ซงเอ๋อร์ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง นางลืมตาขึ้นช้าๆ ท่าทางงัวเงียเล็กน้อย แต่ยังคงความงดงามอ่อนโยนอย่างเรียบง่าย เมื่อเห็นจางอี้หมิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ นางตื่นเต็มตาในทันที รอยยิ้มอ่อนปรากฏบนใบหน้า
“คุณชายใหญ่! ท่านตื่นแล้ว!” เสียงของซงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจ จางอี้หมิงหันมองตามเสียง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยให้ “ใช่ ข้าตื่นแล้ว” ซงเอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นด้วยความปิติ ก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “อ๊ะ! เจ็บ…” ซงเอ๋อร์สะดุ้งรีบผละตัวออก ท่าทางของนางช่างน่าเอ็นดู “ข้าขอโทษคุณชาย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!” จางอี้หมิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ไม่เป็นไร เจ้าดีใจจนลืมตัว ข้าเข้าใจ” นางเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายต้องการดื่มน้ำหรือไม่?” “อืม…” เขาพยักหน้า เมื่อซงเอ๋อร์รินน้ำใส่ถ้วยและส่งให้ จางอี้หมิงรับมาดื่มพลางมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขาพลันนึกถึงชีวิตที่เรียบง่าย หากเขาสูญเสียพลังปราณไปอย่างถาวร การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรชายของอ๋องสกุลจาง มีซงเอ๋อร์เป็นภรรยาคอยดูแลคงจะมีความสุขไม่น้อย หลังจากเขาดื่มน้ำเสร็จ ซงเอ๋อร์ลุกขึ้น “ข้าจะไปแจ้งข่าวดีนี้ให้ท่านอ๋องทราบ คุณชายพักผ่อนเถิด” จางอี้หมิงมองตามร่างเล็กบอบบางของนางจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แต่ความสงบของเขาถูกขัดจังหวะโดยแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า สองวงแสงเรืองรองส่องสว่าง เมื่อแสงนั้นจางลง บุคคลสองคนยืนอยู่ในห้อง ทั้งสองแต่งกายด้วยชุดสีขาวของศิษย์สำนักเทียนหยาง “ศิษย์พี่ลิ่วเฉียง... ศิษย์พี่เจียงเยว่…” จางอี้หมิงเอ่ยชื่อพวกเขาเบาๆ ลิ่วเฉียง เป็นบุรุษร่างสูงสง่า ใบหน้าหล่อเหลาดูสุขุม สายตาของเขามีแววเฉียบคมเหมือนพญาเหยี่ยว ส่วน เจียงเยว่ เป็นสตรีงดงามราวกับเทพธิดา ผิวขาวดุจหยก เส้นผมยาวดำขลับดั่งน้ำหมึก รูปร่างของนางดึงดูดสายตาโดยเฉพาะช่วงอกอิ่มที่สะดุดตาของจางอี้หมิงยิ่งนัก ลิ่วเฉียงมองจางอี้หมิงก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าฟื้นแล้วสินะ?” จางอี้หมิงพยักหน้า แต่ในใจอดคิดไม่ได้ “ก็เห็นอยู่ ยังจะถามอีก” ลิ่วเฉียงโยนขวดแก้วเล็กขวดหนึ่งมาให้ “พลังปราณของเจ้าถูกทำลายจนแทบหมดสิ้น อาจารย์ใช้เวลาตามหายานี้มาหลายเดือน นี่คือปราณฟื้นคืนในขวด ให้เจ้าดื่มเถอะ” จางอี้หมิงรับขวดมาอย่างรวดเร็ว ก่อนเปิดฝาและดื่มรวดเดียวจนหมด ทันใดนั้น เขารู้สึกถึงกระแสพลังปราณที่เริ่มไหลเวียนในร่าง แม้จะไม่เข้มแข็งเหมือนเดิม แต่ก็ช่วยให้เขารู้สึกมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม ลิ่วเฉียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าทำหน้าที่เสร็จแล้ว จะกลับไปแจ้งข่าวอาจารย์ก่อน เจ้าพักผ่อนเถิด” เขาพูดจบก็หมุนตัวหายไปในวงแสง ทิ้งให้จางอี้หมิงอยู่ตามลำพังกับเจียงเยว่ จางอี้หมิงหันมองศิษย์พี่หญิงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาของเขาอดจับจ้องความงามของนางไม่ได้ เจียงเยว่ยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้าคงอยากรู้ว่าหอกเล่มนั้นมาจากใคร ใช่หรือไม่?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันที “ท่านรู้?” นางพยักหน้า “หนึ่งในร่างแยกของจอมมารปีศาจ แต่ก็เป็นร่างแยกที่อ่อนแอที่สุด” คำตอบนั้นทำให้จางอี้หมิงชะงัก เขารู้ว่าจอมมารปีศาจคือศัตรูที่สำนักเทียนหยางพยายามกำจัดมานานหลายปี แต่การถูกเล่นงานโดย ร่างแยกที่อ่อนแอที่สุด ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม เจียงเยว่สังเกตเห็นสีหน้าของเขา นางหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดต่อ “ไม่ต้องกังวล ร่างแยกนั้นถูกอาจารย์กำจัดไปแล้ว” “ข้าเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับห้า! เหตุใดจึงพ่ายแพ้ให้กับร่างแยกที่อ่อนแอเช่นนั้น?” จางอี้หมิงเอ่ยเสียงเข้ม ความอับอายแผ่ซ่านในใจ เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนนั่งลงข้างเตียงของเขา การเคลื่อนไหวของนางทำให้เสื้อคลุมกระชับเข้ารูป หน้าอกอวบอิ่มของนางกระเพื่อมเบาๆ ดึงดูดสายตาของจางอี้หมิงโดยไม่รู้ตัว นางจับคางของเขาเบาๆ บังคับให้เงยหน้าขึ้นสบตากับนาง “เจ้ามีเวลาหนึ่งคืน บอกลาคนที่บ้านให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เจ้าจะต้องกลับสำนัก” จางอี้หมิงขมวดคิ้ว “กลับสำนักไปทำไม?” เจียงเยว่ปล่อยมือจากคางเขา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าจำเป็นต้องฟื้นพลังโดยการลงไปฝึกกับศิษย์ระดับศูนย์ที่กำลังจะสอบเข้าในเร็ววันนี้” “อะไรนะ?!” จางอี้หมิงลุกขึ้นทันที แต่ก็ต้องนิ่วหน้าเพราะเจ็บแผล “ข้าเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับห้า เหตุใดต้องไปฝึกร่วมกับศิษย์หน้าใหม่?” เจียงเยว่ยิ้มบางๆ ก่อนที่ร่างของนางจะเลือนหายไปในวงแสง ทิ้งคำถามมากมายไว้ในใจของจางอี้หมิง ไม่นานหลังจากนั้น ประตูห้องก็เปิดออก ท่านอ๋องจางส่วง บิดาของจางอี้หมิงก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าดีใจเมื่อเห็นบุตรชายของตนฟื้นขึ้นมา…“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร