เข้าสู่ระบบหนึ่งสัปดาห์ต่อมา…
ฟลายด์เดินทางมาเชียงใหม่ด้วยกระเป๋าเป้เพียงใบเดียว เพราะว่ายังไงที่เธอมาเชียงใหม่ครั้งนี้ก็แค่มาเที่ยวเล่น ไม่ได้จะมาอยู่นาน เดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว เพราะฉะนั้นเอามาเท่าที่จำเป็น และอีกอย่างเพื่อน ๆ ของเธอจองโรงแรมที่มีพร้อมทุกอย่างเอาไว้ให้แล้ว
เธอก็ยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง ว่าโรงแรมที่เพื่อนจองไว้ชื่ออะไร พอลงจากเครื่องเธอก็นั่งรอเดอะแก๊งมารับที่สนามบิน
พอไม่ได้เจอกันนานมันก็ตื่นเต้นเหมือนกันแฮะ ดีใจที่จะได้มาเจอกันในรอบหลายปี น่าจะเกือบ 5 ปีได้แล้วมั้ง จนเพื่อนแต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้ว ทั้งแก๊งคงเหลือแค่เธอคนเดียวมั้งที่ยังไม่มีครอบครัวเหมือนคนอื่นเขา
คิดแล้วก็เศร้าเหมือนกันนะ เพื่อน ๆ คงจะมีคนคอยให้สวีท ส่วนเธอนั้นคงเป็นเพียงแค่ส่วนเกิน ที่เพื่อนรักมากจนต้องหอบหิ้วไปด้วยทุกที่ จนบางทีอยากจะบอกเพื่อนมากว่าไม่ต้องหอบกูมาดูพวกมึงสวีทกันกับผัวก็ได้นะ กูเกรงใจ
“ฟลายด์” มด เพื่อนสาวคนสวยที่ไม่ว่าจะแต่งตัวแบบไหน ก็สวยได้ทุกลุคแม้ว่าเสื้อผ้าพวกนั้นจะซื้อมือสองตามตลาดนัดคลองถมก็เถอะ เป็นคนที่เทสดีมาก
“ภาณิภัค” หน่อย สาวเหนือหุ่นดี ผิวขาว สาวสวยประจำกลุ่ม ฮอตพอ ๆ กับมด
“หมอ” ส้มชอบเรียกชื่อนี้ เพราะเธอเรียนคณะสาธารณสุขศาสตร์ แต่ไม่เคยได้ใช้วิชาที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์ได้เลย
“ตัวเอง” แนนเพื่อนสาวตัวอวบ ผิวแทนที่ชอบพูดเสียงดังเป็นชีวิตจิตใจ
“แก” มิน เพื่อนสาวอวบเหมือนกันที่ตัวขาว แต่ชอบการแต่งตัวเป็นชีวิตจิตใจ
ดูชื่อที่พวกเขาเรียกเธอสิ ถ้าคนไม่รู้จักมักจี่กันจริง ๆ คงจะคิดว่าเพื่อน ๆ ของเธอเรียกคนละคนกันอยู่แน่ ๆ
ทุกคนวิ่งกรูกันเข้ามาสวมกอดกันอย่างดีใจ จนผู้คนที่รอบตัว ก็พลอยยิ้มตาม บางคนก็อาจจะสงสัยว่าพวกนี้มันเป็นอะไรกันหนักหนา แค่ได้เจอกันแค่นี้ ทำไมต้องเสียงดังขนาดนี้
“พวกเธอจะเสียงดังกันทำไม ดูคนอื่นเขามองเรากันใหญ่เลย” ฟลายด์เอามือป้องปากกระซิบกับเพื่อน ๆ ก่อนจะยืนเท้าเอว มองหน้าทุกคน “แล้วก็อีกอย่างนะ…พวกเธอจะเรียกชื่อที่มันเหมือน ๆ กันไม่ได้เลยหรือยังไง”
“ไม่ได้” ทุกคนตะโกนพร้อมกัน
“โอ้โห! ทีแบบนี้ตอบกันซะพร้อมเพรียง”
“มันคือซิกเนเจอร์ หมอจะได้จำได้ว่าใครเป็นคนเรียก”
“แหม! แค่เสียงเรียกก็จำได้แล้วไหม ต่อให้จะเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกก็ยังจำเสียงได้อยู่ดี เนี่ยแหละคือซิกเนเจอร์ของจริง”
“มัวแต่คุยกันอยู่นี่ ชาตินี้จะถึงที่พักไหมถามจริง” มินเอ่ยขึ้น
“เออวะ” หน่อยตอบ
“ไปเหอะ อยากไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ที่แสนจะน่านอน” ฟลายด์เสริมด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ
แล้วทุกคนก็เดินทางไปโรงแรม พอรถแล่นไปตามถนนความคุ้นเคยจากเส้นทางที่เธอเคยมาพุดขึ้นมาในหัว คงจะไม่ใช่โรงแรมที่เธอเคยมาพักมั้ง พอรถเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมเธอหันมองป้ายหน้าโรงแรมด้วยความตื่นเต้น ใช่! ต้องใช่แน่ ๆ!
“ที่นี่ใช่โรงแรม onederland ไหม?”
“ใช่ ทำไมเหรอ?” มดถาม
“เคยมาเหรอ” แนนถามต่อ
“นั่นสิ” มินแอบเสริม
“หมอ! แอบมากับใคร” ส้มเริ่มซักไซ้
“ภาณิภัค!” หน่อยเรียกเสียงเข้ม
“เปล่า แค่นึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่อยู่ดี ๆ ก็โดนด่าว่าเสือกเรื่องของชาวบ้านเขา”
ทุกหันมามองฟลายด้วความสนใจใคร่รู้ ทุกคนกรูกันเข้ามาล้อมวงให้เธออยู่ตรงกลางวงล้อมนั้น บรรยากาศช่างน่าอึดอัด
“ไหนเล่ามาสิ”
“เริ่มจากตรงไหนดี”
เสียงตะโกนเรียกชื่อผู้หญิงที่ชื่อฟ้าพร้อมเสียงเคาะประตูดังไม่หยุด
เด็กสาววัย 20 ต้น ๆ สวมแว่นหนาเต๊อะ ผมมัดรวบหางม้าไว้อย่างลวก ๆ นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างขะมักเขม้น ตาสองชั้นกลมโตจ้องมองจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่วางตา นิ้วมือเรียวยาวกำลังเคาะแป้นพิมพ์ดังไม่หยุดถึงกับต้องชะงักนิ้วมือที่กำลังกดแป้นพิมพ์อย่างเมามัน
หูทั้งสองข้างคอยเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแข่งแป้นพิมพ์เมื่อสักครู่ ว่าสิ่งที่เธอได้ยินเมื่อครู่ มีคนเคาะประตูจริง ไม่หรือว่าเธอหูฝาดไป แต่กลับไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดเข้ามาในโสตประสาทของเด็กหญิงฟลายได้เลย
’ ใช่แล้วเธอคนนี้ชื่อ ฟลาย เป็นนักหัดเขียนนิยายที่ไม่ค่อยอัพนิยายเท่าไร ชอบหาแรงบันดาลใจไปทั่ว คิดอะไรออกก็เขียนลงไป อาจจะไม่ถูกใจใครแต่ถูกใจคนเขียนแน่นอน
เธอก็วางนิ้วเรียวสวยลงบนแป้นพิมพ์ แล้วพิมพ์นิยายที่กำลังโลดแล่นอยู่ในสมองต่อไป
ในขณะเดียวกันเธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับดังรัว ๆ เหมือนคนจะพังประตูห้องเข้ามาเลย
ปัง! ปัง! ปัง! เสียงคาะประตูห้องดังขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด
ฟลายวางมือจากแป้นพิมพ์ละสายตาออกจากจอสี่เหลี่ยม มองไปยังประตู เดินไปเปิดประตูด้วยความโมโห ใบหน้าบู้บี้
“!!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างภายใต้กรอบแว่นหนามองภาพตรงหน้า เธอเห็นแผ่นหลังของชายน่าจะดูมีอายุกว่าเธอนิดหน่อย ถัดจากชายคนนั้นไปเป็นผู้หญิงนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวกำลังยืนร้องไห้กุมมือชายคนนี้ไว้ เธอกำลังจะปิดประตู…แต่สายตาเจ้ากรรมดันไปสะดุดกับแผงอกขาว ๆ มีกล้ามเป็นมัดเหมือนคนออกกำลังกายวันล่ะ 10 รอบ นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเขาก็นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ตอนนี้ในสมองของเธอมันกำลังครุ่นคิด’ เขาต้องมีซัมติงกันมาแน่ ๆ แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครมายืนคุยกับเมียคนอื่นเขา’ ไม่ทันจะได้คิดเพ้อเจ้อไปไกล ผู้ชายคนนั้นสะบัดมือออกจากผู้หญิงหันกลับมานัยย์ตาแดงก่ำ
