นิโคลัสเองก็ไม่ใช่คนที่พูดคุยเก่งนัก มีลอบมองชายหนุ่มข้างกายบ้าง เหม่อมองไปข้างหน้าก็มี น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรืออยากให้เวลาเดินเร็วแต่อย่างใด เขากลับอยากให้มันเชื่องช้าลงสักวินาทีก็ยังดี
จมูกที่ถูกวิวัฒนาการจนสามารถรับกลิ่นได้ดีสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ นอกจากกลิ่นหวานหอมของน้ำตาลแล้ว ยังมีอีกกลิ่นหนึ่งที่เขาเพิ่งสัมผัสได้หลังจากพบเจอกับอีกฝ่าย
กลิ่นป่าเขา…
อาจเป็นเพราะระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีแต่กลิ่นเหม็นของเนื้อเน่าลอยคละคลุ้งอยู่ทุกที่ ไหนจะการเอาตัวรอดของมนุษย์ที่ยังมีชีวิต การอาบน้ำที่เคยเป็นสิ่งจำเป็นในแต่ละวันจึงถูกลดทอนลงเพื่อประหยัดน้ำ บางคนเหม็นเปรี้ยวจนแทบไม่อยากเฉียดผ่าน
เป็นไปได้เขามักจะภาวนาขอให้มีภารกิจออกไปนอกเมืองมากกว่าอยู่ในค่าย ยังไม่อยากจมูกพังก่อนวัยอันควรหรอกนะ
และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสะดุดตาก็คือดวงตาสีแดงฉานคู่นั้นที่ราวกับอัญมณีเม็ดงาม
เขาตกหลุมรักเข้าอย่างจัง
สมัยไฮสกูลในประเทศ A เขาเคยมองพวกเพื่อนร่วมคลาสพูดถึงรักแรกพบกันอย่างโรแมนติก พร่ำเพ้อพรรณนาว่าแฟนสาวหรือแฟนหนุ่มที่ตนพบนั้นวิเศษมากเพียงใด จำได้ไม่ลืมด้วยว่าเขามองพวกมันด้วยสายตาเรียบเฉยเพียงใด
ไร้สาระ
นิโคลัสคิดอย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งได้สบกับนัยน์ตาสีทับทิมคู่นั้น
ตึกตัก
ทั้งกระจ่างใสและเปล่งประกาย
ยอมรับว่าความประทับใจแรกที่มีแต่เฉินเฟิงคือกลิ่นขุนเขาของเจ้าตัวและสภาพห่อศีรษะเป็นเกี๊ยวแทบไม่ให้ผิวเนื้อได้สัมผัสกับอากาศ
นอกจากนี้แม้ว่าจะผ่านช่วงเวลาเป็นตายก็ไม่เอาแต่ฟูมฟาย กลับสามารถตั้งสติแล้วยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาเคยปรามาสเพื่อนฝูงว่าเพ้อเจ้อสมัยอยู่ประเทศ A ได้ย้อนกลับมาหาตัวเสียแล้ว
“เอ่อ ตอนคุณเจอเหตุการณ์ซอมบี้ครั้งแรกเป็นยังไงเหรอ” พอใกล้เช้าเสียงซอมบี้ก็เริ่มลดน้อยลง เจ้ากระต่ายขาวจึงถือโอกาสชวนพ่อหมีตัวโตคุย หวังว่าบทสนทนาจะช่วยทำให้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง
“อยู่ ๆ รูมเมตที่อาศัยอยู่ในหอพักสำหรับทหารแลกเปลี่ยนก็กลายเป็นซอมบี้” นิโคลัสนึกถึงเพื่อนจากประเทศเดียวกัน ก่อนหน้าหนึ่งวันยังชวนเขาคุยวิดีโอคอลกับแฟนหนุ่ม รู้ว่ามันตั้งใจอวด ส่วนเขาก็ได้แต่ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่อย่างเคยชิน ใครเล่าจะรู้ว่าเช้าวันต่อมามันจะอ้าปากกว้างเตรียมงับเขาทันทีที่เขาออกมาจากห้องนอน
“เอ่อ เสียใจด้วยนะครับ” เฉินเฟิงคิดไปเองว่าคงเผลอไปสะกิดแผลใจอีกฝ่ายเข้า นั่นเพื่อนร่วมห้องเลยนี่นา
“ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก” เป็นหมอนั่นที่ชอบชวนเขาคุยมากกว่า เพราะมีแค่พวกเขาที่มาแลกเปลี่ยนสองคน ไปคุยกับกันอื่นก็ไม่มีใครคุยด้วย เว้นแต่คนที่สามารถพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา
“แล้วคุณหนีออกมาได้ยังไง” แพทย์หนุ่มไม่มีทางรู้แน่ว่าเจ้าของใบหูกระต่ายนั้นจินตนาการเหตุการณ์ระทึกขวัญไว้มากมายเพียงใดในสมองน้อย ๆ นั่น
เฉินเฟิงคิดถึงฉากภาพยนตร์แอ็กชันที่ตัวเอกต้องเสี่ยงเอาตัวรอดจากเพื่อนผู้เปลี่ยนเป็นซอมบี้ในชั่วข้ามคืน การต่อสู้กับจิตใจและการตัดสินใจครั้งสำคัญ!
