“เจ้าไม่กลัวข้าโกรธแล้วลงโทษเจ้าหรือ?” ไท่ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ ดังเดิม
“จะอย่างไร…ข้าก็ต้องตายอยู่แล้ว” หลี่ชิงตอบ “ถ้าท่านโกรธแล้วลงโทษข้า อย่างมากก็แค่ตาย แล้วคนเราตายได้เพียงหนเดียวเท่านั้น”
ไท่ชินอ๋องยกยิ้มมุมปากขวาขึ้นนิดหนึ่ง “เจ้าจะแสดงความกล้าหาญ…เช่นนั้นหรือ?”
แต่…คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏแววประหลาดใจในดวงตาวูบหนึ่ง
“ข้ากำลังเรียกร้องความสนใจจากท่านอยู่”
“เพื่อ?”
“ถ้าท่านสนใจข้า ข้าอาจจะมีชีวิตรอด…แต่ถ้าท่านไม่สนใจข้า ข้าก็แค่ถูกฝังตายทั้งเป็นเหมือนเดิมเท่านั้น”
“ทำไมเจ้าไม่อ้อนวอนขอร้องข้าดีๆ ละ?”
“ผู้สูงศักดิ์อย่างท่านไม่ใจอ่อนง่ายๆ หรอก…ท่านผ่านคำอ้อนวอนขอร้องจากผู้คนมามากมายอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจะมาสนใจอะไรกับคำอ้อนวอนของข้า” หลี่ชิงกล่าวตรงๆ “แต่ถ้าท่านไม่มีความสนใจข้าเลย ท่านคงไม่ให้คนนำตัวข้ามาให้ท่านดู”
“อืม…เจ้าพูดถูก” ไท่ชินอ๋องยกมุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ข้าอยากเห็นว่าบุรุษแบบไหนกันนะจึงทำให้มหาอำมาตย์เฉาฮั่วถึงกับตายคาเตียงได้” หยุดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อว่า “แต่เห็นแล้ว…ก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น!”
แววตาของหลี่ชิงหม่นแสงลง แต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา…เขาหมดคำพูดแล้ว ลูกอนุอย่างเขาแม้ตะเบ็งจนสุดเสียง ก็คงดังไม่เท่าเสียงแมลงหวี่ พูดไปก็ไร้ค่า สู้อย่าอ้อนวอนให้ถูกหัวเราะเยาะดีกว่า
“ท่านอ๋อง…ข้าน้อยจะให้ลากตัวเขาออกไป จะได้ไม่อยู่ขัดหูขัดตาของท่านดีหรือไม่ขอรับ?” เฉาฉุนประจบประแจง
แต่ไท่ชินอ๋องปฏิเสธ “ไม่ต้อง…รูปร่างหน้าตาของเขาออกจะเจริญหูเจริญตามากอยู่ ไม่ขัดตาแม้แต่น้อย”
ทำเอาเฉาฉุนถึงกับไปไม่เป็น “อ้า…”
ไท่ชินอ๋องละเลียดดื่มชาช้าๆ…ท่ามกลางหัวใจที่เต้นตึกตักอย่างรอคอยความหวังอันริบหรี่ของหลี่ชิง และความอึดอัดของเฉาฉุน
กึก…เสียงวางถ้วยชาเบาๆ
แต่สะท้านใจทุกคนในห้องโถงรับรองใหญ่แห่งนั้น เพราะทุกคนต่างเงียบกริบ
“เจ้ามีคุณสมบัติอะไรบ้าง?” ไท่ชินอ๋องถาม นัยน์ตาคมกริบมองตรงมาที่หลี่ชิง
“ข้าสามารถบรรเลงฉิน ร่ายกลอน เล่นหมากล้อมขอรับ” หลี่ชิงตอบ
“ในระดับไหน?”
“แค่พอได้ขอรับ”
“ไร้ประโยชน์…เด็กรับใช้ของข้าน่าจะเชี่ยวชาญกว่าเจ้าเสียอีก” ไท่ชินอ๋องสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ก่อนจะถามต่อว่า “แล้วความสามารถบนเตียงล่ะ?”
หลี่ชิงอึ้งไปเป็นครู่…จะให้เขาตอบว่าอย่างไรล่ะ เขาไม่เคยมีสัมพันธ์ทางเพศกับใครแม้สักครั้งเดียว ตาเฒ่าเฉาฮั่วนั่นก็ไม่ได้แตะต้องถูกเขาแม้แต่นิดเดียว ก็เป็นลมตายไปเสียก่อน ทว่าเขากลับถูกเอาไปร่ำลือว่าร่านราคะจนตาเฒ่านั้นสิ้นใจตาย!
“ช่างเถอะ…” ไท่ชินอ๋องกล่าวขึ้น “นานๆ ครั้ง ทำการค้าขาดทุนสักทีก็น่าสนุกดี” แล้วหันไปถามเฉาฉุน “ท่านมหาอำมาตย์ว่าจริงหรือไม่?”
“จริงขอรับ” เฉาฉุนรีบประจบ
“ท่านเห็นด้วย?”
