Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 31 ที่แท้ก็...ซุนสีห่าว

Share

บทที่ 31 ที่แท้ก็...ซุนสีห่าว

ซุนสีห่าว!

คนผู้นั้นคือซุนสีห่าว บุตรชายรองเจ้ากรมคลัง ผู้มีฐานะเป็นศิษย์ระดับศูนย์ของสำนัก และเป็นว่าที่คู่หมั้นของจางหลันซือ ผู้เป็นน้องสาวของจางอี้หมิง

จางอี้หมิงเห็นหน้าแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เป็นคู่หมั้นของน้องสาวยังพอจะนับญาติได้ แต่ตอนอยู่ในสำนักดันวางตัวเป็นศัตรูกับเขา และชอบมีปัญหากับแม่นางหลินหนิงและแม่นางหวงจื่อรั่วคนงาม คนผู้นี้ยิ่งไม่น่าคบหา

“พวกเจ้าคิดจะโกงข้าหรือไง!?”

เสียงของซุนสีห่าวดังลั่นด้วยสีหน้าเดือดดาลกับลูกสมุนสองคนที่ใบหน้ามีบาดแผล

รอบตัวเขามีชายฉกรรจ์ในชุดสีเข้มยืนล้อมไว้ สีหน้าของพวกนั้นเรียบเฉยแต่แววตาเย็นชา

จางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าลูกสุนัขนั่นทำอะไรอีกแล้ว?”

ซ่งอินยิ้มขบขัน “ดูเหมือนจะเสียพนันแล้วโวยวาย”

“หึ นี่เป็นเรื่องปกติของสำนักบ่อนเบี้ย” จางอี้หมิงพัดพัดในมือเบาๆ

“เราควรช่วยพวกเขาดีหรือไม่?”

“รอให้เขาใกล้ตายก่อนค่อยออกไปช่วยก็ยังไม่สาย”

ซ่งอินเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เพราะเหตุใด?”

“วีรบุรุษย่อมเปิดเผยตัวเป็นคนสุดท้าย” จางอี้หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ซ่งอินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วทั้งสองก็หันกลับมาให้ความสนใจกับโต๊ะพนันของตนเอง

เจ้ามือเขย่าถ้วยลูกเต๋าแล้วเปิดออก พบว่าเป็นแต้มต่ำ ตามที่จางอี้หมิงเสี่ยงทายไว้ เขายิ้มพลางกวาดเงินรางวัลมาเก็บ

แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงเดิมพันรอบต่อไป พลันเสียง “โครม!” ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คน

ร่างของซุนสีห่าวถูกจับโยนลงมาจากชั้นสอง ร่วงกระแทกพื้นชั้นล่างอย่างแรง ตามมาด้วยร่างของสมุนอีกสองคนของเขาที่ถูกโยนตามลงมาเหมือนเศษขยะ

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ แล้วรีบเก็บเงินเข้าถุง “เราไปมุงดูกันเถอะ”

ซ่งอินพยักหน้า ก่อนทั้งสองจะเดินไปยังที่เกิดเหตุ

ซุนสีห่าวนอนครางด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนฝุ่นและเลือดเล็กน้อย แต่แทนที่เขาจะหวาดกลัว เขากลับตะโกนลั่น

“ข้าจะให้บิดาเล่นงานพวกเจ้า!”

ทว่า ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ ชายร่างสูงในชุดสีเข้มก็ก้าวออกมาจากกลุ่มผู้คุมสำนักบ่อนเบี้ย เขามีดวงตาคมกริบและใบหน้าที่เต็มไปด้วยอำนาจ

“ที่แท้ก็เป็นคุณชายซุน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ซุนสีห่าวกัดฟันแน่น “รู้จักข้าแล้วแต่ยังกล้าทำเช่นนี้? ได้เห็นดีแน่!”

ชายคนนั้นเพียงแค่หัวเราะเบาๆ “พ่อของคุณชายเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ก็จริง แต่ที่นี่คือสำนักบ่อนเบี้ย และที่สำนักบ่อนเบี้ยก็มีกฎเกณฑ์ของตนเอง ผู้ที่รับกฎเกณฑ์ไม่ได้… ก็ต้องถูกโยนออกไป”

จางอี้หมิงยืนมองด้วยความบันเทิงจิต

ซุนสีห่าวหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ก่อนที่เขาจะได้โต้แย้งใดๆ ผู้คุมก็หันไปสั่งลูกน้องเสียงเรียบ

“ทุบตีพวกมันซะ”

ชายฉกรรจ์หลายคนกรูเข้ามาอย่างไม่รีรอ ซุนสีห่าวและสมุนของเขาถูกจับกดกับพื้น ก่อนที่หมัดหนักๆ จะกระแทกเข้ากับร่างกายของพวกเขา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงม

จางอี้หมิงที่ยืนมองอยู่พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะโบกพัดเบาๆ แล้วก้าวออกไปด้านหน้า ซ่งอินมองตาม คาดเดาในใจว่านี่คงเป็นเวลาของวีรบุรุษแล้ว

“ท่านผู้คุมร้อนใจสิ่งใดกัน?”