“รูมเมตของผมชื่อแมท” นิโคลัสเริ่มเล่า
“...” เฉินเฟิงแทบกลั้นหายใจฟัง
“ผมเพิ่งรู้ว่าแมทแปลกไปก็ตอนที่เปิดประตูห้องนอนแล้วหมอนั่นก็พุ่งเข้ามาหาพร้อมกับอ้าปากออกกว้าง ดวงตาก็เป็นสีขาวขุ่น”
อื้อ ๆ … กระต่ายขาวพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตากลมโตสีแดงจ้องเขม็งไปยังแพทย์หนุ่ม
“...” นิโคลัสเม้มปาก เก้อกระดากเล็กน้อย เขาเริ่มรู้แล้วว่าคนตัวเล็กด้านข้างกำลังคาดหวังสิ่งใดอยู่
“แล้วยังไงต่อครับ” ชายหนุ่มเร่ง
“เอ่อ ผมก็ปิดประตูห้องนอนใส่หมอนั่น แล้วไม่นานก็มีประกาศภาวะฉุกเฉินและการให้ความช่วยเหลือจากทางค่ายฝึก”
“...” ชายหนุ่มที่เฝ้ารอเรื่องตื่นเต้น
“...” ชายหนุ่มผู้อยากสร้างความประทับใจ แต่ไม่รู้จะโกหกอย่างไร
“ไม่มีต่อจากนั้นแล้วเหรอครับ” เฉินเฟิงถามต่อ มันควรมีภาคต่อสิ
“ที่พักของผมเป็นแฟลตทหาร ไม่นานก็มีหน่วยพิเศษถูกจัดตั้งขึ้นมาเคลียร์พื้นที่” คุณหมอหูหมีพูดแค่นั้นก็เงียบไป ในวันนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ทีแรกนึกว่าเพื่อนแกล้งแต่งผีหลอกเขาเล่น แต่พอลองนิ่งฟังกลับได้ยินเสียงปืนและเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นโดยรอบ “เอ่อ แต่ตอนที่ผมออกจากห้องก็ได้ให้การร่วมมือทหารคนอื่นเข้าไปช่วยเหลือคนที่ติดค้างในลักษณะเดียวกับผมด้วย”
“ตอนแรกผมไม่แน่ใจนัก ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง” แพทย์หนุ่มหวนนึกถึงวินาทีที่ออกมาจากห้องนอนแล้วเห็นแมทนอนจมกองเลือดสีดำโดยมีรูประดับอยู่กลางหน้าผาก แค่นั้นเขาก็พอจะเดาเรื่องราวได้ราง ๆ “จนกระทั่งต้องเหนี่ยวไกยิงพวกเขา”
เฉินเฟิงมองท่าทีเหม่อลอยของพ่อหมีตัวใหญ่ก็พอคาดเดาความรู้สึกได้
เมื่อวานตอนที่เขาใช้ขวานสับคอพนักงานโรงงานคนนั้น ภายในจิตใจของเขาต่อต้านอย่างหนักราวกับว่าสำนึกผิดชอบชั่วดีที่ยึดถือมาโดยตลอดมันพังทลายลง
ร่างกายตอบสนองและป้องกันตน ส่วนสมองคัดค้านตัดสินว่าเป็นการกระทำต่ำช้า
แต่ถ้าไม่ทำก็... ตาย
หรือไม่ก็อาจได้เลื่อนตำแหน่ง ได้รับหมายเลขนัมเบอร์เหมือน W03 จากนั้นก็จะได้ติดตามนายท่านไปทุกหนทุกแห่ง…บึ้ม!!“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงระเบิดดังกึกก้อง ปลุกหัวหน้าเทวทูตที่กำลังเพ้อฝันถึงความเจริญก้าวหน้าในการงานให้หลุดจากภวังค์“พะ พวกมันทำลายโดรนเลเซอร์ครับ” ลูกน้องเร่งรายงาน แม้จะถูกทำลายไปเพียงตัวเดียว แต่แค่นั้นก็นับเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้แล้ว“ได้ยังไง! นายท่านทุ่มเทกับอาวุธชิ้นนี้มาก มันจะไปพังได้ยังไง!”“อยู่ๆ มันก็ขยับเข้าไปในทิศทางของเลเซอร์จากโดรนเครื่องอื่นครับ แล้วก็…” ตูม! ระเบิดเป็นจุณ...“อะไรกัน มีของเล่นน่าสนุกอยู่ด้วยนี่นา” ในขณะที่ทุกคนกำลังงงงวยกับอาวุธของศัตรูที่ถูกทำลาย กลับมีชายคนหนึ่งสวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้าเดินเข้ามาในวงต่อสู้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีเลยแม้แต่น้อย“หัวหน้า” แต่สมาชิกกองกำลังย่อมจดจำครูฝึกของตนเองได้ขึ้นใจ เพราะการฝึกฝนอันหนักหน่วงของหัวหน้า ต่อให้ไม่อยากจำแค่ไหนก็ยังสลักลึกในสมองอยู่ดี“สถานการณ์ไม่สู้ดีเลยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเย้าเหล่าลูกเจี๊ยบในสังกัด“ครับ โดรนนั่นค่อนข้างเร็ว พลังพิเศษที่พวกเรามีไล่ตามไม่ทันเลย” ส่วนมากในกองกำลั
ฟากคิวก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ชายหนุ่มพยายามสลัดพวกเทวทูตเก๊และหาทางไปให้ถึงตัวหัวหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่เหมือนพวกมันจะไม่ยอม ทั้งยังเข้ามาเพิ่มเรื่อย ๆจะขอให้คนอื่นช่วยก็ไม่ได้เพราะมีสภาพไม่ต่างกัน จากที่เคยสู้หนึ่งต่อหนึ่งหรือมากกว่านั้นนิดหน่อยก็ต้องรับศึกหลายด้าน พวกมันกรูกันเข้ามาไม่ให้พักหายใจหายคอเลย“จงสำนึกเสียใจเสียเถอะที่ทำให้ต้องหยิบอาวุธชิ้นนี้มาใช้” หัวหน้ากลุ่มเทวทูตมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาสีนิลมีประกายเยียบเย็นเวลานี้ปืนเลเซอร์ประจำตัวถูกปลดล็อกให้เข้าสู่โหมดต่อสู้เต็มกำลังแล้ว และมีเพียงมันเท่านั้นที่นายท่านยอมให้ใช้อาวุธชิ้นดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว“คำพูดโคตรเบียว” เกมเบะปาก “อย่างกับคัดลอกบทพูดตัวโกงในการ์ตูนช่อง X มาเลย”“เดี๋ยวเถอะ” กรอยากจะดีดปากเจ้าตัวแสบให้หายปากไว เห็นสีหน้าพวกมนุษย์นกไหม หน้าตาใกล้จะเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่แล้ว“…”“ผมคิดว่าพวกลูกน้องหมอนั่นก็ต้องคิดเหมือนกันแหละ ว่าคำพูดแบบนี้มีแต่เด็กที่อินกับการ์ตูนเท่านั้นแหละที่จะพูดออกมา” เกิดความเงียบเป็นวงกว้างโดยที่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว นอกจากฝั่งศัตรูที่มีสีหน้าเหมือนกลืนยาขม ก็มีเพื่อนร่วมทีมภายใน
