หลังจากที่ความรักอันเร่าร้อนได้ปลดปล่อยความปรารถนาที่เก็บซ่อนไว้ในหัวใจของทั้งคู่ มิเชลและแดนดินก็พากันไปชำระร่างกายด้วยกันภายใต้สายน้ำที่เย็นฉ่ำ ความใกล้ชิดยิ่งทำให้ความผูกพันของพวกเขาแน่นแฟ้นขึ้น เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินจูงมือกันออกมาจากห้องพักริมทะเล เพื่อร่วมกิจกรรมสุดท้ายของทริปในช่วงเช้า ก่อนที่จะต้องขึ้นเรือกลับสู่ความวุ่นวายของกรุงเทพฯ ในช่วงบ่าย
"วันนี้เราต้องกลับกรุงเทพฯ แล้วสินะ" แดนดินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย ดวงตาคมของเขามองไปยังคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างอาลัยอาวรณ์ มือที่กุมมือของมิเชลไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เดินตามหลังไกด์ที่กำลังนำทางไปยังจุดนัดพบ วันนี้ ไกด์นำคณะทัวร์มาเยี่ยมชมความงามของถ้ำหินปูนต่างๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ตามแนวชายฝั่งของเกาะ แต่ละถ้ำมีรูปร่างลักษณะและเรื่องราวที่แตกต่างกันไป บางถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงามตระการตา บางถ้ำเคยเป็นที่หลบภัยของโจรสลัดในอดีต บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงคลื่นที่กระทบโขดหินเป็นระยะ "อืม... ก็ทัวร์วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนี่" มิเชลตอบรับเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยของเธอหลุบต่ำลงเล็กน้อย พยายามซ่อนความรู้สึกที่ว้าวุ่นอยู่ภายในใจ เธอเองก็รู้สึกใจหายที่ช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังจะสิ้นสุดลง ความเงียบโรยตัวลงระหว่างทั้งสองอีกครั้ง บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและเสียงหัวเราะ กลับกลายเป็นความอึดอัดและความรู้สึกเศร้าหมองที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในหัวใจของทั้งคู่ ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ราวกับกำลังเตรียมพร้อมสำหรับวันที่ต้องแยกจากกัน ...แต่แล้ว เสียงสดใสของไกด์ก็ดังขึ้น ทำลายความเงียบที่ปกคลุมลง "เอาล่ะค่ะทุกท่าน ตอนนี้เราจะให้ทุกท่านได้เดินชมความงามของถ้ำต่างๆ ตามอัธยาศัยเลยนะคะ แต่ขอให้กลับมาเจอกันที่จุดนี้อีกครั้งตอนเที่ยงตรงนะคะ จะได้ไม่พลาดเรือกลับฝั่งค่ะ" หลังจากที่ไกด์ให้สัญญาณ ทุกคนในทริปก็ขานรับด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะแยกย้ายกันไปสำรวจถ้ำต่างๆ ตามความสนใจ มิเชลและแดนดินเองก็เช่นกัน ที่ค่อยๆ เดินแยกตัวออกมาจากกลุ่ม ตรงไปยังอีกด้านหนึ่งของเกาะที่ดูเงียบสงบและเป็นส่วนตัวกว่า "มิเชล..." แดนดินเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่แสนจะอ่อนโยน ราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป มิเชลเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาของแดนดินเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ยากที่เธอจะอ่านความหมายได้อย่างชัดเจน มีทั้งความรัก ความอาลัย และความไม่แน่ใจฉายอยู่ในนั้น "คือ..." แดนดินลังเลเล็กน้อย ราวกับกำลังรวบรวมความกล้าที่จะพูดบางสิ่ง "ฉัน... ฉันขอช่องทางการติดต่อเธอหน่อยได้ไหม" คำพูดนั้นทำให้มิเชลชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในความคิด ทั้งความปรารถนาที่จะสานต่อความสัมพันธ์ และความกังวลถึงปัญหาที่รอเธออยู่ที่บ้าน "อย่าเลยดีกว่า..." มิเชลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่หนักแน่น "เรารู้จักกัน... แค่นี้ก็พอแล้ว" เธอหลุบตาลงอีกครั้ง