/ แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 32 กุลสตรีนอกตำรา

공유

บทที่ 32 กุลสตรีนอกตำรา

ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกัน

บรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดี

จางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามี

จางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”

จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

หลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น

“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”

เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อย

จางอี้หมิงถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างสงบ “ข้าไม่เคยเที่ยวหอคณิกา”

แม้ว่าภายในใจเขาจะครุ่นคิดว่า “ความจริงข้าเคยไปหอคณิกาก็จริง แต่ก็มิใช่เรื่องที่ควรพูดต่อหน้าแม่นางซงเอ๋อร์”

ซงเอ๋อร์ หญิงสาวข้างกายของเขาได้ยินสิ่งที่จางอี้หมิงพูดว่าไม่เคยเที่ยวหอคณิกา ดังนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่จางอี้หมิงเหลือบตามองก่อนจะถามน้องสาว

“ข้าทำสิ่งใด?”

จางหลันซือวางตะเกียบแล้วกล่าวขึ้น “เห็นพี่ใหญ่ทำร้ายผู้คนหน้าสำนักบ่อนเบี้ย”

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าเพียงแค่ทำสัญญาบางอย่างกับสุนัขเท่านั้น”

หลี่เอ้อเหมียวที่นั่งอยู่ข้างจางส่วงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หากไม่มีอะไรแล้ว ก็ทานข้าวกันเถอะ”

เป็นที่รู้กันดีว่านางมักทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างพี่น้องสองคนบนโต๊ะอาหาร นางหันมาทางจางหลันซือแล้วกล่าวขึ้น

“พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเจ้า เจ้าต้องไปดูตัวกับคุณชายซุน บุตรชายรองเจ้ากรมคลัง”

จางอี้หมิงที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่ได้ยินก็กลั้นขำเบาๆ

“ซุนสีห่าว?”

จางหลันซือชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบกล่าวขึ้น “ข้าไม่อยากไป!”

นางหันไปหาจางอี้หมิงแล้วอ้อนวอน “พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย”

แต่จางอี้หมิงเพียงเคี้ยวน่องเป็ดอยู่โดยไม่ได้ตอบอะไร

จางหลันซือกัดฟันแน่น ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะหาคนรักของตัวเอง!”

“ไม่มีสตรีคนใดพึงพอใจที่ถูกคลุมถุงชน” จางหลันซือกล่วขึ้น แล้วหันหน้าไปทางแม่นางซงเอ๋อร์ “เจ้าคิดว่าจริงหรือไม่?”

ซงเอ๋อร์หน้าแดงจัด ก่อนจะตอบเสียงเบา “หากเป็นคุณชายใหญ่ ข้าน้อยยินดี”

จางหลันซือฟังแล้วรู้สึกหมดหวัง นางวางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นเดินกลับห้องไปทันที

จางอี้หมิงเคี้ยวอาหารเสร็จ แล้วกล่าวกับซงเอ๋อร์ว่า “เจ้ากล่าววาจาดียิ่ง วันนี้ที่เดิมข้ามีรางวัลให้เจ้า”

ซงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมสีหน้าแดงก่ำ

หลังจากทานอาหารเสร็จ จางอี้หมิงแอบคีบอาหารจานหนึ่งแล้วเดินตรงไปยังห้องของจางหลันซือ

เขายืนอยู่หน้าห้องของนาง ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ

“ยัยผีน้อย ข้าเอาของกินมาให้”

ประตูเปิดออกเล็กน้อย ก่อนที่มือเรียวของจางหลันซือจะยื่นมาหยิบจานไป จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นถาม

“ทำไมพี่ใหญ่ไม่ช่วยข้า?”

จางอี้หมิงถอนหายใจ “ในสังคมคร่ำครึของอาณาจักรต้าเฉิง ฝ่ายชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์ถอนหมั้น”

จางหลันซือขมวดคิ้ว "หมายความว่าอย่างไร?"

