ขาทั้งสองข้างของปิติญาดาสั่นเท้าขณะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน เธอต้องจับราวบันไดเพื่อพยุงร่างกายของตัวเองไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองก็เห็นบุรุษพยาบาลกับพยาบาลยืนอยู่หน้าห้องนอนพ่อและแม่ บุรุษพยาบาลเหมือนจะรู้งาน เพราะพอเห็นเธอเดินขึ้นมา ชายคนนั้นก็เปิดประตูให้ เสียงร้องไห้ของแม่จึงดังมาเข้าหูสร้างความเจ็บปวดให้เธอไม่น้อยปิติญาดาค่อยๆ ก้าวเข้าไปภายในห้อง เห็นบิดานอนสงบอยู่บนเตียงเหมือนท่านแค่พักผ่อนธรรมดา ไม่ได้จากเธอไปอย่างที่ได้รับรู้อยู่ตอนนี้ คนที่ยืนอยู่ในมุมห้องอีกคนคือลุงหมอที่ดูแลรักษาครอบครัวเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงสนิทสนมเหมือนญาติคนหนึ่งก็ว่าได้ “น้ำมนต์” คำเอ่ยเรียกของแม่ ทำให้หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองหน้าบิดาอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะกุมมือท่านไว้ ยังรู้สึกอุ่นอยู่เลย“พ่อค่ะ อย่าล้อน้ำมนต์เล่นแบบนี้สิ ลืมตาหน่อยสิคะ นะ...” น้ำเสียงปนสะอื้นเฝ้าร้องขอทั้งน้ำตา ปิติญาดาร้องไห้ออกมาอย่างหนัก หัวใจเธอบอบช้ำกับการสูญเสียที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ ก่อนจะกลั้นใจถามแม่ออกไป “แม่ค่ะ...นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อถึงเสียกะทันหันแบบนี้”“อยู่ๆ โรคหัวใจพ่อก็กำเริบ แม่โทรเรียกร
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยว พวกนายอย่าพึ่งไป” เสียงเรียกของหญิงสาวดูไร้ความหมาย ปิติญาดากำกระดาษในมือแน่น เธอจะไม่แต่งงานใช้หนี้บ้าๆ นี่แน่นอน ไม่มีทางเกิดเรื่องบ้าๆ นี่กับเธอ แค่พ่อเสียชีวิตไปก็เสียใจมากพอแล้ว แต่นี่กลับต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเพราะต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้แต่พอชายชุดแรกกลับออกไป นอกบ้านตอนนี้กลับมีชายชุดดำสี่ห้าคนมายืนป้วนเปี้ยนเต็มไปหมด จอยเห็นคนแรกก่อนจะวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงานเจ้านายของเธอ “แย่แล้วค่ะ แย่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นจอย” ผกามาศเอ่ยถาม เพราะไม่รู้จอยจะตกใจอะไรหนักหนา “ที่หน้าบ้านมีใครก็ไม่รู้ยืนอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะคุณผู้หญิง คุณหนู” สิ่งที่ได้ยินทำให้ปิติญาดาปรี่ออกไปยืนดูที่หน้าประตู ก็เห็นอย่างที่จอยบอก ต้องเป็นคนของเจ้าหนี้เธอแน่ๆ ที่ส่งคนมาเฝ้า คงกลัวว่าเธอจะคิดหนีล่ะสินะ ทุเรศที่สุด!“ไอ้พวกบ้าเอ้ย!!” ปิติญาดาสบถออกมาอย่างหัวเสีย เธอยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะเดินกลับไปทรุดตัวลงบนโซฟาอย่างหมดทางไป ผกามาศบีบหัวไหล่ของลูกไปมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “เราแอบหนีกันไปตอนกลางคืนดีไหมลูก”“แต่ถ้าจับได้ พวกมันจะฆ่าเราไหมคะ” คำพูดโต้งๆ อย่างไม่คิดของจอยที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ยิ่งทำให้ปิต