“ขอรับ”
“ดี” กล่าวแล้วไท่ชินอ๋องก็หันไปเรียก “หวังเสียง"
“ขอรับ” หวังกงกง ขันทีคนสนิทของไท่ชินอ๋องวัยสามสิบ รูปร่างสูงใหญ่ ดวงหน้าสี่เหลี่ยม แววตาเท่าทันคน น้อมกายรับคำ
“เอาทองคำน้ำหนักเท่าเด็กคนนี้ให้ท่านมหาอำมาตย์ใส่โลงฝังร่วมกับบิดา เป็นค่าตัวของเด็กคนนี้ แล้วนำเด็กคนนี้กลับจวนไปดูแลให้ดี ข้าจะรับเขาเป็นเด็กรับใช้ห้องข้าง(ชายบำเรอ)”
ฟังถึงตรงนี้…หลี่ชิงก็ร่ำร้องอย่างแทบจะบ้าคลั่งในใจ…ข้ารอดตายแล้วหรือ? ข้ารอดตายจริงๆ หรือ?
พอรู้ว่าตนเองรอดจากการถูกฝังทั้งเป็น ประสาทที่ตึงเครียดจนแทบจะขาดสะบั้นอยู่รอมร่อ กินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวันหลายคืน ก็ผ่อนคลาย…ร่างบอบบางที่คุกเข่าอยู่ทรุดซบลงบนพื้นหมดสติไป!
*
*
หลี่ชิงรู้สึกตัวอีกทีก็มานอนอยู่บนเตียงที่ปูฟูกนุ่มในห้องนอนที่สวยงามมีระเบียบห้องหนึ่ง แม้ไม่ถึงกับหรูหราอลังการ แต่ก็ดีกว่าห้องนอนเก่าของเขาที่จวนตระกูลหลี่หลายสิบเท่า…ที่นอนผ้าห่มหมอนหนุนล้วนนุ่มอุ่นสะอาดเอี่ยม
พอลืมตาขึ้น…ก็เห็นเด็กรับใช้วัยไล่เลี่ยกันกับเขาคนหนึ่ง หน้าตาน่ารักยืนส่งยิ้มให้จนลักยิ้มที่สองข้างแก้มเป็นรอยบุ๋ม
“คุณชายหลี่ตื่นแล้วหรือขอรับ?”
หลี่ชิงไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามกลับว่า “เจ้าคือ?”
“บ่าวชื่ออาเฟย ท่านหวังกงกงให้บ่าวมาอยู่เป็นเด็กรับใช้ประจำตัวของคุณชาย และสั่งว่าหลายวันนี้ให้คุณชายพักผ่อนให้สบาย กินให้อิ่ม นอนให้หลับ หากท่านอ๋องจะให้คุณชายไปรับใช้ จะให้คนมาบอกกล่าวเองขอรับ”
กล่าวแล้วอาเฟยก็ปรนนิบัติให้หลี่ชิงแปรงฟันบ้วนปากล้างหน้า แล้วไปยกสำรับอาหารมาให้…นี่นับเป็นมื้อแรกที่หลี่ชิงได้กินอาหารดีๆ ไม่ใช่ของเหลือเดนจากในครัว อย่างที่ได้รับจากจวนตระกูลหลี่
“อาเฟยนั่งกินด้วยกันสิ” หลี่ชิงกล่าวกับเด็กรับใช้ประจำตัวคนแรกในชีวิต
อาเฟยยิ้มแล้วส่ายหน้า “บ่าวกินอิ่มมาจากในครัวแล้วขอรับ”
“อาเฟย…ข้าถามอะไรเจ้าบางอย่างได้หรือไม่?” หลี่ชิงกินไปพลางถามไปพลาง
“ได้ขอรับ” อาเฟยรับคำ
“เจ้ามาอยู่ที่จวนไท่ชินอ๋องนานเท่าไหร่แล้ว?”
สีหน้าอาเฟยสลดลงเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ตั้งแต่เกิดมาขอรับ”
“ตั้งแต่เกิด…บิดามารดาเจ้าล้วนอยู่ในจวนนี้หรือ?”
“หามิได้ขอรับ” อาเฟยเอ่ย “บ่าวถูกทิ้งตั้งแต่แรกเกิด มีคนเก็บบ่าวได้ที่พงหญ้า แต่ครอบครัวนั้นไม่พร้อมจะเลี้ยงบ่าว จึงนำบ่าวมาขายให้ท่านพ่อบ้านของจวนนี้ ชื่ออาเฟยนี้ก็เป็นท่านพ่อบ้านตั้งให้ขอรับ”
หลี่ชิงมองอาเฟย แล้วได้แต่ปลงในใจ…พ่อแม่ของอาเฟยเอาอาเฟยมาทิ้งไว้ในพงหญ้า ไม่สนใจว่า…เด็กแรกเกิดจะอยู่รอดหรือไม่ จะถูกสัตว์ทำร้ายหรือไม่…จิตใจทำด้วยอะไรหนอ?
ส่วนเขานั้น…คนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้ากลับผลักเขาให้ตกนรก ยกเขาให้เป็นชายบำเรอของตาเฒ่าตัณหากลับได้หน้าตาเฉย!
