Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 29 ค่ำคืนแห่งไอมาร

Share

บทที่ 29 ค่ำคืนแห่งไอมาร

ยามค่ำคืนภายในเรือนหลังน้อยของจวนอ๋องจางส่วงแสงจันทร์ส่องกระทบผ่านหน้าต่าง เผยให้เห็นเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูหมู่ดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้าอย่างเงียบงัน บุรุษผู้นั้นคือ จางอี้หมิง

ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งสำนักเทียนหยาง ด้านข้างของเขามีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ ซงเอ๋อร์ กำลังก้มหน้ารินสุราให้ด้วยท่วงท่าสง่างาม

แม้ว่าซงเอ๋อร์ จะมีหน้าที่คล้ายสาวใช้ในบ้าน แต่ฐานะของนางนั้นสูงมากกว่า นางถูกแม่แท้ๆ ของจางอี้หมิงชุบเลี้ยงไว้ตั้งแต่ทารก และกำหนดไว้ให้แต่งเป็นอนุของจางอี้หมิงเมื่อโตขึ้น

อ๋องจางส่วงและฮูหยินก็รับปากดำเนินการต่อแม้ว่ามารดาของจางอี้หมิงเสียชีวิตไปแล้ว นางจึงได้รับการเลี้ยงดูและได้รับการศึกษามากกว่าสาวใช้ทั่วไปในบ้าน แต่ไม่เทียบเท่าบุตรสาว

ในจวนสกุลจางนั้นมีฐานะพิเศษ ที่ต้องถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดจากราชสำนัก ราชวงศ์ปัจจุบัน บุรุษทุกคนต้องถูกกำหนดให้แต่งกับคนที่ราชสำนักกำหนดให้เท่านั้น ส่วนอนุภรรยาสามารถมีได้หลังจากแต่งตั้งชายาหลักแล้วเท่านั้น

ซงเอ๋อร์ในเวลานี้ยังไม่ถูกแต่งตั้งเป็นอนุภรรยาอย่างเป็นทางการของจางอี้หมิง ตามหลักก็ยังไม่ควรอยู่ร่วมกันในยามค่ำคืน แต่ก็เป็นที่รู้กันของคนในจวน ก็ไม่ได้สนใจในหลักข้อนี้เท่าใดนัก

ความจริงแล้วขุนนางคนอื่นๆ ก็ปฏิบัติตัวเช่นนี้ คือ เลี้ยงอนุภรรยาก่อนค่อยมีภรรยาหลัก แม้ว่าสกุลจางจะมีฐานะพิเศษที่ถูกจับตามองมากกว่าผู้อื่น แต่บิดาของจางอี้หมิงก็มีมารดาของจางอี้หมิง ก่อนที่จะมีชายาหลักที่ราชสำนักแต่งตั้งมาเช่นกัน

จางอี้หมิงรับป้านสุรามา ก่อนจะยื่นให้นาง “ข้าดื่มคนเดียวไม่สนุก เจ้าควรดื่มด้วย”

ซงเอ๋อร์รับป้านสุรามาด้วยความเขินอายเล็กน้อย “เจ้าค่ะ คุณชาย” นางตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนจะจิบสุราลงไปเล็กน้อย

แสงจันทร์กระทบกับใบหน้านวลเนียนของนางสะท้อนประกายดุจเทพธิดา จางอี้หมิงจับจ้องนางด้วยสายตาอ่อนโยน นึกถึงสตรีที่เขาเคยเห็น และรู้สึกว่างดงามที่สุดในเมืองหลวง หวงจื่อรั่ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ซงเอ๋อร์กลับมีเสน่ห์อันงดงามกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี

“เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปสำนักเทียนหยาง” จางอี้หมิงเอ่ยถาม

ซงเอ๋อร์หลุบตาต่ำ คล้ายประหม่าเล็กน้อย “ข้าน้อยมีความสามารถแค่อ่านออกเขียนได้ วรยุทธ์ไม่มี เกรงว่าเข้าไปแล้วจะเป็นภาระของคุณชาย”

จางอี้หมิงยิ้มบาง ๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะสอนเจ้าเอง”

ซงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องกับฮูหยินส่งตัวข้าน้อยไปเรียนที่สำนักศึกษาหยูเทียนกับคุณหนูหลันซือแล้ว ข้าอ่านและเขียนได้มากกว่าเดิมแล้วเจ้าค่ะ”

“สำนักศึกษาหยูเทียนคือสถานที่ใด เหตุใดข้าไม่เคยได้ยิน”

“ช่วงนั้นคุณชายหลับไป องค์หญิงจากในวังขออนุญาตฮ่องเต้ออกมาเปิดสำนักศึกษา เพื่อให้เหล่าสตรีได้ศึกษาโดยเฉพาะ”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เดิมทีสำนักศึกษานอกพระราชวังจะเปิดรับแค่บุรุษเท่านั้น สตรีคนใดอยากเรียนหนังสือต้องลักลอบฝึกฝนเอา ใครมีความสามารถก็ไปสอบเข้าสำนักเทียนหยาง เพราะเป็นสถานที่เดียวที่เปิดรับทั้งชายและหญิง ตอนที่ข้าหลับไป เหตุการณ์เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้

