เจียงซุ่ยฮวนยกจอกสุราขึ้นพลางแย้มยิ้มบางเบา กล่าวว่า “ตลอดปีนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทุกท่านล้วนตรากตรำลำบากกันมามากนัก”“ขอให้ปีใหม่นี้ ทุกสิ่งสมปรารถนา มีความสุขและสุขภาพแข็งแรง! ดื่มหมดจอก!”ผู้คนรอบข้างต่างก็ยกจอกสุราขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เอ่ยอย่างเบิกบานว่า “หมดจอก!”เสี่ยวถังหยวนที่นอนอยู่ในเปล เมื่อเห็นท่าทางของทุกคน ก็เลียนแบบด้วยความน่ารัก คว้ากระดิ่งยกขึ้นมาทุกคนหัวเราะชอบใจ เจียงซุ่ยฮวนยื่นจอกสุราไปแตะเบา ๆ กับกระดิ่งในมือเสี่ยวถังหยวน“เสี่ยวถังหยวนต้องเติบโตอย่างราบรื่น กลายเป็นบุรุษผู้ประเสริฐในภายหน้า”นางเอ่ยคำอวยพรอย่างแผ่วเบา เสี่ยวถังหยวนหัวเราะคิกคัก สั่นกระดิ่งในมือเบา ๆจากนั้น เจียงซุ่ยฮวนแจกซองแดงให้ทุกผู้คน “วันนี้เป็นคืนสิ้นปี หากกินข้าวเสร็จแล้ว ผู้ใดอยากอยู่เฝ้าปีใหม่ก็อยู่เฝ้าเถิด ผู้ใดอยากพักผ่อนก็ไปนอน”“พรุ่งนี้ข้าจะให้วันหยุดหนึ่งวัน ใครจะไปที่ใดหรือทำสิ่งใดก็แล้วแต่ใจ”หยิ่งเถาและหงหลัวกล่าวทันทีว่า “พวกเราจะไม่ไปที่ใด ขออยู่เคียงข้างคุณหนู”ส่วนผู้ติดตามทั้งสี่ไม่จำเป็นต้องเอ่ย เพราะหน้าที่คือคุ้มครองความปลอดภัยให้เจียงซุ่ยฮวน แม้มีวันหย
“ไม่ได้! อาจารย์ตัดใจจากมันไม่ได้เลย!” ฉู่เฉินโอบขาเตียงไว้แน่น “ข้ากับเตียงนี้ ชะรอยมีบุพเพสันนิวาสแต่ปางก่อน ยามแรกเห็นก็รู้สึกลุ่มหลงโดยมิต้องใช้เหตุผล”“……” เจียงซุ่ยฮวนคลายมือลง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ในเมื่ออาจารย์ชอบมันถึงเพียงนี้ ข้าก็มิขัดข้องหากจะจัดพิธีวิวาห์ให้เจ้าทั้งคู่”“เตียงนั้นยกให้ท่าน ส่วนเงินของขวัญวิวาห์ ข้าขอเก็บไว้เป็นของขวัญดีหรือไม่”ฉู่เฉินส่ายหน้า “มิได้ๆ ความชอบเป็นเรื่องหนึ่ง การแต่งงานเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมยังไม่รีบปล่อยมืออีก” เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วถามฉู่เฉินละมือทันใด “ก็ได้ ขนมันเข้าไปในห้องเถิด”เจียงซุ่ยฮวนส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ “อาจารย์ ห้องที่ถูกเพลิงผลาญก่อนหน้านั้น เดิมทีก็เป็นของท่าน”“บัดนี้ ข้ายกห้องนี้คืนให้ท่าน จนกว่าท่านจะออกจากเมืองหลวง”ฉู่เฉินเบิกตากว้าง “ห้องนี้เป็นห้องใหม่ เจ้าไม่อยู่เองหรือ”“เรื่องนั้นค่อยว่ากันภายหลัง ข้าพอใจห้องเดิม”“ขอบใจมาก เจ้าเก้า!” ฉู่เฉินดีใจยิ่งนัก กระโดดโลดเต้น กลับไปเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วราวสายลม แล้วขนเข้าห้องใหม่ในพริบตายวี่จี๋ก้าวออกมาอย่างลนลาน “คุณหนู ห้องยังมิท
แม้ว่าเจ้าเถี่ยหนิวจะเป็นใบ้ แต่โสตประสาทนั้นกลับไวเป็นพิเศษ เขาหันกลับมาอย่างงุนงง รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่ทันจางหายเจียงซุ่ยฮวนโบกมือเรียก “เจ้ามานี่สิ ข้าจะตรวจคอให้เจ้า”เถี่ยหนิวยืนนิ่งไปชั่วครู่ ราวกับถูกสะกดวิญญาณ“ปัดโธ่ เจ้ายังยืนตะลึงอยู่ไยเล่า!” เถี่ยจู้ร้อนใจถึงขั้นย่ำเท้า “เจ้านี่โชคดีนักที่ได้พบคนมีบุญคุณ ไยจึงยังไม่รีบมาอีก!”เถี่ยหนิวเพิ่งได้สติ จึงก้าวเท้าอันแข็งแรงเข้ามาหาเจียงซุ่ยฮวน แล้วรีบใช้มือแสดงภาษาท่าทางอย่างว่องไวเถี่ยจู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นแล้วถึงกับตาลาย รีบแปลความหมายว่า “ตอนเด็กเขาเคยป่วยหนักจนพิษไข้ทำลายเส้นเสียง ต่อมาแม้ว่าไปพบหมอมาหลายคน ก็ล้วนส่ายหน้าไม่อาจเยียวยาได้”เจียงซุ่ยฮวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หากเป็นมาแต่กำเนิดก็ยากจะรักษา แต่ของเจ้าเป็นเพราะโรคภัยทำลายลำคอ เช่นนี้น่าจะยังพอมีหวัง”“ก่อนอื่น อ้าปากกว้าง ๆ ให้ข้าดูหน่อย”เถี่ยหนิวเชื่อฟัง อ้าปากออก เจียงซุ่ยฮวนจึงสังเกตลำคอของเขา เมื่อดูแล้วก็มีความเข้าใจคร่าว ๆ ในใจเส้นเสียงของเขาถูกทำลายอย่างรุนแรง โชคยังดีที่มิได้เสียหายทั้งหมด ยังพอมีโอกาสฟื้นคืน“เจ้าพูดไม่ได้สักคำใช่หรือไ
“ข้าดื่มพอแล้ว ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” เจียงซุ่ยฮวนวางจอกน้ำชาในมือลง แล้วออกเดินไปข้างนอกนางเดินไปยังชายคา แหงนหน้าขึ้นทอดมองเบื้องบนแดดในวันนี้แจ่มใส ท้องฟ้าสีครามปราศจากกลุ่มเมฆ สายลมพัดแผ่วเบานอกกำแพงเรือนมีต้นหลิวต้นหนึ่ง กิ่งก้านของมันเอนไหวตามแรงลม แผ่พาดอยู่บนขอบกำแพงสองสามกิ่ง พลางมีหน่ออ่อนสีเขียวอ่อนผลิแทรกขึ้นมา“ฤดูใบไม้ผลิคงใกล้จะมาถึงแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจแผ่วเบา “วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน”ผ่านไปเพียงสองวัน นางก็คิดตกได้ไม่น้อยการจากกันในยามนี้ ก็เพื่อวันข้างหน้าจะได้อยู่ร่วมกับกู้จิ่นอย่างราบรื่นมิใช่หรือสายลมอ่อนพัดโบกต้องใบหน้า นางจึงค่อย ๆ หลับตาลง ซึมซับความรู้สึกของห้วงยามนี้อย่างเงียบงัน“คุณหนู ท่านทำสิ่งใดอยู่หรือ”เสียงของเถี่ยจู้ดังขึ้นข้างกาย เจียงซุ่ยฮวนลืมตาขึ้น รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า “มิได้มีสิ่งใด วันนี้อากาศดี ข้าเพียงมายืนเล่นสักครู่”นางหันศีรษะไปมองเขา “มีเรื่องใดหรือ”เถี่ยจู้หัวเราะแหะ ๆ “พวกข้าทำงานเสร็จสิ้นแล้ว ขอเชิญคุณหนูไปตรวจดูเถิด”ช่างฝีมือทั้งหลายนั้นมาทำงานอยู่ที่นี่หลายวัน ทุกวันมาตั้งแต่ฟ้ายั