ผู้ชายคนนั้นเดินจากไปผู้หญิงคนนั้น ก็หันมามองเธอสายตาบ่งบอกว่า ‘เสือกอะไรเรื่องของชาวบ้าน’ แล้วก็ปิดประตู
ฉันมองตามพวกเขาด้วยความฉงน ในสมองมีคำถามมากมายอยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำ แต่ก็ช่างเถอะกลับไปทำงานของตัวเองดีกว่า เดี๋ยวเขาจะหาว่าเรา‘เผือก‘เรื่องชาวบ้านอย่างที่เขาด่าด้วยสายตา
“เรื่องราวมันก็มีประมาณนี้เนี่ยแหละ ทุกวันนี้ยังงง ๆ อยู่เลยว่าเราไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า แต่แทนที่เราจะต้องเป็นฝ่ายด่าพวกเขามากกว่าที่มาทำเสียงดังรบกวนคนอื่น แต่สุดท้ายกลายเป็นเค้าที่โดนด่าด้วยสายตาซะงั้น” ฟลายด์ร่ายยาวถึงความอัดอั้นตันใจที่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมกับถอนหายใจยาว ๆ
ส้มตบไหล่เธอเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกระเช้าเย้าแหย่ “สงสัยไปมองผัวเขา เขาเลยจิกด้วยสายตาดีกว่าด่าด้วยคำพูด ประมาณว่าผัวกู กูดูได้คนเดียวแบบนี้หรือเปล่า”
“ส้มมึงนี่ก็เดาไปเรื่อย กูว่าเขาอาจจะชวนกันมาสวิงกันก็ได้นะ” แนนพูดแทรกขึ้นอย่างขบขัน
“ไอ้แนน!!” ทุกไปมองเพื่อนแล้วตะโกนเรียกชื่ออย่างพร้อมเพรียง
“พอแล้ว เลิกพูดถึงเรื่องนั้นดีกว่า เราไปเช็คอินเข้าห้องกันก่อนเถอะ” ฟลายด์เสนอ
หน่อยเป็นคนเข้าไปเช็คอินเข้าห้องพักแล้วเอากุญแจห้องมาให้ฟลายด์ เพราะคนอื่นเช็คอินเข้าห้องพักกันหมดทุกคนแล้ว
“นี่กุญแจห้องพักเหลือแค่ห้องเดียวที่จองไว้ เพราะห้องอื่นทุกคนจองกันไปหมดแล้ว”
ฟลายด์รับกุญแจห้องมามองเบอร์ห้องที่ได้ เธอถึงกับจ้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ กุญแจล่วงลงพื้น นี่มันอะไรกัน ทำไม? ถึงได้อยู่ห้องเดิมที่เคยมาอยู่ด้วย ห้องนี้มันมีอาถรรพ์อะไรเนี่ย หรือว่าห้องเลือกคน
“เราเปลี่ยนโรงแรมกันไหม” ฟลายด์ถามเพื่อน ๆ อย่างร้อนรน
“เป็นอะไรอีก มีความหลังอะไรกับที่นี่”
“ไม่มี แต่แค่อยากลองไปพักที่โรงแรมอื่นดูบ้าง”
“ไปไม่ได้ เสียค่าห้องไปแล้ว”
“งั้นเปลี่ยนห้องกัน กับใครก็ได้”
“เค้าไม่ได้ แนนก็ไม่ได้ มดก็ไม่ได้เพราะมีเด็ก ๆ ขนของลำบาก” หน่อยตอบ
“งั้นก็สุพัตราเราแลกห้องกัน”
“หมอเอ็งก็รู้ว่าแฟนเค้าเป็นยังไง”
“ไม่มีใครอยากเปลี่ยนเลยเหรอ” ฟลายด์ถามด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง ทุกคนกลับพร้อมใจกันพยักหน้า
ทุกคนก็เดินขึ้นห้องมาพร้อมกับฟลายด์ และยังใจดีเดินมาส่งเธอที่ห้องด้วย ถึงแม่จะอยู่ชั้นเดียวกัน แต่ห้องของฟลายด์กลับอยู่ถัดจากเพื่อน ๆ ไปอีกสองสามห้อง
“เก็บแรงเอาไว้ไปเที่ยวคืนนี้กันดีกว่า”
“ก็ได้ งั้นของีบก่อนนะ คืนนี้จะได้มีแรงไปออกสเตป”