ไม่กล้าสบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเขา เธอไม่อยากให้ความรู้สึกของพวกเขามันลึกซึ้งไปมากกว่านี้ เพราะเพียงแค่ปัญหาที่เธอต้องเผชิญกับครอบครัว มันก็มากเกินกว่าที่เธอจะรับมือได้แล้ว "ไม่เป็นไรครับ... ฉันเข้าใจ" แดนดินถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ความผิดหวังฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา แต่เขาก็พยายามที่จะเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของเธอ หลังจากนั้น ความเงียบก็กลับมาปกคลุมทั้งสองอีกครั้ง บรรยากาศรอบตัวดูเงียบสงบ มีเพียงเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะ ราวกับเป็นเพลงกล่อมที่แสนเศร้า มิเชลและแดนดินเดินเคียงข้างกันไปอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา "งั้น... ฉันขอทบทวนเรื่องของเราอีกครั้งได้ไหม?" แดนดินเอ่ยขึ้นอย่างทำลายความเงียบ พร้อมกับค่อยๆ ยกมือขึ้นประคองใบหน้าสวยของมิเชลให้หันมาสบตากับเขา ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันอย่างลึกซึ้ง ราวกับต้องการจดจำทุกรายละเอียดของกันและกันไว้ในความทรงจำ แววตาที่สื่อถึงความรัก ความผูกพัน และความอาลัยอาวรณ์ ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด หัวใจของทั้งสองเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่บีบรัด "อื้อ..." มิเชลตอบรับเสียงแผ่วเบา ราวกับถูกมนต์สะกด ก่อนที่ริมฝีปากหนาของแดนดินจะค่อยๆ โน้มลงมาประกบริมฝีปากบางของเธออย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน ทั้งสองยืนจูบกันอยู่ตรงนั้นอย่างเนิ่นนาน ราวกับกำลังเก็บเกี่ยวช่วงเวลาอันแสนพิเศษและความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่อ้อมแขนแกร่งของแดนดินจะค่อยๆ ช้อนร่างบางของมิเชลขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมกอด และเดินตรงไปยังถ้ำหินปูนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งดูเงียบสงบและปราศจากผู้คนพลุกพล่าน...เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งอย่างอ่อนโยน แสงอาทิตย์สีทองส่องประกายระยิบระยับเหนือผืนน้ำทะเลสีคราม หาดทรายขาวเนียนละเอียดถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ซุ้มดอกไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล รอคอยการมาถึงของคู่บ่าวสาวมิเชลอยู่ในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ ปักลายลูกไม้สวยงาม ผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีต เผยให้เห็นใบหน้าสวยหวานที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เธอเดินเคียงข้างคุณชาญศักดิ์ผู้เป็นพ่อ ที่จูงมือเธออย่างทะนุถนอม มุ่งหน้าไปยังซุ้มดอกไม้ที่แดนดินยืนรออยู่แดนดินอยู่ในชุดสูทสีขาวสง่างาม ดวงตาคมของเขาจับจ้องอยู่ที่มิเชลเพียงคนเดียว เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ หัวใจของเขาก็เต็มตื้นไปด้วยความรักและความสุขบาทหลวงกล่าวเริ่มต้นพิธีด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น ก่อนจะถึงช่วงเวลาที่คู่บ่าวสาวจะกล่าวคำสาบานรักแดนดิน: "มิเชล... ตั้งแต่วันที่เราพบกันที่นี่ ทะเลแห่งนี้ก็กลายเป็นพยานรักของเรา เธอเข้ามาในชีวิตของฉันเหมือนแสงสว่างในความมืดมิด เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุด คนรักที่ฉันปรารถนา และอนาคตที่ฉันใฝ่ฝัน ฉันสัญญาว่าจะรักเธอ ดูแลเธอ ซื่อสัตย์ต่อเธอ ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ จะเป็นกำลังใจให้เธ
