หน้าหลัก / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 30 ความบันเทิงของบุรุษ

แชร์

บทที่ 30 ความบันเทิงของบุรุษ

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-18 18:30:12

ภายในเรือนหลังน้อย แสงเทียนริบหรี่โยกไหวตามสายลมอ่อนๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา บรรยากาศสงบเงียบยามค่ำคืนช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์จากเครื่องหอมอบอวลในห้อง ผสมกับกลิ่นหอมประจำกายของซงเอ๋อร์ที่อบอวลอยู่ใกล้ๆ

จางอี้หมิงนอนเอนกายอยู่บนเตียง ใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะ ดวงตาคู่คมทอดมองซงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของนางสะท้อนแสงเทียน ยิ่งขับให้ดูงดงามอ่อนหวาน นางก้มหน้างุด ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยราวกับลังเล

จางอี้หมิงขยับตัวเข้าไปด้านในของเตียงเล็กน้อย แล้วใช้มือข้างหนึ่งตบลงที่ที่นอนเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“เจ้าลงมานอนข้างๆ ข้าเถอะ”

ซงเอ๋อร์เม้มปากน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ แล้วขยับตัวขึ้นไปบนเตียงอย่างลังเล นางห่มผ้าคลุมร่าง ก่อนจะเอนกายลงนอนข้างๆ จางอี้หมิง แต่ยังเว้นระยะห่างเล็กน้อย ดวงตากลมโตของนางช้อนมองเขาอย่างประหม่า

จางอี้หมิงขยับตัวเข้าใกล้อีกนิด พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ข้านอนกอดเจ้าได้หรือไม่”

ซงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้างามก็แดงก่ำขึ้นมาทันที นางเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบ

“ข้าน้อยอนุญาตให้สูงสุดแค่นั้น…”

ได้ยินคำตอบเช่นนั้น จางอี้หมิงยิ้มจางๆ แล้วค่อยๆ ยกแขนโอบรอบตัวนางไว้เบาๆ ดึงร่างนุ่มนิ่มเข้าสู่อ้อมกอดอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมของซงเอ๋อร์ลอยเข้ามาแตะจมูก ทำให้หัวใจเขารู้สึกสงบและผ่อนคลาย

ซงเอ๋อร์ตัวแข็งไปเล็กน้อยเมื่อถูกรวบกอด นางรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างของจางอี้หมิง แต่ไม่นานก็รู้สึกปลอดภัยจนค่อยๆ ผ่อนคลาย นางซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม มือเล็กกำผ้าห่มแน่นเพื่อระงับความขัดเขิน

เป้าหมายของข้าในวันหยุด คือเที่ยวสำนักสังคีตหลับนอนกับคณิกาสาวให้อิ่มหนำ นี่ไม่ใช่เป้าหมายข้า เพียงแต่มันดียิ่งนัก ขนาดยังไม่บรรลุเป้าหมายสูงสุดของการร่วมเตียงยังดีขนาดนี้ แล้วถ้าถึงวันนั้นจะดีขนาดไหน แม่นางซงเอ๋อร์เอย ข้าจะถนอมเจ้าเป็นอย่างดี

จางอี้หมิงนอนสวมกอดซงเอ๋อร์อยู่แบบนั้นทั้งคืน…

แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในเรือนหลังน้อย จางอี้หมิงขยับตัวเล็กน้อย เปลือกตากระพริบไหว ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ที่ทอดลงมาบนเตียง

เขาหันไปข้างกายโดยสัญชาตญาณ แต่พบว่าซงเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว มีเพียงร่องรอยบนฟูกที่บ่งบอกว่านางเคยนอนอยู่ข้างเขาเมื่อค่ำคืนก่อน

จางอี้หมิงลุกขึ้นนั่ง แปรงฟันล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ก่อนจะได้กลิ่นหอมบางอย่างลอยมาจากโต๊ะ เมื่อหันไปก็พบว่ามีถาดอาหารวางอยู่ บนถาดนั้นมีชามโจ๊กอุ่นๆ กับจานเครื่องเคียงเล็กๆ อยู่เคียงข้าง

ริมฝีปากเขาเผยรอยยิ้มบางๆ

“แม่นางน้อยช่างเอาใจใส่จริงๆ”