ในห้วงแห่งคลื่นลมมรสุมครานี้ หาใช่เพียงแค่จีกุ้ยเฟยที่ถูกพัดพา หากแม้แต่ฝ่าบาทก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกันจีกุ้ยเฟยร่ำไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่รู้ใจหม่อมฉันที่สุด หม่อมฉันแม้แต่ยุงตัวหนึ่งยังมิกล้าฆ่า แล้วเหตุใดเลยจะกล้าปลงพระชนม์ฮองเฮา”ฝ่าบาทกุมสันจมูกด้วยความระอา เขามิได้ใส่ใจว่าจีกุ้ยเฟยจะลอบปลงพระชนม์ฮองเฮาหรือไม่ หากแต่กังวลเพียงว่าคำพูดของชาวราษฎร์จะกระทบต่อเกียรติยศหรือไม่เท่านั้นเขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “เราเชื่อเจ้า แต่หากเหล่าราษฎร์ไม่เชื่อ แล้วจะมีประโยชน์อันใด”จีกุ้ยเฟยแสดงสีหน้าเวทนาน่าเอ็นดู กล่าวเบา ๆ ว่า “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งใต้หล้า หากทรงกล่าวด้วยพระองค์เอง ประชาราษฎร์ย่อมต้องเชื่อเป็นแน่”“เช่นนั้นเจ้าลองบอกเราสิ ว่าควรอธิบายเรื่องการปกปิดข่าวการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาเยี่ยงไร” ฝ่าบาทย้อนถามจีกุ้ยเฟยขยับริมฝีปากเล็กน้อย ทว่าหาได้เอื้อนเอ่ยคำใดฝ่าบาทผลักนางออก พูดอย่างเหนื่อยอ่อนว่า “เจ้ากลับตำหนักไปก่อนเถิด เราเหนื่อยแล้ว”แววตาจีกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทผลักนางออก แสดงให้เห็นว่าเ
เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ท่านเห็นว่าข้าต้องการสิ่งใด ก็มอบสิ่งนั้นให้ข้า”“เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ...” ฉู่เฉินลูบคางอย่างครุ่นคิด อยู่ดีๆ ดวงตาก็สว่างวาบขึ้น “ข้ารู้แล้ว!”เขาท่าทางตื่นเต้นนัก รีบร้อนจะออกไป เจียงซุ่ยฮวนร้องเรียกไว้ว่า “อาจารย์ อย่าได้ทำท่าดีใจเกินไปนัก”“อ้อ จริงด้วย เกือบลืมไป” เขารีบเก็บรอยยิ้ม บีบน้ำตาสองหยด แล้วจึงก้าวออกไปช่วงหลายวันมานี้ ชาวบ้านยามว่างหลังมื้ออาหารล้วนกล่าวถึงเรื่องไฟไหม้ของจวนองค์ชายเป่ยโม่กันทั้งสิ้น“องค์ชายเป่ยโม่ยังหนุ่มยังแน่นและมีความสามารถ กลับต้องมาสิ้นเพราะไฟไหม้ น่าเสียดายยิ่งนัก”“น่าเสียดายอะไรกัน องค์ชายเป่ยโม่เย็นชาแข็งกระด้าง ใช้วิธีการโหดเหี้ยม ทำให้ผู้คนต่างครั่นคร้าม สมควรแล้วที่ต้องจบชีวิตลงเช่นนี้”“ถ้อยคำของท่านนั้นผิดไป องค์ชายเป่ยโม่แม้จะเย็นชา แต่ก็มิได้ร้ายต่อราษฎร”ที่โต๊ะหนึ่งในหอเยว่ฟางมีผู้คนถกเถียงกันเรื่ององค์ชายเป่ยโม่จนถึงกับแทบจะลงไม้ลงมือกันทีเดียวมีคนผู้หนึ่งเดินผ่าน พลางกล่าวขึ้นโดยมิได้ใส่ใจว่า “เรื่องขององค์ชายเป่ยโม่ กล่าวไปแล้วก็เป็นเรื่องของฟ้าลิขิต จะถกเถียงไปใย”“หากจะให้ข้ากล่าว