แสงอาทิตย์สีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ รถสปอร์ตคันหรูของแดนดินแล่นไปบนถนนเลียบชายฝั่งอย่างนุ่มนวล ข้างกายเขามีมิเชลนั่งอยู่ด้วยรอยยิ้มหวานบนใบหน้า ตลอดการเดินทาง ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างออกรสถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา เสียงหัวเราะคละเคล้าไปกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นระยะในที่สุด รถก็จอดสนิทที่ลานจอดรถเล็กๆ ใกล้กับชายหาดที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มิเชลจำได้ทันทีว่าที่นี่คือทะเลที่เธอและแดนดินได้พบกันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ความทรงจำอันแสนหวานไหลบ่าเข้ามาในความรู้สึก"ที่นี่..." มิเชลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข "ยังคงเหมือนเดิมเลยนะ"แดนดินหันมายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน "ฉันตั้งใจพาเธอมาที่นี่ ที่ที่เราเริ่มต้นทุกอย่าง"ทั้งคู่จูงมือกันเดินเล่นไปตามริมหาด ทรายขาวละเอียดนุ่มเท้า ความทรงจำในวันแรกที่พวกเขาชนกันโดยบังเอิญผุดขึ้นมาในความคิด"จำได้ไหม วันนั้นฉันเดินเหม่อมากแทบไม่มองทางเลย" มิเชลหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงวันแรกที่เจอกัน"จำได้สิ" แดนดินหัวเราะตาม "ฉันเองก็มัวแต่คิดเรื่องงานจนไม่ได้มองทางเหมือนกัน โชคชะตานำพาจริงๆ""ใช่เลย" มิเชลพยักหน้า "ตอนนั้นฉันไม่
เช้าวันต่อมา.... ณ บริษัท"ไปไหนมาทำไมถึงไม่กลับบ้าน" เสียงดุของคุณหญิงเขมจิราเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นลูกสาวของตนเดินเข้ามาภายในห้องประชุม"เมื่อคืนมิเชลมีปาร์ตี้กับเพื่อนขับรถกลับไม่ไหวเลยนอนคอนโดค่ะ" มิเชลเอ่ยตอบอย่างพยายามข่มเสียงไม่ให้ประมาทเอาไว้ก่อนจะนั่งลงข้างพี่ชายของตนที่มารออยู่ก่อนแล้ว"งั้นหรอ?""ค่ะ""ดีอย่าให้ฉันรู้นะว่าแกใฝ่ต่ำไปเอาไอบาร์โฮสนั้นอีก" หลังจากผู้เป็นแม่เอ่ยจบผู้บริหารและผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยกันเข้ามานั่งในห้องประชุมวันนี้เป็นวันนัดหมายสำคัญของบริษัทเพราะว่าจะมีนักลงทุนรายใหญ่จะเข้ามาสนับสนุนเรื่องสปอนเซอร์ให้แก่ผลิตภัณฑ์ของพวกเขา เพราะอย่างงั้นเล่าเหล่าผู้บริหารทุกคนต่างมารวมตะวกันเพื่อต้อนรับสปอนเซอร์รายใหญ่คนนี้....แล้วไม่ใช่แค่เพียงพวกเขาอยากมาต้อนรับเท่านั้น แต่พวกเขายังอยากจะเห็นหน้าตาของเจ้าของบริษัทสื่อโฆษณาที่กำลังมาแรงอย่างมากในตลาดนี่ด้วยทั้งที่บริษัทพึ่งจดทะเบียนได้เพียงแค่ 2 ปีเศษๆ เท่านั้นกับทำกำไรได้มากมายหลายพันล้านในเวลาไม่นานที่สำคัญบริษัทสื่อโฆษณานี้จดทะเบียนบริษัทที่ต่างประเทศและเจ้าของบริษัทยังไม่ชอบออกหน้าออกตาให้สื่อได้เห็น
หลายวันผ่านไป...หลังจากกลับมาจากทริปทะเลครั้งนั้น มิเชลก็กลับมาใช้ชีวิตภายใต้ความกดดันของครอบครัวเช่นเดิม ....แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหัวใจของเธอไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไปตอนนี้หัวใจของเธอกับพองโตและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เธอและแดนดินหลังจากกลับมาก็คงยังติดต่อกันอย่างลับๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ และแอบเจอกันบ้างเป็นครั้งคราวเมื่อมีโอกาสเหมือนกับในครั้งนี้....."ฉันต้องไปแล้วนะ" มิเชลเอ่ยขณะนอนเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมอกของแดนดินวันนี้เธอและเขานัดเจอกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัดซึ่งอยู่ติดกับกรุงเทพและใช้เวลาเดินทางกลับไม่นานมาก"แต่ฉันยังไม่หายคิดถึงเลยนะ" แดนดินเอ่ยพร้อมกับใช้สันจมูกซุกไซร้ซอกคอขาวอย่างคลอเคลีย"นายก็รู้ว่าที่บ้านฉันเป็นยังไง ขืนทำตัวมีพิรุธอีกคราวนี้ไม่มีทางมีอิสระอีกแน่" มิเชลเอ่ยด้วยแววตาที่เศร้าหมอง"ฉันจะทำให้เธอเป็นอิสระเอง" แดนดินเอ่ยก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างบางเอาไว้"นายจะทำยังไง ลักพาตัวฉันหรอ? " มิเชลเอ่ยอย่างขบขันเพราะเธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเธอจะหลุดพ้นจากครอบครัวตนเองไปได้ยังไง"เดียวเธอก็รู้เอง...แต่ตอนนี้อยู่กับฉันก่อนนะ" แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร
"ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ฮึก~ " มิเชลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือพร้อมกับเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าคมคายเบาๆ ราวกับอยากจะรู้ว่านี่คือความฝันหรือความจริงก่อนที่น้ำตาที่กลั้นไว้จะไหลออกมา"จะร้องทำไม ร้องไห้เดียวก็ไม่สวยหรอก" แดนดินเอ่ยอย่าลเอ็นดูพร้อมกับใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้เธอ"นายหายไปไหนมา รู้ไหมฉันคิดถึงนายแค่ไหน" มิเชลเอ่ยพร้อมกับใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบที่อกแกร่ง"โอ่ๆๆๆ ฉันกลับมาแล้วนี่ไงต่อไปนี้จะไม่ไปไหนอีกแล้ว""พูดแล้วนะ" มิเชลเอ่ยพร้อมกับซุกหน้ากับอกแกร่งทั้งคู่สบสายตากันอีกครั้งโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ แดนดินค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมา ริมฝีปากของเขาทาบทับลงบนริมฝีปากของมิเชลอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จูบนั้นจะค่อยๆ ลึกซึ้งและเร่าร้อนขึ้น ด้วยความโหยหาที่สะสมมาตลอด 3 ปี ผ่านจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและความปรารถนาสองมือเรียวของมิเชลยกขึ้นมาคล้องคอร่างสูงเอาไว้หลวมๆ ขณะที่มือแกร่งของแดนดินเองก็เริ่มลูบไล้เรือนร่างบองเธอผ่านชุดเดรสตัวสวยสองร่างค่อยๆ เอนตัวลงบนผืนทรายขณะที่ริมฝีปากร้อนยังคงเกี่ยวพันกันอยู่อย่างดูดดื่มอย่างไม่มีใครยอมใครพร้อมกับที่ทั้งคู่เริ่มปลดเปลือยเสื้อผ้าให้กันและกันอย่างรีบร้อนสอ
3 ปีผ่านไป...นับตั้งแต่วันที่ถูกพากลับคฤหาสน์ศิริพันธ์ ชีวิตของมิเชลก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อิสระที่เคยมีถูกจำกัดทันทีเมื่อเธอเหยียบเข้ามาในบ้าน ไม่ว่าเธอจะขยับตัวไปทางไหนก็มีแต่ลูกน้องของผู้เป็นแม่คอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลาเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาทำงานที่บริษัทของครอบครัวและสวมบทบาททายาทบริษัทอย่างเต็มตัว ภายใต้การจับตามองของผู้เป็นแม่อย่างเข้มงวด ราวกับว่าคุณหญิงเขมจิราหวาดกลัวว่าลูกสาวคนเล็กจะหวนกลับไปสู่ "ทางเดินที่ผิด" อีกครั้งยิ่งเมื่อผู้เป็นแม่ไปสืบมาว่าแดนดินเป็นหนุ่มบาร์โฮส์มันก็แทบทำให้ผู้เป็นแม่ลมจับขึ้นมาทันทีการติดต่อกับแดนดินก็กลายเป็นศูนย์เช่นกัน มิเชลพยายามส่งข้อความ โทรศัพท์ หาแดนดินเพื่อถรมไถ่แต่ทุกช่องทางก็ถูกตัดขาด ราวกับว่าแดนดินได้หายตัวไปจากโลกของเธออย่างสิ้นเชิง ความคิดถึงประดังเข้ามาในใจเธอในทุกวัน โดยเฉพาะในยามค่ำคืนที่ความเหงาเกาะกินหัวใจเธอนึกถึงแต่เพียงใบหน้าและแววตาที่อ่อนโยนของเขาจนกระทั่งวันนี้...ในที่สุด ผู้เป็นแม่ก็ได้ยกเลอกให้ลูกน้องเลิกติดตามเธอและยอมให้เธอไปเที่ยวพักผ่อนได้ต่มลำพัง เพราะคิดว่าเวลาที่ผ่านมานานถึง 3 ปี คงจะทำให้ความสัมพันธ์