วันเวลาผ่านไปแต่ละวันอย่างหดหู่และอับจนหนทาง น้ำตาที่เคยไหลรินตอนนี้กลับแห้ง มาถึงตอนนี้พึ่งรู้ว่าครอบครัวอารายานนท์นั้นไร้ซึ่งผู้คนให้ขอความช่วยเหลือ หันหน้าไปพึ่งใครก็มีแต่คนปฏิเสธ จนใกล้วันกำหนดใช้หนี้เข้าไปทุกขณะ ปิติญาดานั้นยังมืดแปดด้าน เงินที่จะเอาไปใช้หนี้ตอนนี้ยังไม่มีสักบาท เมื่อไม่มีทางออก เธอก็วิ่งชนปัญหามันเลยแล้วกัน ปิติญาดาตัดสินใจได้แน่วแน่แล้วว่าจะทำอะไรต่อไป จึงเดินไปหาคนส่งสารที่ยืนล้อมรอบๆ บ้านเธออยู่ เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ ทำให้ชายชุดดำที่ทำหน้าที่เฝ้ารั้วบ้านของหญิงสาวหันมามอง ก็เห็นว่าเป็นใครก็โค้งศีรษะทักทายให้ “ฉันอยากพบเจ้านายของพวกคุณ นัดให้หน่อย”“ครับผมจะแจ้งให้ท่านทราบ” ชายคนนั้นรับปาก“อืม” หญิงสาวเอ่ยรับสั้นๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ไม่นานข่าวที่ปิติญาดาต้องการพบเจ้าหนี้ก็ไปถึงหูของศรชัย ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ได้จัดแจงเตรียมบุคคลเล่นฉากนี้ไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ไม่ถึงชั่วโมงปิติญาดาก็ได้วันเวลาที่จะออกไปพบกับเจ้าหนี้ของเธอ เหมือนจะรู้ว่าหญิงสาวใจร้อน เพราะนัดที่ว่าคือเย็นวันนี้ตอนหนึ่งทุ่มที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งปิติญาดาไปตามนัด หญิงสาวอยากเห็นเ
ก่อนกลับเข้าบ้านปิติญาดาแอบร้องไห้อย่างหนัก เธอไม่เข้าใจโชคชะตาของตัวเองเลย ว่าทำไมต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้ด้วย หญิงสาวอยากหาที่ระบาย อยากพูดกับใครก็ได้ แต่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกภคมณก็กระไรอยู่ เพื่อนเธอกำลังมีความสุขกับการฮันนีมูนอยู่ที่ยุโรป ขนาดงานศพของพ่อเธอปิติญาดายังไม่ยอมบอกเพื่อนให้รู้ เธอจึงต้องเก็บเงียบไว้คนเดียว อึดอัดจนแทบระเบิด ทางเดียวที่จะระบายความอัดอั้นนั้นคือน้ำตา ขณะที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างสวนสาธารณะใกล้บ้าน ชายคนหนึ่งกลับยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอจากทางด้านหลัง “เช็ดซะ”“ขอบคุณ” ปิติญาดารับผ้าเช็ดหน้านั่นไว้ รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดกับน้ำเสียงที่ได้ยิน ชายคนนั้นลงไปนั่งหันหลังให้เธอบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งวางไว้ชนกัน เขากำลังเดินคิดอะไรเพลินๆ แต่เสียงร้องไห้ที่ได้ยินก็ทำเอาขนลุกจนต้องตามมาพิสูจน์ว่าผีหรือคน สุดท้ายก็ได้รู้ “เสียงร้องไห้ของคุณ ทำเอาผมหลอน” คำพูดของชายคนนั้นทำให้ปิติญาดาหัวเราะทั้งน้ำตาแบบไม่รู้ตัว ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังลอยตามลมมา เป็นเธอก็คงหลอนอยู่หรอก “โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ” น้ำเสียงของปิติญาดาฟังดูอ่อนลง ทำไมเธอถึงไม