เขาพึมพำ ก่อนจะเดินไปนั่งลง แล้วหยิบช้อนขึ้นมาคนโจ๊กเบาๆ ไอร้อนลอยขึ้นมาปะทะใบหน้า พร้อมกับกลิ่นหอมของข้าวที่เคี่ยวจนเนียนละเอียด เขาค่อยๆ ตักขึ้นมาชิม รสชาตินุ่มละมุนกำลังดี

เมื่อกินเสร็จ จางอี้หมิงก็ออกไปนั่งที่ศาลาด้านนอก ลมเช้าพัดเอื่อยให้ความรู้สึกสดชื่น สระน้ำเล็กๆ ข้างศาลาสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบ

ตอนนี้จางหลันซือกับซงเอ๋อร์ออกไปที่สำนักศึกษาหยูเทียนแล้ว ความเงียบสงบชั่วครู่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย

แต่ไม่นานนัก ก็มีร่างหนึ่งเดินเข้ามา

แม่นางหวงจื่อรั่ว นางงามผู้สะพายทวนไว้บนหลัง เดินตรงเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไอมารเมื่อคืนคือสิ่งใดกันแน่?” นางถามเสียงเรียบ

จางอี้หมิงยิ้มบางๆ ยื่นถ้วยน้ำชาให้

“นั่งลงก่อน”

หวงจื่อรั่ววางทวนไว้ข้างศาลา ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเขา นางมองจางอี้หมิงด้วยสายตาตรวจสอบ

“ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว” จางอี้หมิงพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะยกยิ้มขบขัน “หรือไม่แน่อาจเป็นพวกมารที่มาเดินเล่นในเมืองหลวงกระมัง”

หวงจื่อรั่วฟังแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำท่าหงุดหงิด

“เจ้ายังเล่นตลกได้อีก…” นางพึมพำ

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดจริงจังขึ้น

“เรื่องนี้ข้าจะกลับไปปรึกษากับเหล่าศิษย์พี่ระดับสูงก่อน พวกเจ้าศิษย์ระดับล่างไม่ต้องกังวลไป”

หวงจื่อรั่วพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ นางไม่เซ้าซี้อะไรอีก

จางอี้หมิงมองนางก่อนจะเอ่ยถาม

“แล้ววันนี้เจ้าจะไปไหนหรือไม่?”

“ข้ามีนัดกับแม่นางหลินหนิงไว้” หวงจื่อรั่วตอบเรียบๆ “เป็นนัดเดินเล่นของสตรี”

จางอี้หมิงส่ายหน้าพลางโบกมือให้นางไป

“เข้าใจล่ะ… พวกเจ้าคงไม่อยากให้ข้าไปด้วยสินะ” เขาคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่หน้าประตูจวน

บุรุษคนหนึ่งยืนรออยู่ ใบหน้าคมคาย ดวงตาสดใส ท่าทางร่าเริง

เขาคือ ซ่งอิน ศิษย์น้องแห่งสำนักเทียนหยาง

เมื่อเห็นจางอี้หมิงออกมา ซ่งอินก็ประสานมือคารวะ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่อี้หมิง วันนี้พวกเราจะไปที่ใดก่อนดี? ใช่สำนักสังคีตหรือไม่?”

จางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะใช้พัดในมือเคาะที่ท้องของซ่งอินเบาๆ

“สำนักสังคีตบ้านใครเขาไปกันแต่เช้า?” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ ในใจคิดว่า “ที่บ้านข้ามีสิ่งสวยงามกว่าสำนักสังคีตตั้งเยอะ”

จากนั้น จางอี้หมิงหยิบถุงเงินขึ้นมาโยนเล่นในมือ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ไปเที่ยวบ่อนพนันกันเถอะ”

ซ่งอินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะร่วนทันที “สมกับเป็นท่านจริงๆ”

ทั้งสองไม่รอช้า ขึ้นม้าคนละตัว แล้วควบออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังบ่อนพนัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะและบรรยากาศคึกคักของเช้าวันใหม่…

เมื่อจางอี้หมิงและซ่งอินมาถึง สำนักบ่อนเบี้ย เสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนที่อยู่ภายในก็ดังแว่วออกมาถึงหน้าประตู แม้จะเป็นเวลากลางวัน แต่ที่นี่ก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมาก

อาคารหลังใหญ่ของบ่อนเบี้ยสร้างจากไม้เนื้อดี แกะสลักลวดลายหรูหรา บันไดทางเข้ามีพื้นปูด้วยหินอ่อนสะอาดสะอ้าน ประตูใหญ่เปิดกว้างต้อนรับผู้มาเยือนเสมอ ด้านบนมีป้ายไม้สลักตัวอักษรสีทองว่า "สำนักบ่อนเบี้ย" ขึงตระหง่านอยู่

