บทที่ 3 ตัวแทน
ปรีดิทาถึงกับปากสั่นในความเลือดเย็นของทิวัตถ์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เธอตกหลุมรัก จนได้แต่งงานกัน
ความหวานปะแล่มๆ ไม่ได้โดดเด่นตามสไตล์คนพูดน้อยอย่างเขาทำให้หัวใจของเธอชุ่มฉ่ำได้ เธอไม่ได้ต้องการการเอาอกเอาใจ ขอแค่เขารักก็เพียงพอ ก่อนดึงตัวเองกลับมามองนงลักษณ์อย่างลำบากใจ
ฝ่ายคนที่ไม่เป็นที่ต้อนรับวางหน้าเครียด เพราะไม่อยากปล่อยให้คุณหนูอยู่ที่นี่ตามลำพัง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน กระทั่งปรีดิทาเปิดตาขึ้นหลังหลับลงเพื่อตัดสินใจ
“ตอนนี้โปรดจำเป็นต้องพึ่งเขาค่ะป้า”
นอกจากทิวัตถ์จะเลือดเย็นแล้ว เขายังสอนให้เธอเป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ในเวลานี้ทางเลือกของเธอแทบไม่มี การทำให้ลูกปลอดภัยจากหยางจินคือสิ่งสำคัญที่สุด พลางลูบข้อมือของคนที่เธอรักไม่ต่างจากบิดามารดาเป็นการขอโทษ“มันไม่นานหรอกค่ะป้า โปรดสัญญา” หลังจากนี้เธอจะรีบหาทางออกเพื่อไปให้พ้นจากเขาและหยางจิน
“ป้าเข้าใจค่ะคุณโปรด”
นงลักษณ์ส่ายหน้าช้าๆ หลังเห็นแววตารู้สึกผิดของปรีดิทา ไม่อยากให้คิดมาก เพราะใช่ว่าเธอนั้นไม่มีที่ไป เธอยังมีบ้านของหลานที่ต่างจังหวัดให้กลับไปอาศัย แต่ก็นึกห่วงคนทางนี้
“ป้ากลับไปรอโปรดที่บ้านที่ต่างจังหวัดนะคะ โปรดจะโอนเงินให้” ปรีดิทาแสนจะรู้สึกผิด เรื่องความเป็นอยู่และค่าใช้จ่ายของนงลักษณ์เธอจะจัดการให้เหมือนเคย ใจจริงก็อยากให้คนสนิทกลับไปอยู่ที่บ้านที่เพิ่งจากมา แต่มันใกล้หยางจินเกินไป และควรผลักนงลักษณ์ให้ห่างออกไป ไม่ให้คนคิดร้ายนำมาเป็นจุดอ่อน
“คุณโปรดไม่ต้องห่วงป้าหรอกค่ะ ขอแค่ดูแลตัวเองกับคุณหนูให้ดีก็พอค่ะ”
“โปรดขอโทษจริงๆ นะคะป้า”
ปรีดิทาก้มหน้าลงเป็นการขอโทษ แล้วหันไปมองคนที่เดินวนกลับมาหา
“พี่สรคะ” หญิงสาวเอ่ยเรียกสรพัศ เพราะเธอมีเรื่องจะไหว้วาน
“เดี๋ยวผมจะพาไปส่งเองครับ”
“ไว้โปรดจะโทร.หาบ่อยๆ นะคะป้า”
เมื่อร่ำลากันเสร็จกระเป๋าของนงลักษณ์ก็ถูกหิ้วไปยังรถอีกคัน มีสรพัศเป็นสารถีนำพาไปส่งยังบ้านสวนที่ต่างจังหวัด ปรีดิทายืนโบกมือลาจนรถค่อยๆ พ้นระยะสายตา
หญิงสาวยังยืนอุ้มลูกอยู่ตรงนั้นราวกับขอเวลาเตรียมใจให้เข้มแข็ง การต่อกรกับคนที่รักไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในวันหนึ่งก็คงไม่ยาก เพราะเธอกับเขาจะกลายเป็นแค่คนแปลกหน้าของกันและกัน
ก่อนจะเป่าปากแรงๆ เพราะถึงเวลาต้องขยับเท้าเข้าไปในบ้านที่เธอเคยอยู่แล้ว
แค่ก้าวเท้าลึกไปด้านในก็เห็นจารวีมายืนรออยู่เพื่อนำพาไปยังห้องนอน เป็นห้องด้านล่างที่อยู่ด้านในสุด กระเป๋าถูกนำมาวางไว้ก่อนแล้ว