“อาเฟย…” หลี่ชิงเรียกเสียงนุ่มนวล “ขอรับ คุณชาย” อาเฟยขานรับด้วยรอยยิ้มสดใส“ข้าเป็นคนมาใหม่…เจ้าพอจะช่วยบอกเล่าความเป็นไปของจวนแห่งนี้ให้ข้ารับรู้ได้หรือไม่?” หลี่ชิงไม่ใช้ถ้อยคำออกคำสั่งแต่ใช้ถ้อยคำขอร้องอย่างสุภาพกับอาเฟยแทน อาเฟยยิ้มจนตาแทบปิด พยักหน้ารัวๆ “ได้ขอรับ” แล้วเล่าให้หลี่ชิงฟังว่า…ไท่ชินอ๋องมีนามว่าเฉินเจี๋ย มีพระชายาเอกนามว่าฟางหมิงซิน นางเป็นธิดาคนเดียวของอำมาตย์ฟางเหยียนเจ้ากรมพิธีการ พระชายาฟางหมิงซินมีนิสัยเจ้าระเบียบและหึงหวงแรง ไท่ชินอ๋องจึงไม่ได้แต่งตั้งพระชายารอง แต่มีอนุชายาสามนางคือ จูอี๋เหนียง หยวนอี๋เหนียง และเหมยอี๋เหนียง(อี๋เหนียง คือคำเรียกอนุชายา หรืออนุภรรยา) ส่วนอำนาจจัดการเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างในจวนขึ้นตรงกับพ่อบ้านเจา ยกเว้นเรื่องส่วนตัวของไท่ชินอ๋องที่จะอยู่ในการดูแลของขันทีหวังเสียง “เมื่อวาน ตอนที่คุณชายยังนอนหลับอยู่…พระชายาฟางหมิงซินก็ส่งสาวใช้มาดูขอรับ” อาเฟยเอ่ยเสียงเบาอย่างเกรงๆ “เจี่ยเจีย(พี่สาว…เป็นคำเรียกยกย่องสาวใช้) บอกว่า…หากคุณชายได้สติแล้ว ให้ไปคำนับพระชายาโดยเร็ว” หลี่ชิงได้ยิน ก็อดขมวดคิ้วเล็กน้
หลี่ชิงขบริมฝีปากจนห้อเลือด กำมือแน่น เพื่อข่มอารมณ์โกรธเกลียดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถามอาเฟยต่อว่า “ยามนี้ซูอี๋เหนียงเป็นอย่างไรบ้าง?” “บ่าวไม่ทราบขอรับ บ่าวซื้อข่าวมาได้เพียงแค่นี้ เพราะบ่าวมีเงินจำกัดขอรับ” อาเฟยตอบแล้วก้มหน้าหงอยๆ “แค่นี้ก็ขอบใจเจ้ามากแล้วอาเฟย” หลี่ชิงกล่าวแล้วไอแค็กๆ “คุณชาย…” อาเฟยเอามืออังซอกคอของหลี่ชิง แล้วอุทานหน้าตื่นว่า “ท่านตัวร้อน” “แค่นิดเดียวเอง ไม่ถึงกับตายหรอก” เจ้านายหนุ่มน้อยตอบอย่างไม่แยแส ทันใด…เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขัดจังหวะ อาเฟยเดินไปเปิดประตู…คนเข้ามาแต่งชุดขันที อายุราวสามสิบ รูปร่างสูงเพรียว หน้าตาสุภาพ “หลิวกงกง” อาเฟยทักพร้อมกับค้อมศีรษะนอบน้อม “อืม” หลิวกงกงรับคำในลำคอ แล้วเดินเข้ามาในห้องนอน กล่าวกับหลี่ชิงว่า “คุณชายหลี่ ท่านอ๋องให้ท่านไปปรนนิบัติคืนนี้” “เอ้อ…คุณชายไม่…” อาเฟยจะบอกว่า…คุณชายไม่สบายอยู่ แต่หลี่ชิงรีบยกมือห้าม พร้อมกับรับคำหลิวกงกงว่า “ข้ารับทราบแล้วกงกง” “อืม…หลังกินอาหารแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมนะ ข้าจะมารับ” ว่าพลางหยิบตลับขี้ผึ้งสำหรับหล่อลื่นช่องทางสวาทยื่นส่งให้ “ส
เด็กหนุ่มยกถ้วยน้ำชาผสมยาปลุกกำหนัดขึ้นจรดริมฝีปากของตนเอง ขณะจะดื่ม ข้อมือเล็กๆ ของเขาก็ถูกมือใหญ่ของไท่ชินอ๋องคว้าจับยึดไว้ “ในน้ำชานั้นใส่อะไร?” เสียงทุ้มต่ำถาม “ยาปลุกกำหนัดขอรับ” หลี่ชิงตอบตามจริง “จะปรนนิบัติข้า ถึงกับต้องใช้ยาปลุกกำหนัดเชียวหรือ?” “ข้าน้อยไร้ประสบการณ์ เกรงจะปรนนิบัติท่านอ๋องไม่ถูกใจ จึงจำเป็นต้องใช้ยาปลุกกำหนัดช่วยขอรับ” ไท่ชินอ๋องจับมือของหลี่ชิงให้วางถ้วยลงบนโต๊ะ สั่งว่า “วางมันลง” หลี่ชิงก็ปฏิบัติตามไม่ขัดขืน “เจ้ามิใช่มีความสามารถจนทำให้มหาอำมาตย์เฉาผู้บิดาสิ้นใจตายคาเตียงหรอกหรือ?” “คืนนั้น…เขามิได้แตะต้องถูกตัวข้าน้อยแม้แต่ปลายนิ้วขอรับ” “เช่นนั้น เขาตายอย่างไร?” ไท่ชินอ๋องถามแล้วสั่งว่า “นั่งลง แล้วเล่าเหตุการณ์คืนนั้นให้ข้าฟังอย่างละเอียด” หลี่ชิงจึงนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับไท่ชินอ๋องตามที่เขาสั่ง แล้วเล่าว่า “คืนนั้น…เขามาหาข้าน้อยที่ห้อง มีอาการคล้ายคนเมาอยู่หลายส่วน แต่พอเขาเดินเข้ามาใกล้ข้าน้อยเกือบหนึ่งจั้ง(หนึ่งจั้ง = 2.5 เมตร ในที่นี้จึงราวสองเมตรกว่า) เขาก็ล้มลง ในตอนแรกข้าน้อยคิดว่าเขาเ