จางอี้หมิงยกยิ้มมุมปาก “พรุ่งนี้เจ้าไปดูหน้าเจ้าซุนสีห่าวนั่นก่อน แล้วก็ทำอะไรก็ได้ให้เขารังเกียจเจ้า จากนั้นให้ครอบครัวฝ่ายชายเป็นผู้บอกถอนหมั้น นี่เป็นทางออกเดียวในเวลานี้”

จางหลันซือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวเบาๆ “ขอบคุณพี่ใหญ่”

นางปิดประตูลงเบาๆ ขณะที่จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่หน้าห้องครู่หนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ

“ซุนสีห่าวผู้นี้เป็นคนถือดี เจอสตรีนอกตำรากุลสตรีย่อมมิชอบ”

จากนั้นเขาจึงเดินกลับห้องของตนไปอย่างสงบ ในค่ำคืนนี้เขาก็นอนกอดแม่นางซงเอ๋อร์ภายใต้ผ้าห่มเช่นเดิม ไม่ได้ไปสำนักสังคีตตามเป้าหมายอีกหนึ่งวัน

เช้าวันต่อมา จางหลันซือ ถูกแม่นมหยงและบรรดาสาวใช้ช่วยกันแต่งตัว นางถูกจับใส่ ชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ปักลวดลายดอกเหมยอย่างละเอียด ผ้าผืนบางทิ้งตัวอย่างอ่อนช้อยให้ความรู้สึกนุ่มนวลดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิ แขนเสื้อกว้างพลิ้วไหวเมื่อขยับตัว

เส้นผมดำขลับของนางถูกรวบขึ้นครึ่งศีรษะ ปักปิ่นดอกเหมยทองคำที่ประดับด้วยไข่มุกสีชมพูอ่อนรับกับชุด เผยให้เห็นลำคอระหง ผิวพรรณขาวเนียนของนางถูกแต้มด้วยแป้งหอมบางๆ ริมฝีปากแต้มสีชมพูระเรื่อรับกับแก้มที่มีสีชมพูอ่อนตามธรรมชาติ

เมื่อแต่งตัวเสร็จ สาวใช้ต่างชื่นชมความงามของจางหลันซือ นางดูราวกับเทพธิดาดอกเหมย งดงามหมดจดราวกับออกมาจากภาพวาดโบราณ

จางหลันซือถูกพาตัวขึ้นรถม้าเพื่อไปดูตัวกับ ซุนสีห่าว บุตรชายรองเจ้ากรมคลัง จางอี้หมิง ในวันนี้แต่งตัวอย่างธรรมดาราวกับเป็นเพียงคนรับใช้ เขานั่งอยู่ที่หน้ารถม้า รับบทเป็นสารถีชั่วคราว

เมื่อจางหลันซือเห็นพี่ชายแต่งตัวเช่นนี้ก็ถามขึ้น “พี่ใหญ่ ทำไมถึงแต่งตัวเช่นนี้?”

จางอี้หมิงเลิกคิ้วพลางตอบเสียงเรียบ “ซุนสีห่าวผู้นั้นเป็นลูกชายของรองเจ้ากรมคลัง มีอำนาจสูงในวงราชการ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นศิษย์ของสำนักเทียนหยาง หากเกิดอะไรขึ้น ข้าสามารถใช้อิทธิพลของสำนักเทียนหยางช่วยสะสางได้”

จางหลันซือพยักหน้าช้าๆ แล้วกล่าว “เช่นนั้นข้าฝากพี่ใหญ่ด้วย”

ขณะนั้น ซงเอ๋อร์ ที่ต้องติดตามจางหลันซือไปในรถม้า นางยิ้มบางๆ ให้จางอี้หมิงทีหนึ่ง จางอี้หมิงก็มองนางพลางยิ้มตอบ 

“ความจริงข้ามาดูแลเจ้าต่างหาก” จางอี้หมิงคิดในใจ “บุตรชายของรองเจ้ากรมคลังหรือจะกล้ามีปัญหากับบุตรสาวอ๋องสกุลจาง...แต่ถ้าเป็นเจ้าก็ไม่แน่”

จากนั้นจางอี้หมิงก็ขับรถม้าออกไป ทว่ารถม้านั้นมิได้ตรงไปยังจุดหมายในทันที แต่กลับอ้อมไปมาอยู่เป็นเวลาหลายก้านธูป จนจางหลันซือรู้สึกผิดปกติ

“พี่ใหญ่ ขับอ้อมทำไม?” จางหลันซือถามขึ้นอย่างสงสัย

จางอี้หมิงยิ้มมุมปากแล้วตอบสบายๆ “กุลสตรีนอกตำราย่อมต้องไปสาย”

จางหลันซือร้อง “อ๋อ…เป็นเช่นนี้” แล้วหัวเราะเบาๆ นางเข้าใจความหมายของพี่ชายดี

หลังจากขับอ้อมไปนาน ในที่สุดรถม้าก็มาถึงหน้าร้านอาหารใหญ่แห่งหนึ่ง ภายนอกหรูหรา โอ่อ่าสมกับเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับการพบปะของชนชั้นสูง

ขณะที่รถม้าหยุดลง จางหลันซือไม่รอให้สาวใช้เปิดประตู นาง ยกเท้าถีบประตูรถม้าออกเต็มแรง เสียงกระทบไม้ดังสนั่นหวั่นไหว

ปัง!