ปรีดิทากวาดตามองไปรอบๆ แม้ที่นี่จะใหญ่ สะดวกสบาย แต่มันไม่ได้อุ่นใจเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เธออดสงสัยไม่ได้
“คนอื่นๆ ไปไหนกันหมดเนม” แต่ก่อนจะมีคนเก่าคนแก่ที่เป็นหัวหน้าแม่บ้านอย่างมะลิวัลย์กับหลานชาย ซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นอยู่ที่นี่ด้วย เมื่อไม่เห็นจึงนึกแปลกใจ ตอนที่รีบมาที่นี่นั้นเธอไม่ทันได้สังเกต
“คุณไท่ให้ลาออกไปแล้วค่ะ”
ปรีดิทาที่ได้ฟังนึกสงสัย เขาก็ดูรักและเคารพมะลิวัลย์มาก เหตุใดจึงให้ลาออก จำได้ว่าไม่นานมานี้เธอยังเจอกับหลานชายของอีกฝ่ายอยู่เลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องไปวุ่นวายจึงปัดตกไป ส่วนจารวีถอยหลังออกจากห้องเมื่อเจ้านายไม่ได้ต้องการให้ช่วยเหลือ
หญิงสาวจัดการวางเจ้าตัวเล็กลงบนเตียง นำที่นอนที่นงลักษณ์ใส่ถุงผ้าใบใหญ่ออกมาวางเพื่อให้ยัยตัวเล็กได้นอนหลับสบาย หลังมีแต่เรื่องวุ่นๆ ที่คงทำให้แกขวัญเสียไม่น้อย
ในครึ่งชั่วโมงต่อมาเท้าเรียวเล็กก็ก้าวออกจากพื้นที่ของตนเองตรงไปหาเขาคนนั้น
“ที่ห้องไม่มีของใช้เด็กค่ะ” ปรีดิทาตรงเข้าประเด็นทันที
คนที่นั่งถือไอแพดอยู่นั้นทำแค่เอียงคอมองสมาชิกใหม่คนเก่าของตัวเอง
“โปรดแค่มาบอกไว้ว่าหลังจากนี้โปรดต้องออกไปซื้อของให้ลูกและบางส่วนโปรดต้องกลับไปเอาที่บ้านค่ะ” เธอไม่ได้มาเรียกร้องให้เขาจัดการให้ แค่มาบอกไว้ในฐานะผู้อาศัยก็เท่านั้น
ทิวัตถ์ไม่ได้โต้ตอบ ก้มหน้ามองหน้าจอไอแพดต่อราวกับสิ่งนั้นสำคัญกว่า จนคนมองยิ้มเยาะใส่ตัวเองที่มีอาการเจ็บหัวใจ ใครเจอแบบนี้แล้วจะไม่เจ็บบ้าง ก่อนเป็นเขาที่เงยหน้ามามองเธอที่ยังไม่ยอมไปไหนอีกครั้ง
“หน้าที่ของโปรดมีอะไรบ้าง โปรดอยากรู้ขอบเขต”
เธอมีเรื่องที่ต้องการถามให้เข้าใจ และแน่นอนว่าความเงียบที่สาดมาทำให้ต้องตั้งคำถามไปอีก
“กี่ครั้ง โปรดต้องเป็นเธอกี่ครั้งกัน” แม้จะบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น ทว่ามันก็ออกอาการเล็กๆ อยู่ดี
“แล้วแต่ความอยาก” ทิวัตถ์บอกสั้นๆ ง่ายๆ มือวางไอแพดลงแล้วพิงแผ่นหลังกับพนักโซฟาเพื่อเฝ้ามองตัวแทน
“งั้นโปรดจะคิดจากวันเก่าๆ”
เมื่อเขาให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เธอจึงเป็นฝ่ายสรุป แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่น่าหยิบยกเอามาพูด นาทีต่อมาก็โยนประโยคปิดท้ายไป เพราะเธอไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
“ถ้านอกจากนั้นคุณต้องจ่าย”
“จะขาย?”