ที่นี่คือหนึ่งในสามสถานที่บันเทิงหลักของเขตเมืองหลวงชั้นใน ในยามค่ำคืน คนชั้นสูงมักไปรวมตัวกันที่ สำนักสังคีต เพื่อเสพสุขกับสุราและนารี แต่ในยามกลางวัน หากมิได้สนใจเรื่องเดิมพันในบ่อน ก็คงไปที่ สำนักเดินหมาก ที่ขึ้นชื่อเรื่องการประชันปัญญา แต่คนที่มาที่บ่อนเบี้ยนี่ ส่วนใหญ่มักเป็นลูกหลานขุนนางที่ไม่ใส่ใจวิชาการหรือการปกครองบ้านเมืองนัก

จางอี้หมิงกวาดตามองรอบตัว ขณะเดินเข้าไปพร้อมซ่งอิน ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มบางๆ เหมือนคนที่กำลังเดินเข้าสู่สนามเด็กเล่นของตนเอง

“ช่างคึกคักจริงๆ” ซ่งอินเอ่ยขึ้น พลางเหลือบมองรอบด้าน

ที่นี่เต็มไปด้วยกลุ่มชนชั้นสูงที่แต่งกายหรูหรา บางคนใส่เสื้อคลุมผ้าไหมปักลายงดงาม ในขณะที่บางกลุ่มนั่งดื่มสุรา คุยกันอย่างออกรส ราวกับสถานที่แห่งนี้คือคฤหาสน์ส่วนตัว

เมื่อเดินมาถึงโต๊ะเก็บเงินที่ทางเข้า ทั้งสองต้องจ่ายค่าแรกเข้าคนละหนึ่งตำลึง ตามกฎของที่นี่

ชายชราในชุดผ้าสีน้ำเงินเข้ม เป็นผู้ดูแลทางเข้าบ่อน เขามองจางอี้หมิงกับซ่งอินแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ รับเงินแล้วผายมือให้พวกเขาเข้าไป

ด้านในบ่อนกว้างขวางและแบ่งเป็นพื้นที่การละเล่นไว้หลายส่วน แล้วแต่ผู้คนจะร่วมวงเล่นสนุก ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงโห่ร้องของผู้ที่ชนะเดิมพัน

ที่นี่มี เจ้าหน้าที่ที่รับบทเป็นเจ้ามือของสำนักบ่อนเบี้ย ประจำอยู่ทุกโต๊ะ ซึ่งเป็นคนของทางการโดยตรง ระบบการจ่ายเงินของที่นี่เป็นแบบกินแบ่ง ไม่ใช่กินรวบ ทุกคนมีโอกาสชนะ แต่หากไม่ประมาณตนก็มีโอกาสหมดตัวเช่นกัน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเร้าใจ

“ข้าว่าเรามาลองเสี่ยงดวงกันสักหน่อย” จางอี้หมิงพูดพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์

“ท่านคิดจะเล่นอะไร?” ซ่งอินถาม

“เริ่มจากโต๊ะทายเต๋าสูงต่ำก็แล้วกัน”

ทั้งสองเดินไปที่ โต๊ะทอยเต๋า ซึ่งมีวงพนันล้อมรอบกันอยู่ ที่หัวโต๊ะ เจ้ามือสวมอาภรณ์สีดำขลิบทอง ยืนรออยู่ ใบหน้าของเขานิ่งสงบ แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และความช่ำชองในการควบคุมเกม

บนโต๊ะมีถ้วยเขย่าลูกเต๋าทำจากกระเบื้องเคลือบ แสงสะท้อนจากโคมไฟภายในบ่อนทำให้มันดูมันวาว เสียงลูกเต๋าในถ้วยกระทบกันเบาๆ ขณะที่เจ้ามือเตรียมเขย่า

“ข้าจะทายต่ำ” จางอี้หมิงพูด พลางโยนเงินลงไป

ซ่งอินเลิกคิ้ว “ท่านแน่ใจหรือ?”

“เจ้าก็ทายตรงข้ามข้าสิ”

ซ่งอินโยนเงินไปที่ฝั่งสูงทันที

แต่ก่อนที่เจ้ามือจะเปิดถ้วยลูกเต๋า เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งจางอี้หมิงและซ่งอินสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปตามเสียงนั้นทันที

สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ…

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status