"ฮึ" ฮองเฮาแค่นเสียงเย็นชา "ไม่ว่าคำพูดของนางจะเป็นความจริงหรือไม่ องค์รัชทายาทก็สิ้นพระชนม์ต่อหน้านาง นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ ข้าทนมองนางไม่ได้" ก่อนหน้านี้ฮองเฮายังคิดจะให้เจียงซุ่ยฮวนช่วยกำจัดรอยย่นบนพระพักตร์ แต่นับแต่ทรงทราบว่าองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ต่อหน้านาง พระทัยก็เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อเจียงซุ่ยฮวน อวดอ้างว่าวิทยายุทธ์ทางการแพทย์สูงส่ง แต่กลับช่วยองค์รัชทายาทไม่ได้! สีพระพักตร์ของฮองเฮายิ่งดูมืดครึ้ม พระเนตรวาบขึ้นด้วยแววอาฆาต ตรัสกับจื่อหยิง "องค์รัชทายาทสิ้นแล้ว นางก็อย่าหวังจะอยู่สบาย ยาหอมกระตุ้นราคะที่ข้าให้เจ้าเตรียมไว้ยังมีอยู่หรือไม่?"ก่อนหน้านี้เพื่อกำจัดบรรดาพระสนมที่ได้รับความโปรดปราน พระองค์รับสั่งให้จื่อหยิงเตรียมยาหอมกระตุ้นราคะไว้มาก ใส่ลงในอาหารของพระสนมเหล่านั้น หลังจากพวกนางกินเข้าไป ก็ส่งชายคนใดคนหนึ่งเข้าไปในห้อง ด้วยวิธีนี้ พระสนมที่ได้รับความโปรดปรานเหล่านั้นก็ถูกขังในวังเย็นด้วยข้อหามีชู้ จื่อหยิงมองไปที่นอกประตู กระซิบเบา ๆ "ทูลฮองเฮา ยังเหลืออยู่สองห่อเพคะ" "เอาไปใช้กับเจียงซุ่ยฮวนให้หมด" ฮองเฮาหลับพระเนตร "ข้าจำได้ว่าในคฤหาสน์
เจียงซุ่ยฮวนเบะปาก "ก็แค่ลืมเอาของกินมาให้ท่าน จะโกรธถึงเพียงนี้เชียวหรือ" "อาจารย์ผิดหวัง เจ้ารู้ดีว่าอาจารย์อยู่ที่นี่ไม่มีใครเห็นค่า แต่กลับไม่คิดจะช่วยให้ชีวิตอาจารย์ดีขึ้น" ฉู่เฉินกุมอก ทำหน้าเจ็บปวดรวดร้าว "เมื่อครู่ข้าได้พบหลวงพ่อฮุ่ยทง ข้าถามท่านเรื่องของท่านอาจารย์ ท่านพูดเพียงประโยคเดียว" เจียงซุ่ยฮวนก้มมองถ้วยชาตรงหน้า น้ำชาในถ้วยเต็มจนเกือบล้น ฉู่เฉินชะงัก "หลวงพ่อฮุ่ยทง คือเจ้าอาวาสที่เก่งกาจที่สุดในต้าเหยียนตามตำนานหรือ?" "อืม" "ท่านพูดว่าอย่างไร?" ฉู่เฉินถามอย่างร้อนรน "โถ ท่านอาจารย์ ชาเต็มถ้วยแปลว่าไล่แขก ข้าขอตัวกลับก่อนดีกว่า" เจียงซุ่ยฮวนยันแขนลุกขึ้น "ข้ารีบร้อนมาที่นี่ อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง ไม่คิดว่าท่านจะสนใจแต่ของกิน" ฉู่เฉินเอื้อมมือหยิบถ้วยชาหน้าเจียงซุ่ยฮวน สาดน้ำชาไปด้านหลัง น้ำในถ้วยกระจายเต็มพื้น "ไม่ต้องสนใจชา หลวงพ่อฮุ่ยทงพูดว่าอะไร?" เจียงซุ่ยฮวนพิงเก้าอี้นั่งลง "หลวงพ่อฮุ่ยทงกล่าวว่า ใต้พำนักยาวนาน เหนือปลอดภัย อย่าเดินทางไปทางตะวันตก" "หา?" ฉู่เฉินงงงวย "ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร? ทางลงเขาก็อยู่ทางตะวันตก ไม่ให้ข้าไปทางตะวั