นานวันเข้าพ่อของฟลายด์ก็เริ่มเห็นถึงความผิดปกติของคนที่อ้างว่าเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกับลูกสาวของตน วันนี้นึกคิดยังไงไม่รู้อยากมาหาลูกสาวที่ห้อง อยากคุยเรื่องชายหนุ่มคนนั้น ด้วยความที่ผู้เป็นพ่อเดินมาเห็นพอดีจึงทำให้รีบเดินไปทางหน้าห้องลูกสาว ในตอนที่ชายหนุ่มกำลังกอดร่างบางอยู่เสียงประตูห้องก็ถูกเคาะขึ้นมาพอดี“ฟลายด์แกเปิดประตูให้พ่อเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผู้เป็นพ่อเคาะประตูห้องลูกสาวด้วยความร้อนรนฟลายด์รีบออกไปเปิดประตูเมื่อแบงค์เข้าไปซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว“มีอะไรหรือเปล่าพ่อ” เธอพยายามซ่อนพิรุธเอาไว้ไม่อยากให้พ่อจับได้ ทว่าพ่อก็รีบเดินเข้ามาพร้อมกับค้นหาแบงค์ตามสิ่งที่เห็น“ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันอยู่ไหน” ผู้เป็นพ่อตวาดลั่น จนคนในบ้านต่างตื่นขึ้นมาดูด้วยความตกใจทำให้แบงค์ต้องออกมายอมรับความผิดของตัวเอง ฟลายด์ถึงกับชะงักค้างไปด้วยรู้กับความผิดของตัวเองดี ก่อนที่ทุกคนจะไปรวมกันที่ลานบ้านเพื่อพูดคุยหาลือกัน“คุณ! นับจากวันนี้เป็นต้นไปให้คุณย้ายไปนอนที่บ้านพักคนงาน และทำงานในไร่กับคนงาน ไม่ต้องมาที่บ้านใหญ่ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผม”ผู้เป็นพ่อที่ได้รู้เรื่องทั้งหมดก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมา
ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก เมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ขึ้นหน้าห้อง ตึก…ตึก…ตึก…เงาสะท้อนผ่านใต้ช่องประตูหน้าห้อง เท้าที่เธอคุ้นเคยหยุดยืนพิงประตูอยู่หน้าห้อง กำลังแนบใบหูเข้ากับประตูหน้าห้องของเธอ ฟลายด์รีบหันขวับส่งสัญญาณให้แบงค์ ที่ยืนปักหลักอยู่กลางห้องเหมือนไม่คิดจะหลบอีกต่อไป “เงียบ!” เธอรีบกระซิบเสียงเบาก๊อก ก๊อก ก๊อก!“ไอ้ฟลายด์! หลับหรือยัง” เสียงเฟลนด์ดังขึ้นพร้อมกับแรงเคาะประตูหน้าห้องแทบพังฟลายด์รีบวิ่งไปดันชิดประตูเอาไว้ พยายามทำเสียงให้ปกติ “ยัง…มึงมีอะไรหรือเปล่า”“กูได้ยินเสียงเหมือนมีผู้ชายอยู่ในห้องมึง มึงคุยกับใคร” น้ำเสียงเฟลนด์เต็มไปด้วยความกังขา“กูไม่ได้คุยกับใคร แค่…ดูซีรีส์อยู่”ข้างนอกห้องเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนเฟลนด์กำลังชั่งใจว่าจะเชื่อหรือไม่ เธอยืนนิ่ง เหงื่อซึมออกมาตามฝ่ามือ ในหัวมีแต่จะหาที่ซ่อนตัวให้ชายหนุ่มไม่ให้ถูกจับได้ หากพี่ชายขอเข้ามาในห้อง ทุกอย่างจบเห่แน่!“เออ ล็อกประตูดี ๆ ด้วย เข้าใจไหม” สุดท้ายเฟลนด์ก็ทิ้งคำสั้น ๆ ไว้ ก่อนฝีเท้าหนัก ๆ จะค่อย ๆ เดินห่างออกไปทันทีที่เสียงนั้นเลือนหาย ฟลายด์ก็ทรุดตัวลงกับประตู หัวใจ เต้นแ