ทุกคนหันมามองเขา ผู้คุมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มสบายๆ ยืนอยู่ตรงหน้า “คุณชายมีสิ่งใด?”

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “คุณชายน้อยผู้นี้ทำอะไรให้พวกท่านถึงต้องลงโทษกันถึงเพียงนี้?”

ผู้คุมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “คุณชายซุนไม่ยอมจ่ายเงินที่เสียพนัน แล้วยังกล่าวหาว่าทางสำนักบ่อนเบี้ยของเราโกง”

จางอี้หมิงฟังแล้งครุ่นคิดในใจ “พวกเจ้าก็โกงจริงๆ นั่นแหละ”

จางอี้หมิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แล้ว… จำนวนเงินเท่าไหร่?”

“หนึ่งร้อยตำลึง”

จางอี้หมิงหยิบถุงเงินออกมา แล้วโยนให้ผู้คุม

“ข้าจ่ายแทนเขา”

ซุนสีห่าวที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นเงยหน้ามองเขาด้วยความตกตะลึง

จางอี้หมิงโน้มตัวลงไป พลางพูดเสียงเบาแต่ก้องกังวาน “ชีวิตสุนัขน้อยๆ ของเจ้าถูกบิดาช่วยไว้แล้ว”

ซุนสีห่าวกัดฟันแน่น “ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วย!”

จางอี้หมิงหัวเราะ แล้วหันไปหาผู้คุม “ข้าขอเงินคืน แล้วพวกท่านเอาชีวิตสุนัขเหล่านี้ไปเถอะ”

ซุนสีห่าวหน้าซีดเผือด รีบร้องออกมา “ข้ายอมแล้วๆ!”

จางอี้หมิงยิ้มพอใจ “ดี เช่นนั้นไปทำสัญญากันข้างนอก”

               เขาเดินนำซุนสีห่าวออกไปโดยไล่สมุนของอีกฝ่ายไปให้เหลือแค่พวกเขาสองคน จากนั้นจางอี้หมิงก็นำกระดาษออกมาเขียนสัญญาเงินกู้

จากนั้นจางอี้หมิงจับมือที่เปื้อนเลือดของซุนสีห่าว ประทับลายมือลงไปบนสัญญา

จางอี้หมิงยิ้ม ก่อนจะเขียนตัวเลขที่ด้านหลัง

“หนึ่งหมื่นตำลึง”

               ซุนสีห่าวอ้าปากค้าง “เจ้า… คดโกงข้า!”

               จางอี้หมิงสะบัดพัดเบาๆ แล้วตวาดเสียงเย็น “หรือเจ้าจะให้ข้าจับตัวเจ้าไปส่งให้สำนักบ่อนเบี้ย?”

               ซุนสีห่าวหน้าถอดสี ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำใจ

จางอี้หมิงเก็บสัญญานั้นไว้ แล้วโบกมือ “กลับไปได้แล้ว”

ซุนสีห่าวกัดฟันเดินจากไปด้วยความเจ็บปวด

ซุนสีห่าวเดินโซเซไปตามทาง ถนนที่ทอดยาวจากเขตสำนักบ่อนเบี้ยไปยังจวนสกุลซุนเงียบเหงากว่าปกติ บาดแผลบนร่างกายของเขายังปวดระบม ขณะที่ฝ่าเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

ทันใดนั้น เสียงกุบกับของเกือกม้าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนมาหยุดลงที่เบื้องหน้า รถม้าคันนั้นประดับด้วยลวดลายงดงาม สัญลักษณ์บนผ้าม่านแสดงถึงฐานะสูงส่งของเจ้าของ

ซุนสีห่าวขมวดคิ้วเล็กน้อย พลันมีชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สะอาดสะอ้านก้าวลงมาจากรถ เขาถือกระปุกยาขนาดเล็กในมือ ก่อนจะยื่นให้ซุนสีห่าวด้วยสีหน้านอบน้อม

“คุณหนูของข้าเห็นว่าคุณชายบาดเจ็บ จึงสั่งให้มอบยานี้ให้”

ซุนสีห่าวชะงักไปชั่วครู่ สายตากวาดมองไปยังรถม้า ก่อนจะยื่นมือออกไปรับกระปุกยา น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความระแวงเล็กน้อย

“ขอบคุณ…”

ขณะนั้นเอง ผ้าม่านรถม้าด้านข้างถูกแง้มขึ้นเพียงเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าของสตรีนางหนึ่ง แม้จะเห็นเพียงครึ่งเดียว แต่ดวงตางามคู่นั้นก็สะท้อนประกายชัดว่างามยิ่ง

ซุนสีห่าวเพ่งมองไปยังม่านที่เปิดอยู่ แต่ก่อนที่เขาจะได้มองเห็นชัดขึ้น ผ้าม่านก็ดึงปิดดังเดิม เขายืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกำกระปุกยานั้นไว้แน่นแล้วก้าวเดินจากไป

ไม่กี่เค่อก่อนหน้านั้น ภายในรถม้าหรูหรา บรรยากาศเงียบสงบ จางหลันซือ นั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง ขณะที่ซงเอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม รถม้ากำลังเคลื่อนตัวไปตามถนนกลับสู่จวนสกุลจาง

               จางหลันซือเอนกายพิงเบาะ นางเพิ่งออกจากสำนักศึกษาหยูเทียนในวันนี้ ทว่าขณะกำลังมองออกไปด้านนอก ก็เห็นร่างของใครบางคนผ่านสายตาไป

นางขยับตัวตรงขึ้นเล็กน้อย มือเรียวเลิกผ้าม่านขึ้นให้สูงขึ้นอีกหน่อย ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

“นั่นท่านพี่หนิ?”

ซงเอ๋อร์ที่กำลังนั่งนิ่ง ได้ยินดังนั้นก็รีบเอนตัวเข้ามาใกล้ พยายามมองลอดผ่านช่องม่านแคบๆ ทว่าเห็นได้ไม่ชัด นางถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“คุณหนูเห็นอะไรหรือเจ้าคะ?”

จางหลันซือยังคงจ้องไปด้านนอก ก่อนจะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าจางอี้หมิง เขาสวมอาภรณ์ที่ยับย่นและเปรอะเปื้อนเล็กน้อย อีกทั้งยังมีท่าทางอ่อนแรงคล้ายบาดเจ็บ

“ทำไมคนผู้นั้นถึงดูบาดเจ็บนัก ท่านพี่เป็นคนทำหรือ?” จางหลันซือพึมพำกับตัวเอง แต่ซงเอ๋อร์ได้ยินเข้า นางจึงรีบพูดเสียงหนักแน่น

“คุณชายใหญ่เป็นคนดี ไม่มีทางทำร้ายผู้อื่นก่อนแน่เจ้าค่ะ!”

จางหลันซือหัวเราะคิกคัก หันไปมองซงเอ๋อร์ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“ปกป้องกันดีเสียจริงนะ พี่สะใภ้!”

“คะ…คุณหนู!” ซงเอ๋อร์หน้าแดงจัด รีบก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตา จางหลันซือหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเลิกม่านขึ้นอีกครั้ง มองดูชายหนุ่มผู้บาดเจ็บที่กำลังเดินจากไป

จางหลันซือเห็นเช่นนั้นจึงสั่งให้คนขับรถม้าเร่งตามไป รถม้าขยับตัวเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ตามชายหนุ่มผู้นั้นจนทัน จางหลันซือจึงสั่งให้หยุดรถ

“ส่งยาให้เขา”

คนขับรถม้าพยักหน้ารับ ก่อนจะก้าวลงจากรถและเดินไปหาซุนสีห่าว

จางหลันซือเองก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าสีหน้าของชายผู้นั้นเป็นเช่นไร นางจึงค่อยๆ เปิดม่านขึ้นเล็กน้อย แอบมองออกไปข้างนอก

แต่เมื่อแอบมองแล้วก็พบว่า ดวงตาของบุรุษผู้นั้นก็หันหน้ามาที่นางเหมือนกัน

จางหลันซือรู้สึกเหมือนถูกจับได้ นางรีบสะบัดมือปิดม่านลงทันที

ซงเอ๋อร์ที่เห็นท่าทีของนายหญิงตัวน้อยก็อดสงสัยไม่ได้ “เป็นใครหรือเจ้าคะ?”

“ข้าเองก็ไม่รู้จัก”

จากนั้นจางหลันซือก็ให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไปยังจวนสกุลจาง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status