Beranda / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 33 การประลองวิชาทวน

Share

บทที่ 33 การประลองวิชาทวน

“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”

“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้ว

ทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิง

จากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!

“พี่เขย!!”

“...”

“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”

จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!

เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ

“เกิดอะไรขึ้น?”

จางอี้หมิง ถามขึ้นขณะนั่งลงตรงข้ามนาง

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!” จางหลันซือขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม

“ข้าทำสิ่งที่ทุเรศสายตาที่สุดเท่าที่คิดได้ไปแล้ว! แต่มันกลับไม่สนใจ ซ้ำยังดูชอบข้ามากขึ้นอีก! หรือว่าข้าต้องกลับไปทำตัวเรียบร้อย?”

จางอี้หมิงฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่

“ตอนซุนสีห่าวอยู่สำนักเทียนหยาง เขาก็ไม่น่าจะชอบกุลสตรีนอกตำรานะ?”

ขณะที่ทั้งสองพี่น้องกำลังขบคิดอยู่นั้น เหล่าหวง พ่อบ้านสกุลจาง ก็รีบเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน

“คุณหนู มีคนมาขอพบท่านขอรับ”

“ใคร?” จางหลันซือขมวดคิ้วถาม

“เห็นว่าชื่อ ซุนสีห่าว…”

จางอี้หมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันมาสั่งเสียงเข้ม “เจ้าไปหลบในบ้านก่อน!”

แม่นางซงเอ๋อร์คนงาม รีบเข้ามาพาตัวจางหลันซือออกไป จางอี้หมิงมองตามนางกายน้อยๆ ของซงเอ๋อร์ที่สะโพกบิดไปมาอย่างชื่นชม

จากนั้นจางอี้หมิงหันกลับมาหาเหล่าหวง แล้วกล่าวเสียงเรียบ

“ไปตามลูกสาวท่านมา”

แต่ไม่ทันที่เหล่าหวงจะเดินออกไป 

“ไม่ต้องตาม ข้ามาเองได้!”

เสียงหนึ่งดังมาจากด้านบน หวงจื่อรั่ว บุตรสาวของเหล่าหวง พลิกตัวลงจากหลังคาอย่างว่องไว แล้วลงมายืนต่อหน้าพวกเขา

จางอี้หมิง ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ร้อนหรือไง ไปนอนเล่นบนหลังคาทั้งวัน”

“ข้ากำลังทำหน้าที่” หวงจื่อรั่วตอบเบาๆ

จางอี้หมิงส่ายหัวก่อนจะกล่าวเสียงหนัก “ตอนนี้ซุนสีห่าวทำตัวประหลาดมาก ต้องระวังตัวไว้ให้ดี ระดมพลทั้งจวนมาที่ประตูใหญ่!”

จากนั้นจางอี้หมิงและพวกก็มาที่หน้าประตูใหญ่ จางอี้หมิงถือดาบเตรียมพร้อม หวงจื่อรั่วก็ถือทวนเตรียมพร้อม ทหารองครักษ์หลายคนในจวนก็เข้าประจำตำแหน่ง ทุกคนยืนอย่างแข็งขัน

จากนั้นจางอี้หมิงหันไปพยักหน้าให้ เหล่าหวง เป็นสัญญาณให้เปิดประตู เมื่อประตูจวนเปิดออกก็พบว่า…

ซุนสีห่าวยืนอยู่หน้าประตู พร้อมขบวนรถขนดอกไม้หลากสี!

“ข้าน้อยคารวะพี่เขย”

เสียงของซุนสีห่าวดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“เจ้ามาทำไม?”

“ข้าขอมอบดอกไม้เหล่านี้ให้แม่นางหลันซือ”

“เจ้าเป็นบ้าอะไร!?” จางอี้หมิงถามเสียงหนักแน่น “นี่เจ้าโดนวิชาอะไรเล่นงานมา?”

ซุนสีห่าวยิ้มกว้าง ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น

“วิชามารอันใดเล่า หากจะโดนก็คงโดนสเน่ห์ของแม่จางคนงาม ข้าตกหลุมรักน้องสาวท่านแล้ว!”

“…”

จางอี้หมิงถึงกับ อึ้งจนพูดไม่ออก

ขณะที่จางอี้หมิงยังยืนอึ้งอยู่นั้น ซุนสีห่าวก็หันไปส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ของเขา

คนเหล่านั้นเริ่ม ขนดอกไม้เข้าไปในจวน จางอี้หมิงก็พยักหน้าเหมือนอนุญาตด้วยความมึนงง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซุนสีห่าวก็ โค้งคำนับ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าขอตัวก่อน พี่เขย!”