"ทำไมถึงไม่ไปเข้าร่างองค์ชายซักองค์นะ ทำไมต้องมาอยู่ในร่างของฉู่เฉินด้วยก็ไม่รู้" เจียงซุ่ยฮวนพูดจบก็ส่ายหน้า พึมพำ "ไม่ใช่สิ อยู่ในร่างองค์ชายแปดก็ไม่ดีเหมือนกัน" "ทำไมองค์ชายแปดถึงไม่ดีล่ะ?" ฉู่เฉินไม่เข้าใจความหมาย พูดอย่างมั่นใจ "องค์ชายแปดเป็นพระโอรสองค์เดียวของจีกุ้ยเฟย มีทั้งจีกุ้ยเฟยและฝ่าบาทคอยเอ็นดู อาจารย์อิจฉาจริง ๆ" เจียงซุ่ยฮวนลุกขึ้นเข้าไปกระซิบข้างหู "องค์ชายแปดเป็นของปลอม บุตรที่แท้จริงของจีกุ้ยเฟยคือเจียงเม่ยเอ๋อร์" เขาสูดลมหายใจเฮือก สำลักน้ำลายจนไอไม่หยุด "ดังนั้นการอยู่ในร่างองค์ชายแปดก็ไม่ดี หากฝ่าบาททรงล่วงรู้ นั่นคือต้องถูกประหารชีวิต" เจียงซุ่ยฮวนตบหลังเขาเบา ๆ เขาพูดอย่างโล่งอก "ดูเหมือนอาจารย์จะยังโชคดีอยู่" "ที่อาจารย์มีทัศนคติเช่นนี้ได้ ศิษย์รู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก" เจียงซุ่ยฮวนก้าวเท้าไปทางประตู "หม่อมฉันจะกลับไปให้คนเอาอาหารมาให้ท่าน" "ดีเลย เอาเนื้อมาเยอะ ๆ" ฉู่เฉินหัวเราะร่า "อาจารย์ต้องบำรุงร่างกายหน่อยแล้ว" หลังจากเจียงซุ่ยฮวนกลับมาที่เรือน ชุนเถาวิ่งมาต้อนรับ "อาจารย์กลับมาแล้ว บ่าวจัดอาหารไว้ในห้องแล้ว รออาจารย์กลับมากินเท่านั้นเจ้าค่
เจียงซุ่ยฮวนตอบ "พระองค์เรียกข้าไปถามไม่กี่คำถาม ไม่ได้ลำบากข้าแต่อย่างใด" คงเป็นเพราะมีกู้จิ่นอยู่ด้วย "ฮึ เจ้าช่างโชคร้ายจริง ๆ อะไร ๆ ก็มาลงที่เจ้าหมด" หมอหลวงเมิ่งถอนหายใจ เจียงซุ่ยฮวนมักมองอะไรในแง่ดีเสมอ จึงยิ้มพลางกล่าว "ไม่เป็นไร ศัตรูมา เราก็ต้านไว้ น้ำมา เราก็กั้นไว้" ในตอนนั้น นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามา ถามด้วยท่าทางยโส "หมอหลวงเจียงอยู่ที่นี่หรือไม่?" "อยู่นี่" เจียงซุ่ยฮวนมอง "ใครใช้เจ้ามา?" นางกำนัลตอบ "คุณหนูเมิ่ง หลานสาวของแม่ทัพเจิ้นหยวน" เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แม่ทัพเจิ้นหยวนมีหลานสาวสองคน เมิ่งเซียวแต่งงานไปแล้ว ดังนั้นที่นางพูดถึงคงเป็นเมิ่งชิง? แม้นางจะไม่ถูกกับเมิ่งชิง แต่นางเป็นหมอหลวงที่นี่ หากไม่ไป ฝ่าบาทคงต้องลงโทษแน่ นางบอกชุนเถา "ไปกันเถอะ ไปด้วยกัน"นางกำนัลกลอกตา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง นางจ้องเขม็ง "หากเมิ่งชิงไม่ให้ข้าพาคนไปด้วย ข้าก็จะไม่ไป" นางกำนัลที่คำพูดติดอยู่ที่คอแล้ว ต้องกลืนกลับไป "ได้ ตามข้ามาเถอะ" ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ชุนเถาก็อุ้มหีบยายืนอยู่หลังเจียงซุ่ยฮวนแล้ว เจียงซุ่ยฮวนเดินออกจากกระโจม หันไปมองก็เห็นฝูหลิงตามม
ชุนเถาเพิ่งเคยเห็นสีหน้าแบบนี้ของเจียงซุ่ยฮวนเป็นครั้งแรก นางรู้สึกใจหาย รีบพูดอย่างตื่นเต้น "รับมาจากมือนางกำนัลในโรงครัวหลวงเจ้าค่ะ" "นางกำนัลบอกว่าบ่าวไปเร็ว จึงให้ส่วนที่อร่อยที่สุดมาเป็นพิเศษ" นางเกาศีรษะ แล้วถาม "อาจารย์ เป็นอาหารที่ท่านไม่ชอบกินหรือเจ้าคะ? บ่าวจะไปเปลี่ยนให้ใหม่" "ไม่ต้องแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าเคร่งขรึม ผลักปิ่นโตไปตรงหน้านาง "เจ้าจมูกไว ลองดมดูว่าในอาหารมีกลิ่นอื่นปนอยู่หรือไม่" ชุนเถาก้มหน้าลง ใช้มือพัดเหนือปิ่นโตเบา ๆ แล้วสูดหายใจลึก "มีกลิ่นแปลก ๆ จาง ๆ แต่บ่าวไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไรเจ้าค่ะ" ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเย็นชา "ดมไม่ออกก็ถูกแล้ว" นางปิดฝาปิ่นโต น้ำเสียงราบเรียบจนฟังไม่ออกว่าพอใจหรือโกรธ "จำกลิ่นนี้ไว้ นี่คือยาหอมกระตุ้นราคะ" ชุนเถาอยู่ในวังมาหลายปี เคยได้ยินเรื่องยาหอมกระตุ้นราคะอยู่บ้าง แต่ไม่เคยเห็นของจริง เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตานางเบิกกว้างทันที ถามติดอ่าง "ใน...ในอาหารมียาหอมกระตุ้นราคะหรือเจ้าคะ?" ยาหอมกระตุ้นราคะเป็นยาต้องห้ามในวัง ด้วยความเกรงกลัว ชุนเถาจึงกระซิบเสียงเบาที่สุด กลัวว่าหมอหลวงคนอื่นในกระโจมจะได้ยิน "อืม และใส่ม
"เพี๊ยะ!" เสียงกังวานดังขึ้น แก้มของชุนเถาถูกตบจนเบี้ยว ใบหน้าครึ่งหนึ่งบวมขึ้นอย่างรวดเร็ว เมิ่งชิงสะบัดข้อมือ พูดอย่างดูถูก "แค่นางกำนัลเล็ก ๆ ยังกล้าเถียงข้า เขาว่ากันว่านายเป็นอย่างไร บ่าวก็เป็นเยี่ยงนั้น!" ชุนเถาสะอื้นด้วยความน้อยใจ กอดกล่องข้าวแน่น ค้อมตัวพูดเสียงสั่น "ขออภัยคุณหนูเมิ่ง" พูดจบนางพยายามเดินอ้อมเมิ่งชิงไป แต่เมิ่งชิงเห็นกล่องข้าวในอ้อมแขนนาง จึงรั้งตัวนางไว้แล้วเปิดฝากล่อง ในกล่องมีกับข้าวสามจานเนื้อสามจานผัก จัดวางสวยงามลงตัว เมิ่งชิงมองตาค้าง ก้มดูกล่องในมือตัวเองที่มีแค่เนื้อหนึ่งผักหนึ่ง ก็ยิ่งโกรธหนัก "นี่เป็นข้าวของใคร!" เมิ่งชิงถามเสียงเข้ม ชุนเถาตอบเสียงเบา "ของหมอหลวงเจียง นาง..." นางพูดยังไม่ทันจบ เมิ่งชิงก็แย่งกล่องในอ้อมแขนนางไป ยัดกล่องในมือตัวเองให้แทน "เจียงซุ่ยฮวนแค่หมอหลวงเล็ก ๆ ไม่คู่ควรกับอาหารพวกนี้ ข้าวนี้เป็นของข้าแล้ว!" "ไม่ได้นะ คุณหนูเมิ่ง ท่านกินข้าวนั้นไม่ได้!" ชุนเถาจำคำเจียงซุ่ยฮวนได้ ไม่กล้าบอกว่าในข้าวมียาปลุกกำหนัด แต่ก็ห้ามให้เมิ่งชิงเอาไป จึงยื่นมือไปแย่ง เมิ่งชิงตบหน้าชุนเถาอีกครั้ง "ไร้มารยาท! กล่องนี้มาอยู่ใน
เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้าพอใจ "อืม กลับมาเร็วหน่อยนะ" "ได้เจ้าค่ะ" ชุนเถารับคำ รีบวิ่งกลับคฤหาสน์ เจียงซุ่ยฮวนกลับเข้ากระโจม ในกระโจมมีหมอหลวงบางคนท่องตำรา บางคนพักกลางวัน บางคนออกไปหาสมุนไพร ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ตอนชุนเถากลับมา นางยังนั่งไม่ทันอุ่น ฝูหลิงก็ถือหม้อดินเข้ามา "ท่านหมอเจียง ยาที่ท่านให้ข้าต้มให้คุณหนูเมิ่ง ข้าต้มเสร็จแล้ว ใช้สมุนไพรที่ขมที่สุดทั้งหมด ท่านลองดมดู" นางไม่จำเป็นต้องดมเลย พอฝูหลิงเข้ามา กลิ่นยาขมก็ฟุ้งไปทั่วกระโจมปกติกลิ่นยามักจะหอมขม แต่ยาที่ฝูหลิงถือมามีแต่ความขม ทั้งยังมีกลิ่นคาวปะปน กลิ่นคาวผสมกับกลิ่นขมจนทุกคนในกระโจมต้องปิดจมูก หลายคนถึงกับเริ่มอาเจียน เจียงซุ่ยฮวนตอบสนองเร็ว พอฝูหลิงเข้ามาก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกทันที โชคดีที่ไม่อาเจียนออกมา หมอหลวงหยางเดินเข้ามา เห็นเขาใช้กระดาษอุดจมูก พูดเสียงอู้อี้ "ฝูหลิง เจ้าต้มยาพิษหรืออย่างไร?" ฝูหลิงส่ายหน้า "นี่เป็นยารักษาอาการเลือดลมติดขัดขอรับ" "แล้วทำไมถึงขมขนาดนี้?" หมอหลวงหยางเข้ามาดูใกล้ ๆ พอเข้าใกล้ กลิ่นขมของยาก็พุ่งเข้าสมองทันที จนเขาหน้ามืด ต้องนั่งพักสักพักใหญ่ถึงดีขึ้น เจียงซุ่ยฮวนยิ้
คนที่มาพยายามดิ้นรนสองสามที แต่ไม่สามารถหลุดพ้น จึงพึมพำเบา ๆ "มีเรื่องดี ๆ แบบนี้ด้วยหรือ?" พูดจบก็เข้าไปใกล้ ผ่านไปเกือบสองชั่วยาม นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติเมิ่งชิงค่อย ๆ เดินมาแต่ไกล พูดกับตัวเอง "ตั้งใจจะแอบงีบหน่อย ใครจะรู้ว่าหลับไปตั้งนาน ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยหาข้ออ้างไปว่า" นางกำนัลมาถึงหน้ากระโจมเมิ่งชิง กล่าวอย่างนอบน้อม "คุณหนูเมิ่ง บ่าวรู้ว่าท่านไม่สบาย เมื่อครู่เลยไปหาหลิงจือแถว ๆ นี้" นางล้วงเห็ดซงหรงจากแขนเสื้อ เป็นเห็ดที่เก็บมาจากมูลวัวในป่าข้าง ๆ "แม้บ่าวจะไม่พบหลิงจือ แต่พบเห็ดซงหรง เอาไว้ต้มซุปไก่จะอร่อยมากเจ้าค่ะ" "หรือจะให้บ่าวเอาไปต้มซุปที่อุทยานเลยดีไหมเจ้าคะ?" นางกำนัลรอครู่ใหญ่ ไม่ได้ยินเมิ่งชิงตอบ จึงสงสัย ค่อย ๆ เลิกม่านแอบมอง "คุณหนูเมิ่ง?" ภาพที่เห็นคือเมิ่งชิงบนเตียงในสภาพไม่มีอาภรณ์ปกคลุม และองค์ชายเจ็ดอยู่ในสภาพเดียวกัน เห็ดในมือนางกำนัลร่วงกระจาย นางกรีดร้องทรุดลงกับพื้น บนเตียง ฉู่เลี่ยนสะดุ้งเฮือก พลันได้สติ รีบลุกขึ้นสวมอาภรณ์ เมิ่งชิงยังอยู่ในภวังค์ไม่ได้สติ คว้าแขนฉู่เลี่ยนไว้ ฉู่เลี่ยนตบหน้านางเต็มแรง "โง่! เป็นเพราะเจ้ายั่วยวนข้า!"
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช