ประตูห้องของจางอี้หมิงเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงผอมของชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์งดงามดูสูงศักดิ์ ใบหน้าเรียวมีเคราบางๆ ดูสง่างาม ทว่าดวงตาแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ท่านอ๋องจางส่วง ผู้เป็นบิดาของจางอี้หมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี
“หมิงเอ๋อร์! ลูกพ่อฟื้นแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ จางอี้หมิงค้อมศีรษะให้บิดา “ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว” ท่านอ๋องจางส่วงนั่งลงข้างเตียง สังเกตบุตรชายของตนอย่างใกล้ชิด แม้จะเห็นสีหน้าซีดเซียว แต่ก็โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่ จางส่วง ในฐานะบุตรชายคนที่ยี่สิบสี่ของอดีตฮ่องเต้เจ้าสำราญราชวงศ์ก่อน แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเล็กที่เด็กมากเกินไป ปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ปัจจุบันจึงเมตตาไว้ชีวิต และให้เป็นอ๋องเพื่อประดับไว้เฉยๆ ไม่มีอำนาจอื่นใดพิเศษ จางส่วงจึงเลือกใช้ชีวิตเงียบสงบ เขียนภาพวาดขายเลี้ยงชีพไปวันๆ พร้อมด้วยสมบัติอีกมากมาย ท่านอ๋องหันไปเรียกซงเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก “ซงเอ๋อร์ นำยาบำรุงเข้ามา” ซงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาสมุนไพรสีเข้ม กลิ่นฉุนแผ่กระจายไปทั่วห้อง นางวางถ้วยไว้ข้างเตียงก่อนค้อมตัวถอยออกไป “อี้หมิง พรุ่งนี้เจ้าต้องกลับไปที่สำนักเทียนหยางแล้ว” จางส่วงกล่าวเสียงเข้ม จางอี้หมิงรับถ้วยยามา แต่เมื่อได้ยินคำว่า กลับสำนัก เขากลับวางถ้วยลงพลางถอนหายใจยาว “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าไม่มีพลังแล้ว ข้าขอกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเถิด ข้าจะหาภรรยาสักสามสี่คน ใช้ชีวิตสุขสบายจะไม่ดีกว่าหรือ?” จางส่วงหัวเราะเบาๆ “เจ้าคิดว่าง่ายเพียงนั้นหรือ? ฟังพ่อให้ดี…” เขาเดินไปยืนข้างหน้าต่าง มองออกไปไกล “ตอนนี้ ฮ่องเต้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดการปักษาอัคคีที่โจมตีอาณาจักร รู้เพียงว่าเป็นคนของสำนักเทียนหยางเท่านั้น” จางอี้หมิงขมวดคิ้ว “ทำไมท่านไม่รายงานไปว่าเป็นผลงานของข้าเล่า? หากฮ่องเต้รู้ เขาคงประทานรางวัลมากมายให้เรา” จางส่วงหันกลับมามองบุตรชายด้วยแววตาเคร่งขรึม “ไม่ได้เด็ดขาด!” “จะให้ฮ่องเต้รู้ไม่ได้ว่าเจ้าเป็นผู้กระทำ หากรู้ก็ควรรู้ว่าเจ้าเป็นคนของสำนักเทียนหยางผู้สูงส่ง หากเจ้าใช้ชีวิตที่นี่เป็นบุตรชายของข้าแล้ววันนึงฮ่องเต้รู้เข้าจะไม่เป็นผลดี” บิดายังคงเคร่งขรึมต่อ “แม้ข้าจะเป็นบุตรที่ถูกลืมของอดีตฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน อย่างไรเสียก็ถือว่าเจ้ามีสายเลือดของอดีตราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ในตัวเช่นกัน หากฮ่องเต้รู้ว่าเจ้าเป็นผู้กอบกู้ เขาจะมองว่าเจ้าคือภัยต่อบัลลังก์ของเขา เจ้าอาจได้รับรางวัลเป็นเครื่องประหารหัวมังกรแทนที่จะเป็นทรัพย์สมบัติ” คำพูดนั้นทำให้จางอี้หมิงนิ่งไป เขาเข้าใจดีถึงความซับซ้อนในราชสำนัก บัดนี้เขาอยู่ในสำนักเทียนหยางผู้อยู่เหนือการเมืองแล้ว