หลังจากถูกไท่ชินอ๋องปลุกและประคองให้นั่งขึ้นดื่มยากลางดึก ต่อจากนั้นหลี่ชิงก็นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวจนกระทั่งถึงเวลาสายของอีกวันหนึ่ง พอเขาตื่นขึ้นมาก็รู้ว่ายังคงนอนอยู่ในห้องนอนของไท่ชินอ๋อง มีสาวใช้ยืนคอยเพื่อปรนนิบัติ และหลิวกงกงยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่างพอเห็นเด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น…หลิวกงกงที่หน้าติดจะเรียบตึงอยู่ตลอดเวลาก็แย้มยิ้มประจบจนตาแทบปิด “คุณชาย ท่านตื่นแล้วหรือ? อยากจะนอนต่ออีกสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”น้ำเสียงที่กล่าวก็นุ่มนวลอ่อนโยนผิดจากเมื่อวานที่ราบเรียบเย็นชาราวฟ้ากับก้นเหว “ข้านอนพอแล้ว” หลี่ชิงรู้สึกว่าอาการของตนเองดีขึ้นกว่าเมื่อเย็นวานหลายส่วน แม้จะยังไม่หายสนิทก็ตาม สาวใช้ก็เข้ามาปรนนิบัติให้เด็กหนุ่มแปรงฟัน บ้วนปากล้างหน้า แล้วหลิวกงกงก็สั่งให้พวกนางนำกาละมังทองคำใส่น้ำอุ่นมาให้ เขาจะช่วยเช็คตัวให้เด็กหนุ่มเอง “คุณชายยังป่วยอยู่ คงจะอาบน้ำมิได้ ให้บ่าวเช็ดตัวให้จะดีกว่า แล้วค่อยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่นะขอรับ”ที่หลิวกงกงเปลี่ยนมาใช้ถ้อยคำอ่อนน้อมถ่อมตนกับหลี่ชิงก็เพราะว่า…ไท่ชินอ๋องไม่เคยอนุญาตให้ใครมานอนค้างคืนที่ตำหนักใหญ่เลย อี๋เหนียงนา
อาเฟยวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ตำหนักใหญ่ในสภาพร้องไห้กระซิกๆ เลือดอาบ หน้าตาเลอะเทอะ จนบ่าวรับใช้ของตำหนักใหญ่เห็นแล้วตกใจ ไม่ยอมให้เข้า “ข้าจะขอพบท่านอ๋อง…คุณชายแย่แล้ว…คุณชายแย่แล้วขอรับท่านอ๋อง” อาเฟยส่งเสียงตะโกนดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ บ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้าฉุดลากอาเฟยจะให้ออกไปให้พ้นหน้าประตูตำหนักใหญ่ แต่อาเฟยแข็งขืนและร่ำร้องถ้อยคำเก่าซ้ำๆ บ่าวรับใช้ผู้นั้นเลยตวาดว่า ”ถ้าไม่หยุดส่งเสียงก่อกวน ข้าจะตีเจ้าให้ตาย” “มีอะไรกัน?” เสียงหลิวกงกงดังแทรกขึ้น แล้วเจ้าของเสียงก็เดินอย่างรวดเร็วเข้ามาใกล้ “เอะอะโวยวายอยู่หน้าตำหนักใหญ่ ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร?” “กงกง…กงกง…คุณชายๆ” อาเฟยพูดไปหอบไป “คุณชายตีเจ้าจนกลายเป็นสภาพนี้หรือ?” “ไม่ใช่…” อาเฟยส่ายหน้า แต่ไม่ทันกล่าวต่อ หลิวกงกงก็เอ่ยขัดขึ้น “หรือคุณชายไม่สบายอีก?” “ไม่ใช่…” อาเฟยส่ายหน้าอีก “ไอ้นั่นก็ไม่ใช่ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่…เจ้าจะเล่นตลกอะไร?” อาเฟยตั้งสติตะเบ็งเสียงว่า “คุณชายถูกคนของพระชายาจับตัวไป!” “หา!” หลิวกงกงอุทานหน้าตื่น “ขะ ข้าจะรีบไปรายงานท่านอ๋อง” แล้วเร่งรีบเดินเข
หลิวกงกงนั้นพอเห็นสภาพบาดเจ็บของหลี่ชิง และความโกรธของไท่ชินอ๋อง ก็จะเข้าไปอุ้มร่างบอบบางขึ้นจากพื้น เพื่อพาไปรักษาตัวที่เรือนเล็ก แต่ไท่ชินอ๋องรีบห้ามว่า "อย่าแตะต้องเขา" หลิวกงกงชะงักมือ ถามว่า "จะให้สาวใช้มาประคองคุณชายหรือขอรับ?" "ยามนี้ห้ามผู้ใดแตะต้องเขาทั้งสิ้น นอกจากท่านหมอ" หลิวกงกงจึงรีบสั่งคนไปตามท่านหมอประจำจวนมาโดยด่วน เพียงไม่นาน…ท่านหมอก็มาถึง และตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลี่ชิงโดยละเอียด แล้วสีหน้าของท่านหมอก็เคร่งเครียด “ท่านอ๋อง…คุณชายหลี่กระดูกสันหลังร้าวขอรับ ถ้าดูแลรักษาไม่ถูกวิธี คุณชายจะพิการไปตลอดชีวิต…ครั้งนี้นับว่าโชคยังดีที่ไม่มีผู้ใดแตะต้องหรือขยับเขยื้อนตัวของคุณชาย มิเช่นนั้นแล้วข้าน้อยก็จนปัญญาจะรักษาขอรับ” “อืม” ไท่ชินอ๋องรับคำในลำคอ...ในตอนแรกที่เขาเห็นสภาพเด็กหนุ่ม ก็คาดคะเนได้ลางๆ ว่าอาจจะถูกโบยจนบาดเจ็บถึงกระดูก จึงสั่งห้ามขยับเขยื้อนร่างบอบบาง แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้ ไท่ชินอ๋องปรายตามองพระชายาที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม แล้วออกคำสั่ง “ฟางหมิงซิน” “เจ้าคะ” พระชายาขานรับ คิดว่าคงจะได้รับการอภัย แต