จางอี้หมิงที่กำลังจับบังเหียนม้ามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง เขาไม่คิดว่าน้องสาวของตนจะเล่นใหญ่ถึงเพียงนี้

ซงเอ๋อร์ ที่ยืนอยู่ด้านข้างหัวเราะเบาๆ นางกล่าวขึ้น “คุณหนูซ้อมเป็นกุลสตรีนอกตำรา”

จางอี้หมิงพยักหน้าช้าๆ แล้วแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ “น้องสาวข้ารู้งานยิ่งนัก”

จางหลันซือ เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของร้านอาหาร ในใจนางครุ่นคิดถึงแผนการที่จะทำให้ซุนสีห่าวรังเกียจนางจนถึงขั้นต้องเป็นฝ่ายถอนหมั้น

เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องรับรอง นางพบเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งด้วยสีหน้าหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ สีหน้าของเขามีร่องรอยบอบช้ำจางๆ ดูเหมือนเพิ่งมีเรื่องกับใครบางคนมาไม่นาน

จางหลันซือก้าวเข้าไปแล้ว นั่งลงโดยไม่ย่อตัวทักทายตามธรรมเนียม นางกล่าวห้วนๆ ว่า

“ท่านคือซุนสีห่าวใช่หรือไม่? ถ้าใช่ก็รีบคุยรีบกลับ!”

ซุนสีห่าว เงยหน้าขึ้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ทว่าเมื่อเห็น ใบหน้างดงามราวเทพธิดาของจางหลันซือ ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความตะลึงงันราวต้องมนตร์สะกด

“เจ้า…” เขามองนางอย่างพินิจพลางรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด

ทางด้านจางหลันซือ เมื่อได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า นางก็เบิกตากว้างทันที!

“นี่มัน…! คนที่ข้าให้ยาทาแผลเมื่อวาน!”

นางสะกดสีหน้าไว้และครุ่นคิดในใจ “ถึงว่าล่ะ พี่ใหญ่ถึงได้ติดตามมาด้วย... ที่แท้ก็โจทย์เก่า คนผู้นี้จะล้างแค้นข้าหรือเปล่าเนี่ย?”

ซุนสีห่าว กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความโกรธเมื่อครู่พลันสลายไปหมดสิ้น เขายืดตัวขึ้นก่อนกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ถูกต้อง ข้าคือซุนสีห่าว แม่นางคือจางหลันซือใช่หรือไม่?”

“ใช่ ข้าเอง” จางหลันซือตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ซุนสีห่าวยิ้มบางๆ ก่อนกล่าว “แม่นางคงติดปัญหาระหว่างทางเลยมาช้า?”

“อืม” นางตอบสั้นๆ พลางครุ่นคิด “เหตุใดคนผู้นี้ยังคงใจเย็นอยู่? นี่ไม่เหมือนที่คิดไว้เลย…สงสัยต้องเพิ่มความเป็น 'กุลสตรีนอกตำรา' ให้มากกว่านี้”

จากนั้น นางยกจอกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะบ้วนออกมาโดยไม่สนใจอะไร

เพี๊ยะ!

น้ำกระเซ็นเปื้อนโต๊ะ ซุนสีห่าวกระพริบตา แต่กลับไม่แสดงท่าทีรังเกียจ เขายังจ้องมองนางด้วยสายตาหลงใหล

“เราสองคน… เคยเจอกันมาก่อนหรือไม่?” ซุนสีห่าวเอ่ยถาม

จางหลันซือรีบตอบทันที "ไม่ ข้าไม่เคยเจอท่าน!"

“ข้าคิดว่าเราเคยเจอกันมาก่อน หรือนี่เป็นพรหมลิขิตจากเบื้องบน เราควรแต่งงานกันเลยดีหรือไม่” ซุนสีห่าวกล่าวอย่างไม่คิด

“!!!”

ขนทั้งร่างของจางหลันซือลุกชันทันที!

นางเด้งตัวขึ้น “ข้าขอตัว!” ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไปอย่างไม่คิดชีวิต!

“แม่นางคนสวย เจ้ารอข้าด้วย!”

ซุนสีห่าวตะโกนตามหลัง ก่อนจะ วิ่งไล่ตามออกไป!

จางหลันซือรีบลงบันไดด้วยความเร็วสูง นางเห็น จางอี้หมิง ยืนกอดอกอยู่ที่หน้าร้าน จึง พุ่งไปหลบหลังพี่ชายทันที!

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status