ไม่ควรเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้อีก แต่ในใจก็อดเสียดายไม่ได้ “น่าเสียดายยิ่งนัก นึกว่าจะได้รับบุตรสาวฮ่องเต้เป็นภรรยาสักสองสามคนพร้อมตำลึงทองนับหมื่น” เขาพึมพำในใจ จางส่วงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางตบบ่าบุตรชายเบาๆ “เจ้าไม่ต้องกังวล ถึงอย่างไรสำนักเทียนหยางก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องพรหมจรรย์เฉกเช่นผู้ฝึกตนของลัทธิอื่น ครั้งนี้พ่อจะส่งซงเอ๋อร์เข้าไปปรนนิบัติเจ้าในสำนักด้วย นางจะดูแลเจ้าอย่างใกล้ชิดเป็นไง” จางอี้หมิงนิ่วหน้าเล็กน้อย “ท่านพ่อ การจะบังคับนางไปแบบนั้นมันไม่ถูก ควรต้องถามความสมัครใจของนางก่อน” จางส่วงหัวเราะเบาๆ “เจ้ากับซงเอ๋อร์เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เรื่องแค่นี้นางไม่น่ามีปัญหา” จางอี้หมิงหันมองซงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางก้มหน้าลง บิดตัวเล็กน้อยอย่างขัดเขิน แต่ในแววตาของนางไม่มีวี่แววของการต่อต้าน มีเพียงความเขินอายเล็กๆ ก่อนรีบเดินออกไปอย่างเขินอาย บนโต๊ะอาหารค่ำนั้น จางส่วงนั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างเขาคือชายาคนใหม่ของเขา นางเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังคงความงามไว้ แม้ไม่อ่อนเยาว์เช่นเดิม แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต นางยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองมาที่จางอี้หมิง “กินเยอะๆ ลูก เจ้าเพิ่งฟื้นตัว” ชายาคนใหม่กล่าว น้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงด้วยระยะห่าง จางอี้หมิงเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางไม่ได้มีปัญหาใดๆ แต่ก็ไม่ได้ผูกพันสักเท่าไหร่ เขาถูกส่งตัวไปยังสำนักเทียนหยางตั้งแต่อายุ 8 ปี เวลาก็ผ่านมาถึง 12 ปีเต็ม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมารดาใหม่นั้นจึงยังคงห่างไกลกับคำว่า ครอบครัว ส่วนมารดาที่แท้จริงของเขานั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็กเกินกว่าจะจำความได้ ทันใดนั้นเอง เสียงประตูเลื่อนเปิดออก คนสองคนเดินเข้ามา คนแรกแต่งตัวในชุดของจอมยุทธ์แบบบุรุษ แต่ดูยังไงก็เห็นชัดว่าเป็นสตรี นางมีใบหน้าสะสวย ดวงตาคมดุ ใบหน้าตึงขรึมเหมือนจงใจไม่แสดงอารมณ์ใดๆ อีกคนคือสตรีในชุดงดงามเรียบหรู ใบหน้าอ่อนหวานและสุภาพ เผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ของนาง นางคือ จางหลันซือ น้องสาวต่างมารดาของจางอี้หมิง “พี่ใหญ่ ท่านฟื้นตัวแล้วหรือ?” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนนั่งลงข้างโต๊ะ ขณะที่สตรีในชุดจอมยุทธ์ยืนอยู่ด้านหลังอย่างระวัง จางอี้หมิงมองไปที่น้องสาว รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้า "ข้าสบายดีแล้ว ขอบคุณเจ้าที่เป็นห่วง" จากนั้นจางอี้หมิงก็หันไปสบตากับสตรีในชุดของจอมยุทธ์ที่ดูเหมือนบุรุษ ทั้งท่าทางและชุดทำให้คนทั่วไปคิดว่านางเป็นชาย แต่เมื่อเขามองดีๆ ก็รู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน “นั่นใคร?” จางอี้หมิงถามน้องสาวของเขาอย่างเงียบๆ จางหลันซือหันไปมองทางสตรีคล้ายบุรุษที่เขาถามถึง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “หวงจื่อรั่ว เป็นองครักษ์ประจำตัวของข้าเอง” “องครักษ์?” จางอี้หมิงถามกลับ แต่ยังคงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับใบหน้าของนาง จางหลันซือยิ้มเล็กน้อย “พี่ใหญ่จำไม่ได้หรือ? ตอนเด็กพวกเราก็เคยเล่นด้วยกันนะ” จางอี้หมิงขมวดคิ้วมองไปที่หวงจื่อรั่ว ใบหน้าของนางยังคงนิ่งและไม่แสดงอารมณ์อะไรมากนัก ท่าทางนั้นดูคลับคล้ายคลับคลา แต่ก็ไม่สามารถจำได้ ในช่วงชีวิตของเขาในวัยเด็กช่วงเวลาที่ได้เล่นร่วมกับน้องสาวต่างมารดาของตนมีไม่มาก แม้เมื่อโตขึ้นจะกลับมาเยี่ยมบ้านหลายครั้งแต่ก็จดจำเพื่อนเล่นในวัยเด็กได้เพียงแค่ซงเอ๋อร์ที่เขาพบนางเป็นประจำเมื่อเยี่ยมบ้าน “อืม...นึกไม่ออก” จางอี้หมิงพยักหน้าเบาๆ ตอบไป ยามค่ำคืนของจวนอ๋องจาง ในยามค่ำคืนแสนเงียบเชียบ เสียงแมลงรอบๆ ดังขึ้นคลอไปกับลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมา จางอี้หมิงเดินออกจากห้องและมุ่งหน้าสู่หลังคาของจวนอ๋อง เขารู้สึกคุ้นเคยกับการขึ้นไปนั่งบนหลังคาชมดวงจันทร์เป็นอย่างดี หลังจากฝึกฝนวิชามามากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่คืนนี้กลับรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้ง เขาลืมไปว่าในตอนนี้เขาไม่มีพลังปราณเหลืออยู่แล้ว เขาพยายามกระโดดขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายกลับไม่สามารถทำตามที่คิดได้ ขาเขาอ่อนแรงและกระโดดเพียงสองสามครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงบนพื้นดินเบาๆ เขาหัวเราะในใจ “ลืมตัวไป...พลังปราณหายไปหมดแล้ว” หลังจากนั้นเขาหยิบบันไดไม้ขึ้นมาและพาดลงไปบนกำแพงก่อนจะค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังคา เขานั่งลงที่มุมหนึ่งของหลังคาและเริ่มเปิดขวดสุราที่เขานำติดตัวไป ดื่มทีละคำ ขณะที่ดวงจันทร์ส่องแสงในยามค่ำคืน เสียงของลมดังขึ้นและเขาเริ่มจมดิ่งลงไปในความคิดส่วนตัว ความรู้สึกถึงพลังที่เขาเคยมีบัดนี้กลับเลือนหาย แต่แล้ว… ทันใดนั้นเอง เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของคมกระบี่ที่ทาบอยู่บนบ่าของเขา ร่างกายของเขาสะท้านไปทั้งร่าง “ใครกัน...?” เสียงของคนผู้นั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงคาดคั้น “มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ที่จวนท่านอ๋อง?” จางอี้หมิงยังคงนั่งนิ่ง เสียงของคนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นคำถามจากบ่าวในบ้าน เขาคิดในใจ “สงสัยไม่อยู่นานแล้วบ่าวไพร่จึงจำข้าไม่ได้” เขาค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างช้าๆ หยิบกระบี่ที่อยู่บนบ่าของเขาแล้วพลิกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว กระบวนท่าที่ฝึกฝนมาไม่เคยหายไป แม้พลังปราณภายในจะไม่มี เขาช่วงชิงกระบี่ของอีกฝ่ายมาไว้ในมือของตนอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาหันกลับไปมองตรงไปที่บุคคลนั้น และพบว่า… คนที่ถือกระบี่ไม่ใช่ใครที่ไหน หวงจื่อรั่ว องครักษ์ของจางหลันซือเอง“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร