ้องไปยังหญิงอันเป็นที่รักด้วยสายตาฉายแววเจ็บปวดเสียเหลือเกิน ก่อนจะปัดปราดสายตาคมจดจ้องมองไปยังนาคาหนุ่มที่ยืนเคียงข้างคนรักของตนอย่างโกรธแค้น
"มันทรยศเจ้าพี่ให้เสื่อมเสียเกียรติเพคะ...ซ้ำยังเหยียบหยามน้ำใจเจ้าพี่..."
"พอแล้วคีภัทรา...ทหารนาคาของข้า!! จับมเหสีไปขัง! ห้ามผู้ใดปล่อยนางหากมิใช่คำสั่งผู้ข้า!" สิ้นเสียงของเจ้าจอมนาคา เหล่านาคาบริวารก็เข้าไปจับตัวผู้เป็นมเหสี รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าของคีภัทราที่จ้องมองนรินธราราวกับว่าตนเป็นผู้ถือชัย
"ประเดี๋ยวก่อนเจ้าพี่..." หญิงสาวร้องเรียกผู้เป็นสวามีด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน แต่เขากลับหันหลังลาลับเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะฟังความจากหญิงผู้เป็นที่รักสักเพียงหนึ่งประโยค ภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้ยากนักที่จะทำใจรับฟัง...ถึงยืนฟังใจก็ค้านขัดคิดแต่ว่าเป็นเพียงลมปาที่โป้ปด
หญิงสาวทอดถอนหายใจมองแผ่นหลังแกร่งนั้นเดินจากไปจนลับตาพร้อมกับคีภัทราที่เดินเคียงข้างไปไม่ห่าง ในใจลึกๆแอบหวังให้ผู้เป็นสวามีใจเย็นลงพอที่จะรับฟังนางก่อนค่อยจัดแจงแถลงไขความเข้าใจผิดนี้
แต่ทว่า....
"นี่คือคำสั่งพญาเพชรแก้ว!! ประหารนางให้ดับสิ้นเสีย!! อีกทั้งคำสาปนี้เพื่อเจ้า...มิว่าชาตินี้หรือชาติไหนอย่าได้ปลงใจรักกันอีก!! ขอให้ยากที่จะพานพบมันทุกชาติไป!!"
".... มิว่าชาตินี้หรือชาติไหนจักภพภูมิใด...ข้าก็จักขอรักท่านเพชรแก้วดวงใจของผู้ข้าทุกชาติไป..."
"ประเดี๋ยวก่อน!!! นรินธรา!!!!!"
ฉัวะ!!!.....
สิ้นคำสัตย์เสียงสุดท้ายปลายน้ำตา...พระขันธ์มายาลงปัดปักที่อก...
คมขันธ์ฉีกฉกดวงแก้วดับสลาย...เจ้าเรือนกายใกล้มลายหายสิ้นไป...
นาคาหนุ่มวิ่งล้มลุกคลุกเข้าหา...ช้อนกอดร่างกายานางสะอื้นไห้...
โอ้ นวลน้องพี่เข้าใจผิดพลาดไป...ไยเจ้ามาดับสิ้นใจก่อนเล่าความ...
นี้หาใช่คำสั่งของพี่ไม่...แล้วเหตุใดเจ้าจึงยอมให้ดับขันธ์....
พี่มาช้าเกินไปห้ามไม่ทัน...จนร่างน้องพลันสลายหายสิ้นไป...