หลังอาหารเย็น…หลิวกงกงก็พาอาเฟยมาพบหลี่ชิงตามที่หลี่ชิงต้องการอาเฟยได้รับการทำแผลที่หน้าผากมีผ้าพันปิดแผลเอาไว้เรียบร้อยแล้วและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน…พอเห็นคุณชายของตนนอนคว่ำอยู่บนเตียงก็จะถลาเข้าไปหาทันที “คุณชาย…” ทว่าถูกหลิวกงกงดึงตัวเอาไว้เสียก่อน “อาเฟย…แตะต้องตัวคุณชายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะว่าคุณชายบาดเจ็บอยู่ เจ้าอาจจะทำให้คุณชายบาดเจ็บมากขึ้นกว่าเก่าได้” อาเฟยชะงัก แล้วจึงเห็นไท่ชินอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ข้างเตียงนอน…ก็เลยรีบหมอบลงคำนับ “น้อมคารวะท่านอ๋องขอรับ” “อืม” ไท่ชินอ๋องรับคำ “ขอบใจเจ้ามาก…อาเฟย…ที่รีบมาส่งข่าวชิงชิงให้ข้ารู้ทันเวลา” แล้วหันไปสั่งหลิวกงกง “หลิวยี่…เบิกเงินจากพ่อบ้านเจาหนึ่งพันตำลึงทองมอบให้อาเฟยเป็นรางวัล” “พะ พันตำลึงทอง” อาเฟยตื่นเต้นจนตะกุกตะกัก “ช่างมากมาย…มากมายเหลือเกิน” แล้วบอกกับหลี่ชิงอย่างดีใจจนลืมตัวว่า “คุณชาย …บ่าวมีเงินให้คุณชายขอยืมแล้ว” “หือ?” ไท่ชินอ๋องเลิกหัวคิ้วเข้มขึ้น “ชิงชิงขอยืมเงินเจ้าไปเมื่อไหร่ เอาไปทำอะไร จงบอกข้ามาให้หมด” “เอ้อ…อ้า…” อาเฟยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เรื่องที่ตน
“ท่านย่า…” ฟูเหรินใหญ่เรียกแม่สามี (ธรรมเนียมจีน…ลูกสะใภ้จะเรียกแม่สามีว่าท่านย่า ตามอย่างที่ลูกๆ ของตนเองเรียก) แล้วชิงฟ้องว่า “ข้าถูกท่านพี่ตบตี ชีวิตข้าช่างระทมขมขื่นนัก” “อาไฉ…เจ้าตีอาเหลียนด้วยเรื่องอันใด? ทำไมมีอะไรไม่ค่อยพูดค่อยจากัน?” ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยเหมือนตำหนิบุตรชายของตนเองกลายๆ แต่น้ำเสียงไม่ได้จริงจังนัก “ท่านแม่…นั่งลงก่อน” อำมาตย์หลี่เข้าไปช่วยประคองมารดามานั่งที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา แล้วไล่สองสาวใช้ออกไปจากห้องโถงใหญ่แห่งนั้น “มีอะไรหรืออาไฉ? ทำไมเจ้าท่าทางเคร่งเครียดอย่างนี้?” คนเป็นมารดาถามอำมาตย์หลี่ หลี่ไฉถอนหายใจเฮือก “ท่านแม่…คราวนี้ครอบครัวของพวกเราจะอยู่หรือจะตายล้วนขึ้นอยู่กับซูไห่ถังเพียงผู้เดียว” “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?” ฟูเหรินผู้เฒ่าถาม“เช้านี้ในที่ประชุมขุนนาง…ไท่ชินอ๋องประกาศแต่งตั้งอาชิงขึ้นเป็นกุ้ยหวางเฟย” “หา…” ฟูเหรินผู้เฒ่าอุทาน “เมื่อวานมิใช่แต่งตั้งเป็นพระชายารองแล้วหรอกหรือ?” “ใช่ขอรับท่านแม่” อำมาตย์หลี่รับคำ “วันนี้กลับเลื่อนยศขึ้นเป็นกุ้ยหวางเฟย” สีหน้าฟูเหรินผู้เฒ่าก็เปลี่ยนเป็นไม่ดีนัก ก่อนจะถามว่า “ม
"ดังนั้น...ข้ามีทางเลือกสามทาง คือ...หนึ่ง ปฏิเสธองค์ชายสาม สองรับองค์ชายสามเอาไว้ แล้วจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากันอีกที อาจจะนำไปขังไว้ในคุก หรือกักบริเวณไว้ที่เรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "แต่ข้าเลือกวิธีที่สาม ส่งเขากลับไปเป็นหอกทิ่มแทงองค์ชายใหญ่หลี่เผิง และใช้โอกาสนี้กวาดล้างตระกูลเฉาที่หนีเล็ดลอดไปภักดีต่อซีเป่ยด้วย" "ท่านอ๋องมั่นใจหรือว่าองค์ชายสามอ้ายหยางจะกลับซีเป่ยไปกำจัดเฉาฮั่น?" หลี่ชิงถาม "ยิ่งกว่ามั่นใจเสียอีก...เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว เฉาฮั่นสนับสนุนองค์ชายใหญ่ ช่วยวางแผนการกำจัดองค์ชายสาม เมื่อองค์ชายสามสามารถกลับไปยังซีเป่ย ก็ต้องจัดการกับเฉาฮั่นและครอบครัวเป็นอันดับแรก" หลี่ชิงพยักหน้าเห็นด้วย "แต่นั่น...องค์ชายสามจะต้องกลับให้ถึงเมืองหลวงของแคว้นซีเป่ยเสียก่อน" "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าองค์ชายสามอาจจะกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของแคว้นตนเองหรือ?" หลี่ชิงเอ่ยถาม ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงร่างบอบบางไปกอดเอาไว้ แล้วย้อนถามว่า "ถ้าเจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าจะทำอย่างไร หากคนของตนในคณะทูตส่งข่าวว่า องค์ชายสามกำลังจ
องค์ชายสามอ้ายหยางหน้าเปลี่ยนสี"พระบิดาและพี่ชายของเจ้ามั่นใจมากหรือว่าเจ้าจะครอบครองหนานหยางได้สำเร็จ?" ไท่ชินอ๋องกล่าวชัดถ้อยชัดคำ "ท่านอ๋อง...ท่านกล่าวอันใด ข้าน้อยมิรู้เรื่อง" องค์ชายสามอ้ายหยางยังพยายามจะปฏิเสธ "องค์ชาย..." ไท่ชินอ๋องเรียกเสียงหนักๆ "มีสารลับจากซีเป่ยถึงข้า บอกว่า...กวางตัวงามมาถึงปาก เคี้ยวเล่นสักเดือนสองเดือนแล้วฆ่าทิ้ง ก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไร....เจ้าลองคิดดู ถ้าข้ารับเจ้าเป็นพระชายา เล่นสนุกสักเดือนสองเดือน แล้วประกาศว่าเจ้าป่วยตาย...พระบิดาและพี่ชายของเจ้าจะยกทัพมาแก้แค้นให้เจ้าหรือไม่?" องค์ชายสามอ้ายหยางขบริมฝีปากจนเลือดซิบ "การตายของเจ้า...พระบิดาของเจ้าอาจจะเสียใจอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่มากพอที่จะยกทัพมาล้างแค้นให้กับเจ้า...ส่วนพี่ชายของเจ้านั้น เขาคงโล่งใจจนอยากจะหัวเราะเสียงดังๆ เสียด้วยซ้ำ" "ความหมายของท่านอ๋องคือ...?" องค์ชายสามอ้ายหยางเอ่ยถามเสียงเบา "อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า อย่าตะเกียกตะกายให้ลำบากเลย...ส่วนอะไรที่สมควรเป็นของเจ้า ไยจึงไม่ไขว่คว้า...เจ้าทิ้งซีเป่ยมาคว้าหนานหยางมิเป็นการทิ้งของในกำมือไปไขว่คว้าเงาหรอกหรื
เช้าวันรุ่งขึ้น...คณะทูตเข้าพบไท่ชินอ๋องที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ท่านทูตน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างแคว้นซีเป่ยกับแคว้นหนานหยาง...ทางซีเป่ยจึงขอมอบองค์ชายสามอ้ายหยางให้เป็นพระชายาของไท่ชินอ๋อง หวังว่าไท่ชินอ๋องและไท่หวางเฟยจะยินดีต้อนรับองค์ชายแห่งซีเป่ยขอรับ" หลี่ชิงนึกไม่ถึงว่า...อีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ พอชิงตำแหน่งไท่หวางเฟยไม่ได้ ก็ยอมเป็นน้อยเพื่อเข้ามาอยู่วงใน...เจตนาไม่ดีชัดๆ แต่เขาอยู่ในฐานะที่พูดอะไรก็มีแต่เสีย...เพราะทุกคนจะลงความเห็นเป็นว่า เขาใจแคบหึงหวง ไม่สมกับเป็นไท่หวางเฟย! ทว่าเขามั่นใจว่า...ไท่ชินอ๋องก็ต้องดูออกเช่นกัน ...จึงลอบชำเลืองมองผู้เป็นสามี ไท่ชินอ๋องมีสีหน้ายิ้มแย้ม ตอบว่า"เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด...เพียงแต่ข้าต้องการจะสนทนากับองค์ชายสามอ้ายหยางตามลำพังสักครู่หนึ่ง ขอให้ทุกท่านรออยู่ที่นี้" ว่าแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเดินมาจูงมือหลี่ชิงไปด้วย ทั้งสามเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว "ไท่ชินอ๋องมิใช่ว่าจะสนทนากับข้าน้อยตามลำพังหรอกหรือ?" องค์ชายสามอ้ายหยางกล่าวถาม พลาง
หลังจากองค์ชายสามอ้ายหยางกับท่านทูตจากแคว้นซีเป่ยแยกไปแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็พาทุกคนกลับพระราชวังแล้วไท่ชินอ๋องได้พาหลี่ชิงไปยังห้องทำงานสำคัญที่แยกต่างหากจากห้องทำงานที่ใช้พิจารณาฎีกา ห้องนี้หลี่ชิงเพิ่งจะได้เข้ามาเป็นครั้งแรก อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ห้องตกแต่งเรียบหรูด้วยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่หลังโต๊ะ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นั่งของไท่ชินอ๋องพอหลี่ชิงถูกจูงมือเข้ามาด้วย...