“ฟลายด์ขอสั่งห้ามพี่ไม่ให้บอกเรื่องนั้น” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยบอกกลับไปและบังคับให้ชายหนุ่มทำตามที่เธอว่า “พี่กลับไปก่อนเถอะนะ เดี๋ยวฟลายด์จะหาวิธีบอกเรื่องนี้ให้พวกท่านรู้เอง ถ้าพวกท่านรู้ตอนนี้…พวกท่านเอาฟลายด์ตายแน่”“งั้นพี่จะอยู่ที่นี่แลกกับการไม่บอกใครเรื่องที่เรามีอะไรกันแล้ว” เขาพูดบอกอย่างเป็นต่อ สีหน้าไม่ยอมผ่อนปรน“ไม่ได้”แต่เขากลับก้าวเข้ามาใกล้ กระซิบข้างใบหูเธอ “ถ้าฟลายด์ไม่ให้พี่อยู่…พี่จะบอกพวกท่านเอง ว่าพวกเราเป็นสามีภรรยากันใน ทางพฤตินัยแล้ว”“พี่นี่มัน! พูดอะไรออกมาไม่คิดหรือไง ถ้าพ่อแม่ฟลายด์ได้ยินเข้าละก็…”“งั้นก็ให้พี่ที่นี่สิ ง่ายที่สุดแล้ว” แบงค์ยกยิ้มมุมปาก แค่นั้นก็ทำให้หญิงสาวหวาดหวั่น“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ตามใจ” เธอว่าจบก็เดินเข้าไปด้านในบ้านด้วยความขัดใจเล็กน้อยพี่ชายก็เดินตามมาดู สีหน้าหงุดหงิดไม่คลาย “ยังอยู่เหรอคุณ! ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวผมยืนยัน ผมคงเรียกตำรวจมาลากคอคุณออก ไปแล้วนะ”“ผมได้ยินว่าคุณอยากพักอยู่ที่นี่ งั้นเอางี้ไหม ถ้าอยากจะอยู่จริง ๆ ก็ไปอยู่บ้านพักคนงานที่ไร่” เฟลนด์เอ่ยเสนอแนะเสียงเข้ม อีกทั้งยังไม่ไว้ใจชายหนุ่ม ถึงเสนอให้ไปอยู่กับคนงาน จ
แบงค์ที่ได้ข้อมูลมาจากหลาย ๆ คนและมีคนที่พามา ก็ทำให้เจอบ้านของฟลายด์จนได้ ทว่าคนที่เขาเจอกลับเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ออกมาเดินอยู่หน้าในจังหวะนี้พอดี ทั้งยังจูงมือมากับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้เขาเข้าใจว่าผู้ชายคนนั้นคือสามีของฟลายด์และลูกสาว ซึ่งมันเป็นเพียงแค่คำโกหกของหญิงสาวเพียงเท่านั้น แต่แบงค์กลับเชื่อสนิทใจเฟลนด์พาลูกสาวตัวน้อยออกมากำลังจะพาไปร้านค้าใกล้บ้าน พอเห็นชายแปลกหน้าร่างสูงยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ตรงหน้าบ้าน สายตาคมกริบจ้องมองมา เขาก็ชะงักทันที“คุณเป็นใคร มาหาใคร?” น้ำเสียงแข็งกร้าวถามขึ้นทันที“ผมมาหา…” แบงค์กำลังจะเอ่ยชื่อของฟลายด์ออกมา แต่ยังไม่ทันจบประโยค“คุณจะมาใครก็ช่างเถอะ ที่นี่ไม่มีคนที่คุณตามหาหรอก และก็อย่ามาแอบอ้างนะ! ว่ารู้จักคนในบ้าน”ลูกสาวตัวน้อยที่เล่นซ่อนอยู่ข้างหลังเกาะชายเสื้อพ่อเอาไว้แน่น โผล่มาแค่เพียงใบหน้าแอบมองชายที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ดวงตากลมใสเต็มไปด้วยความงุนงงกระนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผู้ชายกับเด็กคนนั้น “แม่” เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น“พี่! เกิดอะไรขึ้น!” หมวยเห็นสามียืนคุยกับใครก็ไม่รู้ตั้งนาน สีหน้าเคร่งขรึม เธอจะรีบวิ่ง