…“เอ่อ พวกเขาเป็นใครกันเหรอครับ” ลูกน้องของเอเห็นว่าความสนใจของเทวทูตถูกหันเหไปยังกลุ่มคนปริศนาจนหมด พวกตนจึงหาที่ซ่อนตัวพร้อมกับชมการต่อสู้นี้ชนิดติดขอบเวที“นอกจากทหารทั่วไปกับทหารรับจ้างแล้ว ค่ายเรายังมีกองกำลังอีกหนึ่งกลุ่มที่ไม่ขึ้นตรงกับใครและได้รับการฝึกฝนจากคุณโจเซฟเป็นพิเศษ” เป็นแบบนี้ให้ปิดเป็นความลับต่อไปก็คงไม่ได้แล้ว“คนพวกนั้นจะถูกเรียกว่า ‘กองกำลังพิเศษ’ ถูกเตรียมการไว้เพื่อต่อกรกับองค์กร SW โดยเฉพาะ” เออธิบายสั้นๆ ใจความกระชับ พาให้สายตาลูกน้องในทีมหันไปมองยังกลุ่มคนที่มีไม่ถึงยี่สิบ แต่สามารถต่อกรกับเทวทูตและอาวุธทำลายล้างได้โดยที่ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสเลยอย่างมากก็มีแค่แผลถลอกพอเรียกให้เลือดซึมออกมาเล็กน้อย สำหรับทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ไม่นับว่าเป็นแผลได้ด้วยซ้ำ“โคตรเท่!” ทั้งวาดลวดลายอยู่บนอากาศหรือต่อสู้อยู่บนหลังคาสูง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่มีอาการเหนื่อยหอบให้เห็นเลยสักนิดเดียว คนพวกนี้ทำได้ยังไงกันแถมยังกำจัดเทวทูตปลอมๆ พวกนั้นไปได้เกือบครึ่งแล้วด้วย!…“ชิ ฉันจะเปลี่ยนอาวุธ พวกแกมาจัดการหมอนี่ที” หัวหน้าเทวทูตที่สู้ติดพันอยู่กับคิวกระพือปีกบินขึ้นสูงพลาง
“!!!”ลูกน้องของเอที่กำลังหัวเราะสะใจกันอย่างครึกครื้นหันซ้ายมองขวาหาต้นตอของเสียง เป็นเอที่รู้ตัวก่อนใคร เงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้ไม่ได้มีเพียงก้อนเมฆอีกต่อไป แต่ยังมีมนุษย์นกจำนวนมากกว่า 100 คนพร้อมด้วยอาวุธหน้าตาแปลกประหลาดในมือ“มาจนได้นะ พวกร่างโคลน” การโคลนนิ่งคนมาตัดต่อพันธุกรรมเข้ากับนกและเรียกมนุษย์กลุ่มนี้ว่าเทวทูตเป็นข้อมูลที่โจเซฟล้วงมาได้นานแล้ว หมาป่าหนุ่มจึงไม่ประหลาดใจนักยามเห็นคนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในกองกำลังสำคัญของเกรย์สัน“พวกเราคือกลุ่มที่นายท่านขนานนามให้ว่าเทวทูต จงดีใจเสียเถอะที่ได้ตายเร็วแบบไม่ทรมาน” หนึ่งในเทวทูตที่คาดว่าเป็นหัวหน้ายกอาวุธคล้ายปืนแต่มีรูปทรงและดีไซน์แปลกประหลาดประทับบนบ่า“เบียวฉิบหาย” ลูกน้องของเอแขวะ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าอาวุธหน้าตาประหลาดนั้นมีอานุภาพร้ายแรงเพียงใด“หลบเร็ว!” เอเห็นท่าไม่ดีรีบสั่งการให้ลูกน้องหนีออกจากดาดฟ้าที่ใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ ก่อนที่ในอีกกี่วินาทีต่อมาจะมีลำแสงพุ่งเข้าจู่โจมทำลายจุดที่พวกเขาเคยยืนอยู่เมื่อลมพัดเศษฝุ่นให้ปลิวไปตามสายลมก็เผยให้เห็นพื้นคอนกรีตที่ถูกอาวุธของศัตรูละลาย แม้แต่โครงเหล็กด้านในก็ยังไม่สามารถต้านท