ราชองครักษ์ก็จัดแจงยกเก้าอี้ที่มีพนักและเท้าแขนมาตั้งข้างๆ เก้าอี้ของไท่ชินอ๋องให้หลี่ชิงนั่ง และยกอีกตัวมาให้อ๋องสี่นั่ง เมื่อทั้งสามคนสำคัญนั่งลงเรียบร้อย...หวังกงกงก็ประสานมือน้อมคำนับ "คารวะไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟย และท่านอ๋องสี่" "ไม่ต้องมากพิธี" ไท่ชินอ๋องเอ่ย "หวังเสียงได้ความว่าอย่างไร เล่ามาซิ" "ขอรับ" หวังกงกงรับคำ แล้วรายงานว่า "เรื่องที่องค์ชายสามอ้ายหยางมาที่แคว้นหนานหยางมีเบื้องหลังเกิดจากคนขายชาติขอรับ คนผู้นั้นก็คือเฉาฮั่นน้องชายของเฉาฮั่ว และเป็นอาของเฉาฉุน...เฉาฮั่นพาครอบครัวตระกูลเฉาที่เหลือไปอยู่ที่ซีเป่ย เขามีสหายอยู่ที่นั่น สหายของเขาเป็นขุนนางยศสูงพอส
หลังจากกินอาหารเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็เอ่ยชวนหลี่ชิงว่า "ชิงชิง...เดี๋ยวพวกเราไปเดินเที่ยวเล่นชมตลาดกันดีกว่า" "ขอรับ" หลี่ชิงรับคำเบาๆ "เชิญองค์ชายสามและท่านทูตด้วย" ไท่ชินอ๋องออกปากชวนผู้เป็นแขกบ้านแขกเมือง องค์ชายสามอ้ายหยางเริ่มไม่ค่อยไว้วางใจในตัวไท่ชินอ๋องนัก ว่าจะเล่นงานอะไรเขาอีก จึงปฏิเสธว่า "ข้าน้อยมิชอบผู้คนเบียดเสียด ขอตัวกลับที่พักก่อนขอรับ" "เจ้ามิใช่บอกว่าชอบศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมของหนานหยางหรอกหรือ?" ไท่ชินอ๋องกล่าว "ข้าจึงใคร่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านพาเจ้าและท่านทูตชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวเมืองของหนานหยางที่แท้จริง มิใช่อ่านเพียงในตำหรับตำรา" ทำให้องค์ชายสามอ้ายหยางไม่อาจหลีกเลี่ยง "เช่นนั้น...ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" "มิใช่คำสั่งแต่เป็นคำเชิญ" ไท่ชินอ๋องแก้ แล้วจูงมือหลี่ชิงเดินออกจากเหลาสุราไปยังจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งคึกคักด้วยผู้คนและร้านรวงตลอดจนแผงค้าขาย โดยมีท่านทูต และองค์ชายสามจากซีเป่ย อ๋องสี่และพระชายาอาเฟย ติดตามมาด้วย ราชองครักษ์และทหารรักษาความปลอดภัยปะปนอยู่ในฝูงชน โดยไม่ได้ขับไล่หรือรบกวนกิจกรรมของชาวบ้านแต่อย่างไร เพร
องค์ชายสามอ้ายหยางรู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง...ให้เขาแข่งม้ากับเด็กจูงม้านะหรือ? ชนะก็ไม่ได้เกียรติอันใด แต่ถ้าแพ้จะต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น...เขาไม่มีวันแข่งขันกันคนชั้นต่ำแบบนั้นหรอก! จึงลงจากม้าแล้วเดินเข้าไปยังพลับพลา ค้อมศีรษะให้แก่ไท่ชินอ๋อง "น้อมเรียนไท่ชินอ๋อง หากไท่หวางเฟยหลี่ชิงไม่สะดวกที่จะร่วมสนุกกับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่สนใจจะร่วมแข่งขันกับผู้อื่นขอรับ" "น่าเสียดาย มาถึงสนามม้าทั้งที ถ้ามิได้ดูการแข่งม้าก็เสียรสชาติยิ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าว และสั่งราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า "สั่งลงไป...ให้จัดเด็กฝึกหัดเลี้ยงม้า มาแข่งขันกันให้ชมดูหน่อย" "ขอรับ" ราชองครักษ์น้อมรับคำ แล้วไปปฏิบัติ ส่วนองค์ชายสามอ้ายหยางนั้นกลับไปนั่งที่ของตน ซึ่งอยู่ในพลับพลาเดียวกันไม่ห่างนักเพียงครู่เดียว...เด็กอายุสิบสองสิบสามจำนวนสิบห้าคนต่างขี่ม้าตัวใหญ่ให้เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มแสดงการขี่ม้าแบบต่างๆ อย่างโลดโผน "ชิงชิง...เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ มีผู้ใดบ้างที่ขี่ม้าด้อยกว่าองค์ชายสาม?" ไท่ชินอ๋องกระซิบถามหลี่ชิงที่เขาโอบกอดไม่ปล่อย "หากเ