“เป็นองค์หญิงท่านใดเจ้ารู้หรือไม่”

“ข้าน้อยไม่รู้”

ไม่แปลกที่นางจะไม่รู้จักองค์หญิง ข้าเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักเลย จางอี้หมิงหัวเราะเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น คืนนี้เจ้าอ่านวรรณกรรมให้ข้าฟังได้หรือไม่”

ซงเอ๋อร์หัวเราะเสียงใส “ท่านจะกลั่นแกล้งข้าไม่ให้นอนหรือ?”

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าช่วยนอนเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่” จางอี้หมิงกล่าวหยอกเย้า

ซงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ เอียงอายก่อนตอบเสียงเบา “หากให้นอนเป็นเพื่อนย่อมทำได้ แต่... มากกว่านั้นยังไม่ถึงเวลา”

จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก “ข้ารู้ ข้าไม่ขืนใจเจ้าหรอก”

ซงเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้น “เช่นนั้น คุณชายรอสักครู่ ข้าจะไปจัดเตรียมที่นอนให้”

นางเดินไปยังเตียงด้วยกิริยาสง่างาม ขณะที่จางอี้หมิงมองตามร่างอ้อนแอ้นของนางไปอย่างเงียบงัน

ทันใดนั้น ลมค่ำคืนพัดผ่าน พร้อมกับกลิ่นบางอย่างที่โชยมาตามสายลม จางอี้หมิงขมวดคิ้ว หันมองออกไปนอกหน้าต่าง

นี่มัน... กลิ่นไอมาร!

มือของเขาขยับฉับไว หยิบดาบคู่กายขึ้นมาและคว้ากระดาษยันต์เวทออกมา ฝืนโคจรลมปราณอย่างเร่งด่วน ก่อนจะปาแผ่นยันต์ออกไปนอกหน้าต่าง พลันปรากฏม่านพลังโปร่งใสแผ่ขยายออกไปห่อหุ้มจวนอ๋องไว้ทั้งหมด

อัก!..

ร่างของจางอี้หมิงสั่นเล็กน้อย ก่อนจะกระอักโลหิตออกมา!

“คุณชาย!”

ซงเอ๋อร์ร้องเสียงหลง รีบเข้ามาประคองร่างของเขาไว้ นางหยิบผ้ามาเช็ดโลหิตจากริมฝีปากของเขาด้วยความเป็นห่วง “คุณชายเป็นอะไรเจ้าคะ?”

จางอี้หมิงส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร”

ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ซงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินไปเปิดประตู พบว่าเป็น หวงจื่อรั่ว นางยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าจริงจัง “มีธุระด่วนต้องสอบถามคุณชาย”

จางอี้หมิงพยักหน้า "เข้ามาเถอะ"

หวงจื่อรั่วเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ซงเอ๋อร์ลอบมองอยู่เงียบ ๆ หวงจื่อรั่วคารวะก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อครู่ ข้าเห็นแสงประหลาดเหนือจวนอ๋อง จึงรีบมาดู”

จางอี้หมิงโบกมือ “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่ใช้ม่านพลังป้องกัน” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อครู่มีไอมารผ่านมา ให้เจ้าเฝ้าระวังตัว ห้ามออกจากเขตบริเวณจวนโดยเด็ดขาด”

“ไอมาร?”

“ใช่ เจ้าแค่สอดส่งอยู่บนหลังคาตามปกติที่เจ้าชอบทำนั่นแหละ แต่ห้ามออกจากเขตจวนเด็ดขาด”

หวงจื่อรั่วรับคำ “เข้าใจแล้ว” นางมองจางอี้หมิงด้วยแววตาห่วงใย “ท่านไม่เป็นไรแน่หรือ?”

จางอี้หมิงยิ้มบาง ๆ “ข้าไม่เป็นอะไร”

เมื่อหวงจื่อรั่วได้ยินเช่นนั้น นางจึงพยักหน้าก่อนจะหมุนกายเดินออกไป

ซงเอ๋อร์ปิดประตู แล้วกลับมานั่งข้างจางอี้หมิง “มีไอมารแบบนี้ จะอันตรายหรือไม่เจ้าคะ?”

จางอี้หมิงถอนหายใจเบา ๆ “ไม่น่ามีปัญหากับบ้านเรา มีแค่กลิ่นไอมารแต่ยังไม่มีไอสังหาร น่าจะไม่เกิดอันตราย ข้าเพียงแค่ป้องกันไว้”

ซงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณชายฝืนตัวเองอีกแล้ว” ก่อนจะลุกขึ้นหยิบดาบของเขาไปแขวนเก็บไว้ที่เดิม

จากนั้นหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้คุณชายเข้านอนได้แล้วเจ้าค่ะ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status