“คุณเป็นหรือเปล่าคะ?” นรินทร์เอ่ยเรียกหลังจากที่เห็นว่าเขาเหม่อมองเธออยู่นาน ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มออกมาบางๆก่อนจะตอบเธอ
“ไม่ครับ…ไม่เป็นอะไร”
“แต่น้ำตาของคุณ…”
“คงจะฝุ่นเข้าตาน่ะครับ”
พูดไปพลางเบือนหน้าหนีเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลออย่างเงียบๆ นรินทร์พยักหน้ายอมเข้าใจแม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามออกไป…อีกอย่างน้ำตาของคนตรงหน้ามันทำให้เธอรู้สึกเศร้าตามไปด้วยเสียอย่างนั้น เธอเลือกที่จะไม่คิดมากอและคิดเอาเองว่าตัวเธอเป็นขี้สงสารแค่นั้น
“ถ้าอย่างนั้น…พรุ่งนี้มาเจอกันที่นี่ก็ได้ค่ะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นก่อนที่หนุ่มคนนั้นจะพยักหน้ายิ้มๆ
“ผมชื่อ พชร หรือเรียกผมว่า พัชรก็ได้ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อนรินทร์” พูดออกไปด้วยน้ำเสียงดีใจที่ได้รู้ชื่อเขาเสียที อุตส่าห์เก๊กท่าอยู่นานรอให้เขาเอ่ยแนะนำตัวก่อน ใบหน้าสวยยิ้มร่าอย่างไม่ปิดบังว่าถูกใจผู้ชายคนนี้ เธอไม่สนว่าจะเคยเสียใจกับสามีเก่าแค่ไหน ในเมื่อหย่าแล้วก็คือหาคนใหม่ได้ คนเราจะเศร้าทำไมนานล่ะ
“ครับ คุณ...นรินทร์”
หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกันรวมถึงแนะนำมินตราแล้ว นรินทร์และเขาก็แลกช่องทางการติดต่อกันเหมือนคนทั่วไปก่อนจะแยกย้ายกันไปเพราะเขาบอกว่ามีธุระ แต่ความจริงแล้วเขานั้นยังคงแปลงกายหยาบไม่ได้เสถียรนักแม้มีพลังมากแค่ไหนก็ตาม จนกว่าเธอคนนั้นจะรำถวายเจ้าปู่ที่ชาวบ้านจะรำทุกปีและมันก็ใกล้เวลาเต็มทีแล้ว
เดินจนเหงื่อตกแทบจะไม่เหลือแรง ภากรณ์หยุดหอบหายใจยืนเท้าสะเอวอย่างหัวเสีย จากที่เดินมายังเทวาลัยมันไม่ได้ไกลขนาดนี้เลย เขาเหลียวกลับไปมองพนิตาที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเขา อีกทั้งยังทำหน้าบึ้งตึงมองเขาด้วยความไม่พอใจ ดูก็รู้ว่าเธอคิดว่าเขานั้นหลงนั้นแน่ๆ แต่ภากรณ์จำได้ดีว่าทางนี้ก่อนที่จะหันกลับไปมองทางข้างหน้า ภากรณ์หรี่ตาเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งเดินอยู่ไม่ไกลจากเขานัก รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้น“โอ้ย นิตาเดินไม่ไหวแล้วนะคะกรณ์”“เงียบก่อนนิตา นั่นไง เห็นไหม?” ภากรณ์พูดพลางชี้ไปที่หญิงสาวชาวบ้านด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้น พนิตาชะเง้อมองแล้วรีบเดินตามภากรณ์ไป“ขอโทษนะครับ…บ้านหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้านไปทางไหน?” หญิงสาวหันกลับมามองทางเขาที่เอ่ยถามด้วยท่าทางดีใจ ใบหน้าสวยสดงดงามไม่เคยเห็นมาก่อนในหมู่บ้าน ภากรณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มขึ้น“บ้านคุณพชรหรือคะ?” หญิงสาวนิรนามเอ่ยเสียงหวานพร้อมรอยยิ้ม ภากรณ์มองจ้องหญิงสาวค้างด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ตามประสาผู้ชายเจ้าชู้เวลาเจอ
เมื่ออาการดีขึ้นนรินทร์และพชรก็เดินลงมาเจอทุกคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่างของตัวบ้าน ทุกคนต่างมองไปทางเดียวกัน มินตราเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปหานรินทร์ทันทีด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “พี่นรินทร์! ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?” เธอเอ่ยถามพลางจับที่มือของนรินทร์เบาๆ “อือ ไม่เป็นไรแล้ว” “น่าแปลกที่พอพี่มาอยู่ที่นี่เป็นลมบ่อย เมื่อก่อนยังแบกลังหนังสือหนักๆได้เลย” มินตราพูดอย่างนึกสงสัย เพราะนรินทร์หัวหน้าทีมของเธอค่อนข้างที่จะเป็นคนแข็งแรงมากพอสมควร ไม่น่าจะเป็นคนที่ล้มพับบ่อยขนาดนี้แท้ๆ “นั่นสิ พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…” นรินทร์เอ่ยตอบพลางยิ้มแห้งหลบเลี่ยงสายตาของมินตรา เธอไม่กล้าบอกคนในทีมว่าไปเจออะไรมาบ้างไม่อย่างนั้นคนในทีมคงจะกลัวจนไม่กล้าอ
“สำนักพิมพ์ไดมอนด์!!! นี่มันไม่เล็กน้อยแล้วนะคะคุณแสงศร” มินตราเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาวาวเป็นประกายใบหน้าของเธอแสดงออกว่าชื่นชมมากเป็นพิเศษ มินตราแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอจะได้มายืนอยู่ข้างๆเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณมินตรา” แสงศรยิ้มตอบมินตราเธอดูจะรู้จักสำนักพิมพ์มากกว่าใครในทีมแม้แต่นิลนนท์เองก็ยังไม่เคยรู้ชื่อเสียงของสำนักพิมพ์มาก่อน“สำนักพิมพ์นี้ดังมากเหรอวะ?” เทวินกระซิบถามเบาๆไม่ให้แสงศรได้ยิน“มึงหัดทำงานบ้างนะไอ้วิน ไม่ใช่ให้โยนให้กูทำจะได้รู้เรื่องกับเขาบ้าง สำนักพิมพ์ไดมอนด์มีทั้งแบบหนังสือรูปเล่ม นิตยสาร เว็บไซด์อีบุ๊ค ไม่ล้าหลังเหมือนสำนักพิมพ์เราหรอกนะ”มินตราร่ายยาวอย่างภาคภูมิใจในความรู้ของตัวเองเพราะเธอเองก็เป็นแฟนพันธ์แท้หนังสือของสำนักพิมพ์นี้เช่นกัน นักอ่านส่วนใหญ่มักจะรู้จักสำนักพิมพ์นี้เป็นอย่างดี หากโลคอลเทรนไม่มีคอลัมม์ของนรินทร์ก็คงจะไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว แตกต่างกับหนังสือและสื่อของสำนักพิมพ์ไดมอนด์อย่างสิ้นเชิงที่มีทั้งเรื่องราววัฒนธร
ชุดไทยสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าทึ่ง ชาวบ้านพากันโห่ร้องด้วยความตกใจปนทึ่ง แม่สายหันไปพยักหน้าให้เหล่านักดนตรีชาวบ้านก่อนจะบรรเลงเพลงที่อ่อนช้อย ซึ่งเป็นบทเพลงที่แตกต่างจากทางด้านภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จะค่อนข้างเร็ว แต่เพลงรำถวายนี้กลับเป็นการรำอ่อนช้อยเหมือนนางรำในราชวังอย่างไรอย่างนั้น“ไม่เหมือนที่แม่ซ้อมให้ไม่ใช่หรือ?” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามพลางหันไปมองแม่สายผู้เป็นภรรยา“รำนารีบารมี…เป็นรำที่ไม่ใช่ใครก็รำได้ นางโดนสิงอยู่แน่ๆ…” แม่สายเอ่ยพลางมองจ้องไปยังนรินทร์ที่กำลังเริ่มร่ายรำเสียงฆ้องดังสลับกับเสียงตะโพนในจังหวะเนิบๆ เมื่อเธอกระทืบเท้าหมุนตัวหันมาก็เป็นเสียงเป่าสังข์ดังก้องกังวาน พระจันทร์ด้านบนที่ขึ้นพอดีกับปลายยอดเทวาลัยเกิดปรากฏการณ์จันทร์ทรงกลด ชาวบ้านต่างฮือฮาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าราวกับภาพวาดรอยยิ้มหวานบางๆเปื้อนใบหน้า เธอสวยงามไม่ต่างจากในอดีตเลย…ทุกคนในทีมต่างอึ้งทึ่งมองเธอจนไม่กระพริบตา พชรเองก็ไม่ต่างกัน…สายตาคมเอ่อคลอเคลือบไปด้วยน้ำตาใส จ้องมองหญิงสาวที่รำอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้
งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นหน้าเทวาลัย แสงเทียนแสงตะเกียงถูกประดับประดาอย่างสวยงาม มันคืองานบวงสรวงที่ผิดกับภาพจำเธอไปเสียหน่อยเพราะว่ามันถูกจัดขึ้นตอนกลางคืน ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง เธอต้องรำถวายลานหน้าเทวาลัยที่มืดสลัวนั้นนรินทร์ถูกมินตรารุ่นน้องคนสนิทจับนั่งแต่งหน้าอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่ หลังจากที่ถูกกำชับให้อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอบน้ำหอมกลิ่นกฤษณาคลอกลิ่นดอกมะลิหอมจนตัวเธอเองยังได้กลิ่น เสื้อผ้สชุดไทยนั้นเธอได้มาจากแม่สายล้วนเป็นสีแดงพร้อมมงกุฏที่สีทอง อีกทั้งยังมีเครื่องประดับสีทอง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ชอสีแดงเสียเท่าไหร่ ยิ่งมองตัวเองในกระจกแป้งพับก็ยิ่งทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่คิดขนก็ลุกเกลียวจนเธอเผลอลูบแขนของตัวเองปอยๆ“พี่นรินทร์หนาวเหรอ?” มันตราที่กำลังตั้งใจแต่งหน้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง นรินทร์หันไปยิ้มแห้งแล้วส่ายหน้าไปมา มินตราทำหน้างงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามต่อ“อ้าว…อย่าบอกนะว่า….”“ว่า?”“พี่นรินทร์รับรู้ถึงพลังงานบางอย่างเมื่อใส่ชุดนี้” มินตราเอ่ยพลางท
“อุปกรณ์เราถูกไฟไหม้หมดเลย ข้อมูลต่างๆไม่เหลือเลย” นิลนนท์เอ่ยขึ้น หลังจากที่นรินทร์ได้นอนพักเต็มอิ่มมาตั้งแต่เมื่อวานพร้อมกับความทรงจำใหม่ความรู้ใหม่ในหัวที่ตัวเองพึ่งเจอและเห็นมากับตานรินทร์ละความคิดจากเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย แม้ในขณะที่เธอนั่งฟังเพื่อนสนิทของตนพูดและจ้องมองเพื่อนสนิทของตนอย่างเหม่อลอยอยู่ก็ราวกับว่าเป็นภาพของนาคานักรบคนนั้นที่อยู่ข้างกายพญาเพชรแก้วที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับเพื่อนของตน“นรินทร์…นรินทร์!! มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย?” นิลนนท์เรียกและเอามือวาดกลางอากาศใกล้ใบหน้าของนรินทร์แต่เธอยังคงนิ่งค้าง ก่อนที่นรินทร์จะสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองหน้านิลนนท์และคนอื่นๆที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียว“ฮะ?! อ๋อ อือ..”“อือ อะไรของมึง สรุปไม่ได้ฟัง?” นิลนนท์เอ่ยย้ำ“พี่นรินทร์ พี่เป็นอะไรไปเนี่ย” มินตราเอ่ยพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย นรินทร์หันไปมองหน้ามินตราก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อยพร้อมดึงมือออก มินตรายิ่งงงไปกันใหญ่กับท่าทีของรุ่นพี่ที่สน