คนฟังถามเสียงหยันแล้วนึกตลก
“ขายได้เหรอวะ แต่ว่าเท่าไหร่ล่ะ” ประโยคแรกคล้ายพูดกับตัวเอง ประโยคที่สองถามอย่างเจาะจงกับคนที่กล้าเอ่ยเช่นนั้น
“...” แม้จะเป็นคนเสนอ แต่เมื่อเจอคำถามนั้นปรีดิทาก็สะอึกอยู่ไม่น้อย
“ครั้งละแสนน่าจะพอ ให้สมกับดีกรี...คุณหมอคนเก่ง” หนนี้ทิวัตถ์เป็นฝ่ายสรุปบ้าง เป็นข้อสรุปที่มีความเย้ยหยันแฝงอยู่เต็มเปี่ยม
“ถ้าจะให้ตามความสามารถ โปรดควรได้มากกว่านั้น” ปรีดิทารู้สึกคล้ายถูกกระสุนปืนกระหน่ำยิงไปทั่วร่างกาย เธอเลือกจะเก็บความเจ็บไว้ด้านใน ทว่าหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงการเป็นหมอ มันเป็นสิ่งที่เธอรักพอๆ กับเขา
“ก็แค่อดีตปะ เท่านี้ก็พอแล้ว” ทิวัตถ์ถามให้คิด
“แต่โปรดต้องเป็นเธอ ไม่ใช่ตัวเอง โปรดต้องได้แบบสมน้ำสมเนื้อ โปรดจะไม่ยอมขาดทุน คุณเองก็คงไม่คิดโกงโปรดหรอกใช่ไหมคะ คุณหมอไท่คนดี” ครั้งนี้ปรีดิทาขอประชดเขากลับบ้าง และจะไม่ยอมเด็ดขาด
“เดี๋ยวนี้ปากเก่งนะ ไม่เห็นเหมือนแต่ก่อน” คนที่ได้ฟังถ้อยคำแสบราวกับมดกัดทวงถาม หรือนี่คือตัวตนจริงๆ ของปรีดิทา
“คุณเองก็ไม่เหมือนแต่ก่อน” เขาไม่มีสิทธิ์มาถามหรือต่อว่า เพราะคนที่เปลี่ยนไปก่อนคือเขา
“เรามันก็เป็นกิ้งก่าที่เปลี่ยนสีได้ด้วยกันทั้งสองคนนั่นละ” ทิวัตถ์ไหวไหล่คล้ายยอมรับกลายๆ ส่วนหญิงสาวได้แค่มองคนที่กล่าววาจาร้ายๆ นาทีถัดมาลำตัวก็ชะงักไปเล็กน้อยกับประโยครู้ทันของชายตรงหน้า
“ไม่กี่อาทิตย์คงหนีได้แล้ว”
ทิวัตถ์รู้ดีว่าเขาจะเป็นที่พักพิงของปรีดิทาไม่นานหรอก หลังจากนี้เจ้าตัวคงคิดหาทางจะจากไป
ในตอนที่ได้ยินว่าอดีตน้องชายหวนกลับไปหาคนที่ชัง เขาคิดได้ทันทีว่าเป็นเพราะมันอยากกลับไปยืนข้างๆ ลลิษา หลังจากที่ครอบครัวของปรีดิทาสร้างหนี้พนันไว้ให้ แต่ติดที่สถานะของลลิษานั้นเป็นคู่หมั้นของเขา มันจึงต้องตะเกียกตะกายไปในเส้นทางที่เกลียด แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว ส่วนปรีดิทาก้มมองการ์ดแต่งงานในมือ สีหน้ามีความหนักใจ ไม่รู้ทิวัตถ์จะรู้เรื่องนี้หรือยัง ขณะนั้นเองเสียงเล็กๆ ก็แผดร้องขึ้น “แง้ง” ปรีดิทาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังลูก แล้วรีบพาแกกลับห้องนอน ในวันนี้เธอไม่มีคาบสอนแล้ว มีจารวีช่วยจัดการเรื่องอาหารให้อย่างเคย แต่ผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วปราณปรียากลับยังร้องไห้เป็นระยะ “วันนี้งอแงหรือจ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน”
บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน “ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ” เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน “อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ “ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง&nbs
“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย” ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน “แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง” เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย “ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่อง