พอเสียงปรบมือซาลง...องค์ชายสามอ้ายหยางก็ค้อมคำนับให้แก่ไท่ชินอ๋อง แล้วกล่าว "ข้าน้อยด้อยฝีมือทางอักษรศาสตร์ ทำขายหน้าต่อหน้าไท่ชินอ๋องแล้ว" พระชายาอาเฟยได้ยินได้แต่ขบฟัน...เจ้าเสมอกับเกอเกอของข้า เจ้าบอกว่าขายหน้า อย่างนี้ก็หมายความว่า เกอเกอของข้าก็ต้องขายหน้าด้วยนะสิ...ข้าโมโหยิ่งนัก อยากเอาฝุ่นสกปรกริมทางเดินมาใส่ในน้ำชาให้เจ้ากินยิ่งนัก! "อาเฟย...สายตาประสงค์ร้ายของเจ้าโจ่งแจ้งมากเกินไป" อ๋องสี่กระซิบบอกพระชายาของตน "เก็บอาการหน่อย" "ช่างข้า" พระชายาอาเฟยเสียงสะบัด "ไม่สนับสนุนข้าก็เฉยไปเลย ไม่ต้องมาซ้ำเติมข้า... จะอย่างไร องค์ชายเทียนเป่าก็เข้าใจข้ามากที่สุด" ก็เจ้าทั้งสองคนมันเด็กเมื่อวานซืนเหมือนกันนี่...อ๋องสี่คิดในใจ องค์ชายสามอ้ายหยางคลี่ยิ้มเย้ายวนใจแล้วกล่าวต่อ "แต่ข้าน้อยยังใคร่ขอโอกาสขอการชี้แนะทางดนตรีจากไท่หวางเฟยหลี่ชิงสักครั้ง" แล้วหันไปทางไท่หวางเฟยหลี่ชิงพลางค้อมศีรษะให้ "หวังว่าไท่หวางเฟยจะไม่ปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยนี้นะขอรับ" "ชิงชิง...ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ" ไท่ชินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ทว่าหนักแน่นหลี่ชิงมอง
องค์ชายสามอ้ายหยางเม้มปากนิดหนึ่ง แล้วหันมายิ้มให้แก่ไท่หวางเฟยหลี่ชิงอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "ข้าได้ยินกิตติศัพท์อันโด่งดังของไท่หวางเฟยหลี่ชิงว่า...มีความสามารถจนได้รับการยกเว้นจากกฎมนเทียรบาลที่ห้ามมิให้ฝ่ายในเกี่ยวข้องกับราชกิจ ไท่หวางเฟยจึงสามารถช่วยไท่ชินอ๋องอ่านฎีกาได้ ความรู้ความสามารถของไท่หวางเฟยย่อมต้องมีมากล้น ข้าขอบังอาจขอศึกษาจากท่านสักเล็กน้อย เพราะข้านั้นมีความรักในภาษาและวัฒนธรรมของหนานหยางยิ่งนัก หากได้รับการชี้แนะจากไท่หวางเฟยบ้าง นับว่าเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก""องค์ชายกล่าวยกย่องเกินไป" หลี่ชิงได้แต่ตอบตามแบบแผน เพราะอีกฝ่ายไล่ต้อนด้วยคำพูดที่ฟังดูอ่อนหวาน ทว่าเคลือบอาบด้วยยาพิษ "ความรู้ของข้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น""ข้าเองก็มีความรู้เพียงหางอึ่ง...แต่ใคร่ขอแลกเปลี่ยนความรู้กับท่าน หวังว่าท่านจะให้เกียรติ" องค์ชายสามอ้ายหยางยังคงยืนกราน"เช่นนั้น...นับถือมิสู้ทำตาม" หลี่ชิงจำต้องรับปากในที่สุดเจ้ากรมพิธีการเห็นไท่ชินอ๋องมิได้คัดค้านอันใด ก็สั่งให้ยกโต๊ะเก้าอี้และกระดาษพร้อมเครื่องเขียนมาให้ไท่หวางเฟยหลี่ชิงกับองค์ชายสามอ้ายหยางคนละชุดอาเฟยเอียงต
ที่ท้องพระโรง...ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟยหลี่ชิง มหาเสนาบดีอ๋องสี่ และพระชายาอาเฟย ล้วนนั่งประจำตำแหน่งเพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย เพียงแต่ฮ่องเต้น้อยมิได้เสด็จเนื่องเพราะเมื่อวานอากาศร้อน ฮ่องเต้น้อยจึงทรงเล่นน้ำนานไปหน่อย เมื่อเช้าก็เลยพระวรกายร้อน มีไข้เล็กน้อยไท่ชินอ๋องสั่งให้หมอหลวงมาดูพระอาการ แล้วให้หลานกงกงดูแลฮ่องเต้น้อยพักผ่อน และสั่งเด็ดขาด...ห้ามซนเล่นน้ำอย่างเมื่อวานอีก!ดังนั้น...ฮ่องเต้น้อยจึงมิได้ออกนั่งบัลลังก์ว่าราชการคณะทูตแคว้นซีเป่ยนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่แคว้นหนานหยางตามธรรมเนียม เพราะเมื่อเจ็ดปีก่อนไท่ชินอ๋องได้กรีฑาทัพไปปราบแคว้นซีเป่ย และปราบสำเร็จเมื่อสี่ปีที่แล้ว นับจากนั้นแคว้นซีเป่ยก็ส่งบรรณาการมาให้แก่แคว้นหนานหยางเป็นประจำทุกปีแต่ปีนี้พิเศษ...เพราะคณะทูตที่คุมเครื่องบรรณาการมาด้วยเป็นคณะใหญ่เต็มยศ"ข้าในนามของแคว้นหนานหยางยินดีต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย" ไท่ชินอ๋องกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ"พวกข้าน้อยในนามของคณะทูตจากแคว้นซีเป่ยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง" หัวหน้าคณะทูตน้อมคำนับพลางกล่าว "ปีนี้นอกจากของบรรณาการตามธรรมเนี