ฟลายด์ที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยร่างกายปวดเมื่อยขบตามตัว ทว่าเธอยังคงหลับตาด้วยอาการมึนหัวจนต้องใช้มือจับที่ศีรษะของตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือพลางหันมองรอบด้านในห้องที่เธอรู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยเธอที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้สวมใส่อะไรก็ค่อยๆ ยกผ้าห่มขึ้นเปิดดูเพื่อความแน่ใจว่ามันเกิดกับเธอบ้าง ในใจของเธอมีแต่คำว่าฉิบหายแล้ว เพราะถ้าคนในครอบครัวรู้คงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน“นี่ฉันอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?”เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ จากนั้นภาพความทรงจำในหัวก็แล่นเข้ามา ความทรงจำเมื่อคืนตัดขาดไปบางช่วง มีเพียงภาพเลือนรางของแก้วเครื่องดื่ม สายตาคมคู่นั้น และรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจเธอแกว่งไปทั้งที่ไม่อยากยอมรับ เธอบดจูบเขาอย่างเร่าร้อน จนเธอถึงกับชะงักค้างไปเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปมองด้านข้างที่จู่ ๆ ก็มีมือมาพลาดบริเวณช่วงหน้าท้องของตัวเอง ทว่าเธอก็ถึงกับชะงักข้างไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนที่นอนอยู่ข้างกันคือแบงค์ฟลายด์ถึงกับรีบตั้งสติพร้อมกับยกมือของอีกฝ่ายออกห่างจากตัวเบา ๆ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน เธอผล็อยตัวลงจากเตียงพร้อมกับหอบหิ้วเสื้อผ้าหายเข้าไปในห้
เธอมองตาเขาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันควรจะเป็นไปในทางไหน เธอไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธเขาชายหนุ่มประคองใบหน้าหญิงสาวเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธหรือขัดขืนเขา ริมฝีปากของเขาแตะลงบนปากนุ่มอย่างนุ่มนวล ฟลายด์ร่างกายแข็งทื่อ ยืนหลับตาปี๋หัวใจเต้นระส่ำด้วยความตกใจ ริมฝีปากของเขาแนบสนิทอยู่กับกลีบปากนุ่ม ปลายลิ้นอันเร่าร้อนสอดผ่านริมฝีปากเธอเข้าไปพันเกี่ยวลิ้นเธออย่างช่ำชองด้วยสัญชาตญาณเธอแนบชิดตัวเขาอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากร้อนผ่าวของแบงค์กำลังหลอมละลายปากนุ่มของเธอจนเปียกชุ่มภายใต้การควบคุมของเขา เธอแทบขาดอากาศหายใจ เมื่อแบงค์บดคลึงริมฝีปากของเธออย่างหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น หัวใจของเธอหวาดหวั่น แต่ร่างกายกลับแอ่นบดเบียดเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่นของชายหนุ่ม“พี่ขอมากกว่านี้ได้ไหม”ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกน้ำเสียงทุ้มที่ถามออกมาแฝงความเซ็กซี่ ราวกับกำลังโลมเลียเรือนกายของเธอแทนปลายนิ้ว จนฟลายด์ขนลุก ใบหน้าเนียนละเอียดถูกเชยให้เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาเธอพยักหน้าตอบรับ สอดแขนโอบกอดรอบคอชายหนุ่ม จูบตอบกลับเขา นิ้วเรียวยาวแข็งแรงสอดแทรกเข้าไปประคองท้ายทอยเอาไว้แน่น บดคลึงริมฝีปากบางอย่างเร่าร้อน ก่อนจ