เขาไม่ได้ดูสดชื่นขึ้น เหมือนคนนอนไม่ค่อยพอเสียมากกว่า ทว่าในจังหวะนั้นกลับต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ จังหวะนั้นหัวคิ้วเลิกคิ้ว เพราะเหมือนเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาแต่จ้องเธอในงานที่ทิวัตถ์พาไป ก่อนจะมีอีกหนึ่งเรื่องสงสัยให้รีบดึงตาไปมองคู่สนทนา “นับวันมันยิ่งทำตัวน่าสงสัย พี่เห็นมันไปเรียนต่อยมวย เรียนต่อสู้ ยิงปืนด้วย ทำอย่างกับจะไปรบกับใคร” หลายเดือนที่ผ่านมาบนร่างกายของทิวัตถ์มักมีรอยช้ำ จนเขาต้องเค้นถามจากมันจึงได้รู้ว่ามันกำลังเรียนการต่อสู้หลายแขนง “คงเพราะเขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งแทนหยางจินละมั้งคะ” หญิงสาวคิดว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้สูง เพราะเขาคงรู้ว่าขาข้างหนึ่งเหยียบความเสี่ยงความตายไว้ จึงจะเตรียมพร้อม ถึงอย่างนั้นก็นึกห่วงขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองในจุดโฟกัสก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบชายคนนั้นเสียแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะจำผิด หรือไม่ก็แค่เรื่องบังเอิญ “ไอ้ไท่เนี่ยนะครับ” คนอย่างทิวัตถ์เนี่ยนะจะถึงขั้นขึ้นกุมบังเหียนต่อจากคนที่มันพูดถึงน้อย จนแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่นานมานี้เขาพอรู้มาบ้
สามนาทีต่อมาก็วางถ้วยลงบนเคาน์เตอร์หน้าทิวัตถ์ จากนั้นพลิกตัวเดินกลับไปหาลูกที่ตาแป๋วรอเธออยู่ อาการโยเยหายไปจนคนเป็นแม่คลายความกังวลไปได้ ส่วนทิวัตถ์เดินขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ขลุกอยู่กับเอกสาร โน้ตบุ๊ก โดยมีเสียงหนึ่งดังอยู่เป็นระยะ เสียงของเครื่องทำลายเอกสาร สีหน้าของคนบนเตียงมีแววครุ่นคิด เคร่งเครียด ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู สลับกันไปมา เขาต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และเมื่อเอกสารไฟล์ใดที่ดูเสร็จแล้วก็จะถูกลบหรือไม่ก็กำจัดทิ้ง โดยชายหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะจบเรื่องหนึ่งได้หลังทำมายาวนาน ขอแค่พบตัวคนที่หลุดรอดไปได้ ร่วมสองชั่วโมงกว่าก็พับเก็บทุกอย่างแล้วยัดใส่กระเป๋า ร่างกายของเขาอ่อนล้าไม่น้อย เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ทว่าก็หลับๆ ตื่นๆ ราวกับคนที่มีเรื่องให้คิดหรือมีเรื่องให้ระแวง เฮ้อ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มก็เลือกจะกระเด้งตัวมาผ่อนลมหายใจออกจากจมูก ก่อนตัดสินใจลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เดินตรงดิ่งไปห้องรับแขก มือเปิดเลื่อนผ้าม่านมองไปรอบๆ คล้ายอยากจะเช็กความเรียบร้อย แ
บทที่ 6 ข้อต่อรอง “ลลิษส่งยามาให้แล้วกินหรือยัง” ทิวัตถ์เลิกคิ้วถาม สายตาจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปรีดิทาเข้าใจสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่แล้วเพราะเธอคนนั้น แล้วมองหน้าคนที่มีท่าทางเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนที่นอนไม่พอ ฝ่ายทิวัตถ์เมื่อไม่ได้คำตอบก็เอ่ยประโยคถัดมา “อย่าให้เสียของ เสียน้ำใจ” ทิวัตถ์พูดดักทาง ปรีดิทาสมควรรับน้ำใจไว้แต่โดยดี ไม่ควรทิ้งขว้างหรือปามันทิ้ง “ถ้ามันเป็นยาพิษ โปรดก็ต้องรักษาน้ำใจหรือคะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้ “ยอกย้อนเก่ง”