จากนั้น เขาหมุนตัวเดินจากไป… ทิ้งไว้เพียงกองดอกไม้ที่เต็มไปหมดในจวน!

จางอี้หมิง ยืนกอดอกมองกองดอกไม้ตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจยาว “เจ้าลูกเต่านั้นมันคิดอะไรอยู่กันแน่?”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเดินไปหยิบช่อดอกไม้มาหนึ่งช่อ แล้วหยิบ ขวดน้ำยาตรวจสอบพิษ ออกจากแขนเสื้อ เปิดฝาขวดแล้วค่อยๆ เทลงบนกลีบดอกไม้อย่างระมัดระวัง

ดอกไม้ยังคงเป็นสีสันสดใส ไม่เปลี่ยนสี ไม่เกิดฟอง หรือมีควันลอยออกมา

“ไม่มียาพิษ…” จางอี้หมิงพึมพำ ก่อนจะยกดอกไม้ขึ้นมาสูดดม “แถมไม่มีกลิ่นไอมารซ่อนอยู่ด้วย?”

หลังจากมั่นใจว่าดอกไม้ไม่เป็นอันตราย จางอี้หมิงก็ถือช่อดอกไม้นั้นเดินเข้าไปในเรือน

ภายในเรือน จางหลันซือ กำลังนั่งกอดเข่าหลบอยู่ที่มุมห้อง ราวกับกำลังพยายามหลบเลี่ยงภัยคุกคามด้านนอกอยู่

จางอี้หมิงมองน้องสาวก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ แล้วพูดขึ้นลอยๆ

“มีบุตรชายไม่เอาไหนของคุณนางใหญ่ ส่งดอกไม้มาหาเจ้า”ฃ

จางหลันซือเหลือบมองช่อดอกไม้ในมือพี่ชาย ก่อนจะ เบ้ปาก แล้วเบือนหน้าหนี

“ท่านจะรับมันมาทำไม?” นางถามอย่างไม่พอใจ

“ข้าเห็นว่ามันสวยดี” จางอี้หมิงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ในนี้ไม่มีพิษ และไม่มีวิชามารซ่อนอยู่ ดูท่าลูกเต่านั่นจะชอบเจ้าจริงๆ”

“ชอบก็เรื่องของเขา ข้าไม่สน!” จางหลันซือเชิดหน้าขึ้นแล้วสะบัดแขนอย่างไม่แยแส

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่สนใจหรือ? น่าเสียดายจริงๆ…”

เขามองดอกไม้ในมือครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปทาง ซงเอ๋อร์ ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ว ยื่นช่อดอกไม้ให้นาง พร้อมกับกล่าวว่า

“ดอกไม้สวยเหมาะกับคนงามเช่นเจ้า”

ซงเอ๋อร์มองดอกไม้ในมือจางอี้หมิง ก่อนจะ ส่ายหน้าช้าๆ “นี่เป็นของคุณหนูหลันซือ” นางกล่าวเสียงเรียบ

ทันใดนั้นเอง จางหลันซือก็ลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อแรงๆ แล้วพูดออกมาสั้นๆ

“เหม็น!”

จากนั้นนางก็ หมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้จางอี้หมิงและซงเอ๋อร์ยืนมองตามหลังอย่างมึนงง

“เหม็น?” จางอี้หมิงพึมพำ “อะไรเหม็นกันแน่? ดอกไม้ หรือว่าซุนสีห่าว?” จากนั้นหันหน้าไปหาซงเอ๋อร์ “หรือว่าเหม็นความรักระหว่างข้ากับเจ้า?”

ซงเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินหนีไป

ยามค่ำคืน ภายในลานกว้างของ จวนสกุลจาง สายลมเย็นเอื่อยพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า ส่งเสียงกระซิบแผ่วเบาใต้แสงจันทร์สีเงิน

จางอี้หมิง กำลังฝึกซ้อมกระบวนท่าดาบอยู่เพียงลำพัง ทุกการฟัน การแทง ล้วนแม่นยำและสง่างาม ร่างสูงใหญ่เคลื่อนไหวได้ดั่งสายน้ำแต่ทรงพลังดุจพายุ

เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น หวงจื่อรั่ว ปรากฏกายในชุดซ้อมสีอ่อน ดวงหน้าคมคายของนางโดดเด่นในความมืด นางถือ ทวนเล่มยาว อยู่ในมือ

“ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ข้าไม่เคยเห็นท่านฝึกซ้อมเลย” นางกล่าวขึ้น ขณะก้าวเข้าใกล้

จางอี้หมิง หยุดดาบในมือแล้วหันมายิ้ม “วันหยุดก็ต้องหยุดสิ ข้าจะฝึกให้เหนื่อยทำไมกัน?”