“พวกมันเป็นยังไงบ้าง” เกรย์สันยกแก้วบรรจุไวน์องุ่นขาวเลิศรสขึ้น มือหนาแกว่งแก้วเบาๆ ก่อนจะจิบไปเพียงเล็กน้อย พอให้รสหวานหอมอบอวลอยู่ภายในโพรงปาก“มีประเทศ M, P, H, E และประเทศ Q ที่ต้านทานไม่ไหวครับ พวกที่เหลือรอดอยู่ก็หนีกระจัดกระจายไปซ่อนตัวตามเมืองร้างหรือหนีเข้าป่าแล้วครับ ส่วน 5 ประเทศพันธมิตรแถบภูมิภาคเอเชียยังคงต้านทานไว้ได้” มนุษย์นกอินทรีที่หายจากอาการบาดเจ็บแล้วกล่าวรายงาน“หึ เหนียวจริงนะ” เจอไปขนาดนั้นแล้วยังมีชีวิตรอดอยู่ได้อีก “แล้วพวกคนที่แข็งแกร่งของแต่ละประเทศล่ะ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”“ส่วนมากจะถูกเรียกตัวกลับไปประจำที่ค่ายหลักครับ ทางหน่วยสังเกตการณ์ยืนยันว่าเป็นตัวจริง” อย่างประเทศ T ก็มีหน่วยสอดแนมเห็นว่ากลุ่มของโจเซฟกำลังต่อสู้กับสัตว์กลายพันธุ์ในวันแรก ก่อนจะกลับเข้าไปพักในกำแพงแล้วให้ทีมอื่่นมารับหน้าที่ต่อ“ดี ในเมื่อไปรวมกันอยู่ในเมืองก็เข้าทางแผนของเรา” นักวิทยาศาสตร์หนุ่มกระดกไวน์ครั้งเดียวหมดแก้ว “ปล่อยทัพเสริมลงไป” พร้อมกับสั่งการด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย ราวกับได้เห็นพวกมดปลวกหมดอาลัยตายอยากจากการโจมตีในครั้งนี้“ให้ปล่อยที่ไหนบ้างครับ” จริงอยู่ว่ากองกำลังที่สร้
ดังนั้นก่อนพามาร่วมภารกิจด้วย คุณหมอหนุ่มทั้งเคี่ยวและเข็นสามเด็กแสบมาหนักมาก ทั้งยังมีบททดสอบสุดท้ายให้ได้ทำ หากไม่ผ่านต้องกลับไปอยู่กับเพื่อนที่ทำงานซัพพอร์ตอยู่ในหลุมหลบภัยแต่โดยดี“กลับมาแล้วคร้าบบ~” เด็กชายดลที่รู้ตัวเองดีว่าพลังใกล้จะหมดรีบกลับมายังฐานบัญชาการลับนอกค่าย ใบหน้าเล็กมีเหงื่อผุดซึมเป็นหย่อมๆ พร้อมกับอาการหอบเพราะออกซิเจนในอากาศมีน้อย“เตรียมกลับไปที่ฐานเลย แผนต่อไปจะเริ่มแล้ว” นิโคลัสสั่งเสียงขรึม ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “วันนี้ทำได้ดีมาก” เอ่ยชมเด็กแสบที่ตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่“พวกพี่ก็สู้ๆ นะครับ” เด็กชายดลแม้จะเหนื่อยหอบก็ยังชูกำปั้นส่งรอยยิ้มทะเล้นไปให้“อย่าแพ้เขานะคะ” พลอยใสให้กำลังใจอีกคน“ระวังพวกลิงไว้ด้วยนะครับ มันเจ้าเล่ห์กว่าเสือโคร่งอีก” และคำเตือนจากปอนด์เป็นคนสุดท้าย“ได้ พวกเราจะระวัง” เมื่อเป็นคำเตือนจากผู้มีพลังพิเศษมองเห็นนิมิตได้ ชายหนุ่มย่อมไม่มองข้าม ถ่ายทอดคำเตือนนี้ผ่านช่องทางสื่อสารให้กับทีมต่อไปทันที“กองกำลังพิเศษทีมที่หนึ่งออกปฏิบัติการได้ ฆ่าได้ฆ่าเลย” พร้อมกับเริ่มดำเนินแผนขั้นต่อไปกับกองทัพสัตว์กลายพันธุ์ที่ยังมีสติเหลืออยู่[ รับท