ร้านที่ทั้งสองคนนัดหมายเป็นร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ร้านแห่งนี้เป็นร้านในความทรงจำของทั้งสองคน เพราะเป็นสถานที่ที่คณินได้พบกับกิ่งดาวเป็นครั้งแรกและขอเธอเป็นคนรักที่นี่ หลังจากวางโทรศัพท์ไปไม่นาน ชายหนุ่มก็มาถึงที่นัดหมาย ซึ่งเห็นหญิงสาวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาถอนหายใจออกมานิดหน่อยก่อนจะส่งยิ้มให้เธอแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม“ทานอะไรมาหรือยังคะคิงส์” เสียงหวานๆ ของกิ่งดาวเอ่ยถามเหมือนปกติที่ทั้งคู่เจอกัน คณินไม่ตอบคำถามของเธอ แต่กลับมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างลงตัวตรงหน้า ไล่มาจนถึงลำคอ ผิวขาวเนียนสวยที่เห็นนี่ก็ด้วย กิ่งดาวเป็นหญิงสาวที่สวยคนหนึ่ง คณินเพ่งพินิจมองเหมือนกับพวกเขาทั้งสองคนไม่ใช่คนรู้จักกันมาก่อน จนคนถูกมองที่คบหากันมาหลายปีต้องถามขึ้น“คิงส์...จ้องบัวยังกับไม่ใช่บัวแบบนั้นแหละ” “ขอโทษที อาจเป็นเพราะพักนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันก็ได้มั้งครับ ผมก็เลยอยากมองหน้าบัวให้นานๆหน่อย” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ ซึ่งกิ่งดาวก็ยิ้มตอบให้เช่นกัน คณินมอบเวลาเกือบทั้งหมดให้งานที่รับผิดชอบ แต่ในเวลางานเขามักจะมีกิ่งดาวอยู่ด้วยเสมอ พยายามหาเวลาว่างเพื่อจะออกมาเจอกันตามปร
“คิงส์คงไม่โกรธบัวใช่ไหมคะ” คำถามนี้คณินตอบไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าความรู้สึกในอกตอนนี้จะโกรธ เกลียดหรือตกใจดี ทั้งสองความรู้สึกปนเปจนแยกไม่ออก ในเมื่อกิ่งดาวตัดสินใจทิ้งเขาเพื่อไปแต่งงานกับผู้ชายอีกคนที่ดีกว่าโดยไม่มีแม้กระทั่งการให้โอกาส นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหญิงสาวไม่รักเขาแล้วสักนิด ไม่มีคำว่าเยื่อใยเหลือเลยด้วยซ้ำ “คิงส์...” กิ่งดาวกำลังจะพูดบางอย่างออกไป แต่ชายหนุ่มก็เอ่ยดักไว้ “พอเถอะ ผมไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น” “ขอโทษที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้” คำขอโทษที่ได้ยินสำหรับชายหนุ่มแล้วช่างไม่มีความหมายเลยด้วยซ้ำ เขาเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวที่เขารักอย่างต้องการคำตอบ เธอคล้ายจะรู้ตัวว่าผิด เพราะไม่กล้าสบตาด้วยสักเท่าไหร่นัก ความรักที่พวกเขาสร้างขึ้นมาด้วยหัวใจหลายปี จนคณินคิดว่าผู้หญิงคนนี้นี่แหละคือคู่ชีวิตที่เขานั้นอยากใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันไปตลอดจนแก่เฒ่า แต่สุดท้ายก็เป็นแค่เพียงแค่ความฝันเท่านั้น “วันแต่งงาน ผมคงไปร่วมแสดงความยินดีไม่ได้ ยังไงก็ขอให้มีความสุขมากๆ”“ค่ะ บัวเข้าใจ” กิ่งดาวเอ่ยรับ เพราะเธอเองก็ไม่ได้หวังให้ชายหนุ่มไปแสดงความยินดีในวันงานมงคลของเธอนักหรอก “ผมขอตัว” พูดจบค