“แต่พรุ่งนี้ก็ต้องกลับสำนักแล้วมิใช่หรือ?”

“อืม... เช่นนั้นข้าก็ต้องอบอุ่นร่างกายสักหน่อย”

หวงจื่อรั่ว ยิ้มบางก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น... ท่านมาประลองกับข้าดีหรือไม่?”

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ แล้วก้าวไปหยิบ ทวนไม้สองเล่ม จากลานฝึก ก่อนยื่นให้หวงจื่อรั่ว

“ข้าต่อให้ใช้วิชาทวนที่เจ้าถนัดเลยก็ได้”

หวงจื่อรั่วรับทวนมาแล้วแค่นยิ้ม "ข้าจะไม่ปรานีท่านหรอกนะ”

เมื่อทั้งสองคนพร้อมและส่งสัญญาณพร้อมกัน จางอี้หมิงหมุนทวนในมือไปมาอย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านทวน แต่ฝีมือของเขาก็หาใช่ระดับธรรมดา

หวงจื่อรั่ว ไม่รอช้า ก้าวเท้าเข้าหา พลิกทวนแล้วพุ่งเข้าจู่โจมทันที!

ฟึ่บ!

ปลายทวนแหวกอากาศเข้าใกล้ลำตัวจางอี้หมิง เขาเอนกายหลบได้ฉิวเฉียด ก่อนจะใช้ทวนรับแรงกระแทกกลับไป

ปัง!

ไม้กระทบไม้ เสียงดังก้องในลานฝึก

“หึ... ไม่เลว” จางอี้หมิงกล่าว พลางเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกบ้าง

เขาหมุนตัว แทงทวนไปข้างหน้า หวงจื่อรั่วดีดตัวถอยหลังอย่างว่องไว นางยกทวนขึ้นกันแรงโจมตีแล้วตวัดกลับด้วยความเร็วสูง

“เร็วนัก” จางอี้หมิงพึมพำ ก่อนจะกดทวนลงกับพื้นแล้วดีดตัวหลบ

หวงจื่อรั่วไม่ปล่อยโอกาสให้สูญเปล่า นาง พุ่งเข้าใกล้ แล้วใช้ปลายทวนตวัดใส่เอวของจางอี้หมิง

แต่ทว่าจางอี้หมิงคว้าปลายทวนของนางไว้ได้!

มือของเขาจับแน่นรอบท่อนทวน ทำให้ทั้งสองต้อง ยืนใกล้กันจนปลายจมูกแทบจะชนกัน

สายตาทั้งคู่สบกันโดยบังเอิญ จังหวะนั้นเองลมหายใจของหวงจื่อรั่วสะดุดไปชั่วขณะ แต่ก่อนที่ความเงียบจะยาวนานเกินไป นางกัดฟันแน่น แล้วบิดข้อมือเพื่อสะบัดทวนออกจากการยึดของเขา

ฟึ่บ!

จางอี้หมิงปล่อยมือออก “ใช้ได้ๆ”

หวงจื่อรั่วปรับลมหายใจ แล้วพุ่งเข้าจู่โจมใหม่ การประลองดำเนินต่อไปอย่างไม่มีใครยอมใคร

20 กระบวนท่า... ไม่มีใครสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้

30 กระบวนท่า... ทั้งสองเริ่มหอบเล็กน้อย แต่ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ

40 กระบวนท่า...

จางอี้หมิงพุ่งเข้าแทง แต่หวงจื่อรั่วใช้ทวนของนางเกี่ยวคอเสื้อของเขาดึงให้เซไปข้างหน้า ส่งผลให้จางอี้หมิงเสียหลักแล้วเกือบจะล้มลงไปทับนาง

จังหวะนั้นเอง ทั้งสองอยู่ในท่าที่ใกล้ชิดกันอีกครั้ง!

หวงจื่อรั่วหน้าแดงนิดๆ ก่อนจะรีบผลักเขาออก

จางอี้หมิงพลิกตัวนั่งแล้วกล่าว “ข้าเหนื่อยแล้ว”

หวงจื่อรั่วใจเต้นรัว นางไม่รู้ว่าความรู้สึกในเวลานี้คืออะไร เป็นความเหนื่อยที่แทรกซึมเข้ามา หรือเป็นเพราะจางอี้หมิงที่ใกล้ชิดนางเมื่อครู่

“เช่นนั้นก็เลิกเถอะ”

หวงจื่อรั่วกล่าวก่อนจะลุกขึ้นเก็บทวนไม้แล้วเดินจากไป

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status