ในขณะที่ลูกชายกำลังอกหัก มงคลและเพ็ญแขกลับนั่งขบคิดให้รอบคอบถึงแผนการที่จะทำให้ลูกชายตัวดียอมแต่งงานกับ ปิติญาดาว่าที่สะใภ้ที่หมายปอง ถ้าคณินอยู่เมืองไทยบ่อยกว่านี้คงได้พบหน้ากับว่าที่เจ้าสาวไปแล้วก็เป็นได้ แต่เหมือนโชคชะตากำหนดให้พวกเขาเจอหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียว นั่นคือตอนที่คนทั้งสองยังเด็กกันอยู่เท่านั้น หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้เจอหน้ากันเลย คลาดกันไปมาตลอด เพราะตั้งแต่เล็กลูกชายเธอก็ไปเรียนที่ต่างประเทศแล้ว พอกลับมาก็เอาแต่ทำงาน ลูกๆ อาจลืมหน้ากันไปบ้าง แต่คนเป็นพ่อแม่ไม่มีทางลืมเรื่องคู่ครองของลูกแน่นอน ถึงแม้คณินจะมีคนรักอยู่ ได้ข่าวว่าคบหากันมาได้หลายปี แต่ก็ไม่เห็นลูกชายเธอจะคิดจริงจังยังไปทำงานที่นั่นที่นี่ตลอด ฝ่ายหญิงเองก็หายหน้าไม่แวะเวียนมาหา บางครั้งจึงอดคิดไม่ได้ว่าลูกชายเธอคงเลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วก็เป็นได้ แผนการจับลูกชายมาคลุมถุงชนกับว่าที่สะใภ้ที่ปลื้มของมงคลและเพ็ญแขนั้นไม่มีอะไรมาก แต่ถือว่าซับซ้อนในระดับหนึ่ง ซึ่งพวกเขานั้นต้องตกลงกันให้ดี ขืนมีคนใดคนหนึ่งหลุดอะไรออกไปละก็ คณินมีหวังจับได้ไล่ทันแน่นอน“ตกลงตามนี้นะคุณเพ็ญ” มงคลพยักหน้าให้ภรรยา เมื่อเล่าถึงแผนก
เสียงเคาะประตูห้องนอนทำให้เพ็ญแขยิ้มนิดๆ พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร ก่อนจะทำสีหน้าเคร่งเครียดแบบสุดๆ แล้วเอ่ยบอกไป“เข้ามาสิ” สิ้นคำพูดของเธอประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก ร่างที่ค่อยๆ เดินเข้ามานั่นคือคณิน เพ็ญแขจึงเอ่ยทักประหนึ่งว่าแปลกใจไม่คิดว่าจะเป็นลูกชาย “อ้าว! กลับมาแล้วเหรอคิงส์” “ครับ...แม่ไม่สบายเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” คณินเดินมาหย่อนตัวนั่งตรงขอบเตียงนอนที่ตอนนี้แม่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้าง รวมทั้งยังสังเกตสีหน้าแม่ที่ดูซีดเซียว สายตาเหลือบไปเห็นถ้วยข้าวต้มที่วางอยู่ข้างๆ ก็ไม่ลดน้อยลงไปเลยสักนิดบ่งบอกว่าแม่เขาไม่ได้แตะเลยสักคำ “ลูกรู้ได้ยังไง”“เมื่อกี้ตอนเข้าบ้านผมเจอพ่อ เห็นเอาแต่เดินไปเดินมาก็เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น” พอได้ยินแบบนี้ เพ็ญแขก็เปรยด้วยความน้อยใจต่อสามีให้ลูกชายฟัง “คุณมงคลนะคุณมงคล อุตส่าห์กำชับแล้วเชียวว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับลูก”“แต่ผมไม่ใช่ใครอื่นนี่ครับ ถ้าแม่มีเรื่องไม่สบายใจก็บอกผมได้” น้ำเสียงของคณินฟังดูอบอุ่นและเป็นแบบนี้เสมอยามอยู่กับผู้เป็นแม่ เพ็ญแจอยากพูดเรื่องในใจออกไปให้ลูกรู้เร็วๆ แต่ก็ยังวางมาดอิดออดพอเป็นพิธี “แต่เรื่องนี้….”“พูดมาเถอะครั
“ปล่อยเธอได้แล้วเสี่ย” เสียงของคณินดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเสี่ยโกศลลงเรือไปแล้ว“เออ...” เสี่ยโกศลยอมทำตามสัญญาของลูกผู้ชาย แม้ลึกๆ ยังอยากได้ตัวประกันไว้กับตัว เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะรอดจากตำรวจได้จริงๆ แต่พอมาคิดดูปิติญาดาจะเป็นภาระในการหนีเสียมากกว่า และมั่นใจว่าวิธีหนีทางน้ำของตนนั้นต้องได้ผลแน่ เนื่องจากมีจุดลับขึ้นฝั่งไว้ในใจ ซึ่งทางตำรวจต้องคิดไม่ถึงเสี่ยโกศลใช้ปลายปืนแตะหลังของปิติญาดาให้เดินกลับขึ้นไป หญิงสาวค่อยๆ เดินเข้าหาฝั่ง เมื่อถึงคณินก็ยื่นมือมารับ ทั้งคู่กอดกันกลม หัวใจของปิติญาดาเต้นแรงพอๆ กับหัวใจของคณิน เขาโล่งอกที่เธอปลอดภัยแต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อเสียโกศลเลือกที่จะเอาคืนปิติญาดาให้หายเจ็บใจ จังหวะที่บังคับเรือเพื่อจะหลบหนีกลับเล็งปลายกระบอกปืนมายังหญิงสาว หวังจะยิงแก้แค้นที่กล้าสมรู้ร่วมคิดกับตำรวจซ้อนแผนจับเขาแบบนี้ปัง!เสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด ปิติญาดาสะดุ้งเพราะเมื่อครู่เธอถูกเหวี่ยงให้มาหลบอยู่ในอ้อมกอดของคณิน ชายหนุ่มรับกระสุนปืนนัดนี้แทนเธอ ร่างหนาถึงกับทรุด&ld
ปัง!เสียงปืนที่ดังขึ้นหนึ่งนัด ทำให้เสี่ยโกศลไหวตัว เพราะเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ส่งของวันนี้ก็รู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก จะหมุนตัวกลับแต่รถก็อยู่ไกลเกินไป ถ้าถูกจับได้จะไม่คุ้มเสี่ยง จึงต้องหาตัวประกัน ซึ่งจะมีใครเหมาะกับตำแหน่งนั้นไปเสียไม่ได้ นอกเสียจากปิติญาดาเมื่อคิดแบบนั้น จึงตรงเข้าไปหาเป้าหมายซึ่งเธอยืนนิ่งอย่างไม่รู้ตัว คณินเห็นว่าเสี่ยโกศลเดินตรงไปหาปิติญาดาแล้วและรู้ว่าต้องมีแผนไม่ดีแน่แต่เขากลับขยับตัวช้าไป เพราะตอนนี้เสี่ยโกศลถึงตัวหญิงสาวเสียแล้ว พร้อมกับปืนที่นำมาจ่อข้างขมับเธอ“พี่คิงส์”“ทำอะไรนะเสี่ย...ปล่อยเธอ!” สีหน้าของคณินบ่งบอกว่าชายหนุ่มโกรธมากที่เสี่ยโกศลเลือกใช้วิธีนี้ แต่มีหรือคนถูกสั่งจะยอมทำตามง่ายๆ ถ้าไม่มีอะไรก็ดีไป แต่ถ้ามีขึ้นมาเขาต้องไม่ถูกจับ ต้องรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ สิ่งที่เสี่ยโกศลทำในตอนนี้เหมือนย้ำในความผิดของตนให้ชัดขึ้น ถ้าไม่ร้อนตัวก็คงไม่หาทางออก“ปล่อยให้โง่น่ะสิวะ พวกมึงคิดจะจับกูเหรอ ไม่มีทาง”“จับอะไร ผมไม่รู้เร
งานด้านนอกที่ได้รับหมอบหมายนั้นเหมือนจะไม่มีอะไรมาก ก็แค่การจัดเตรียมของใส่สายพานให้เคลื่อนเข้าไปภายในเท่านั้น แม้จะถามคนที่ทำงานด้วยว่าด้านในมีอะไรแต่ก็ไม่มีใครพอจะให้คำตอบอนุภพได้เลยสักคน ขณะทำงานก็คอยสังเกตรอบๆ ตัวไปด้วย แต่ก็นึกอะไรขึ้นได้ ร้อยตำรวจเอกอนุภพถือวิสาสะเดินเข้าไปภายในส่วนต้องห้ามทันที พอเห็นว่าด้านในทำอะไรอยู่เขาถึงกับตะลึง เพราะตรงหน้าคือขั้นตอนการลักลอบนำเฮโรอีนใส่ไว้ใต้ฐานเซรามิคที่จะส่งออก ในที่สุดเขาก็รู้จนได้“เอ็งเข้ามาทำอะไรในนี้ รีบออกไป” ดำเอ่ยสั่งเสียงห้วน เพราะไม่อยากให้เสี่ยโกศลมาเห็น เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคนที่เข้ามาในนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นตายมานักต่อนักแล้ว“ขอโทษทีพี่ดำ ฉันลืมเอาเงินค่าส่งยานี่ให้พี่”“เออๆ เสร็จแล้วเอ็งก็ออกไป ไป!” ขณะพูดก็ดันหลังอนุภพให้กลับออกไปด้วย นายตำรวจหนุ่มก็ยอมทำตามอย่างไม่อิดออด อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้ขั้นตอนที่สำคัญเข้าให้แล้ว ที่เหลือก็แค่จับกุมเสี่ยโกศลในวันส่งของให้ได้คาหนังคาเขา คล้อยหลังที่อนุภพเดินกลับออกไปเสี่ยโกศลก็เดินออกมา“ใครดำ”
หลังจากสร้างข่าวและทำตัวให้เป็นที่น่าสนใจนานพอสมควรหมิงต้าก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง โดยเริ่มจากการรับนัดมิสเตอร์จางเป็นคนแรก การพูดเริ่มต้นแบบไม่มีอ้อมค้อม เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าต่างฝ่ายต่างทำอะไรในธุรกิจมืด ฟังผิวเผินจะเหมือนการต่อรองธุรกิจทั่วๆ ไป แต่สินค้าที่พวกเขาหมายถึงนั่นคือเฮโรอีน ด้วยความที่มิสเตอร์จางอยากได้หมิงต้าคนนี้เข้าร่วมกลุ่มด้วยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเจรจาซื้อขายจึงดูจะง่ายสำหรับนายตำรวจนอกเครื่องแบบมาก“แล้วนี่คุณจะนำของจากไทยเข้าจีนได้ยังไงกัน” แม้จะรู้ช่องทางแต่หมิงต้าก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ มิสเตอร์จางคลี่ยิ้มก่อนจะยอมบอกเพราะเห็นว่าเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน“ง่ายจะตายไป วิธีง่ายๆ ที่ใครก็คิดไม่ถึง”“อืม…ผมชักอยากจะเห็นกับตาแล้วสิว่าวิธีที่ว่านั่นคืออะไร” หมิงต้าอมยิ้ม สบตามิสเตอร์จางให้เห็นว่าเขาเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู“วันรับของก็รู้เองครับ”“ผมจะรอวันนั้น” มิสเตอร์จางพยักหน้ารับ คิดไม่ผิดที่ขอพบหมิงต้า เพราะเขาสั่งซื้อในจำนวนมหาศาลจริงๆ ลูกค้าเก่าเทียบไม่ได้สักคน ถ้าได้ทำงานด้วยหลายคร
“แน่ใจเหรอครับ”“คิงส์!” เพ็ญแขผุดขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แทบจะทันที ก่อนจะมองหน้าสามีเลิ่กลัก มงคงปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยถาม หวังให้ลูกชายไม่ได้ยินการสนทนาของเขากับภรรยาเมื่อครู่ แต่เหมือนจะไม่เป็นผล“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก”“ก็นานพอที่จะได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเรื่องคลุมถุงชนอะไรนั่น ตกลงแล้วพ่อของน้ำมนต์ยังไม่เสียชีวิตใช่ไหมครับ เจ้าหนี้บ้าๆ นั่นก็คงไม่มี เรื่องทั้งหมดก็แค่การจัดฉากให้ผมกับเธอแต่งงานกัน” คณินมองพ่อและแม่สลับกันไปมา ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงคิดทำเรื่องใหญ่โตแบบนั้นได้ ในเมื่อความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป มงคลจึงเอ่ยตามความจริง“ที่พ่อกับแม่ทำก็เพราะหวังดีทั้งนั้น ถ้าไม่ทำแบบนี้ลูกกับหนูน้ำมนต์ก็คงไม่ได้แต่งงานกัน”“ความหวังดีมีอีกตั้งมากที่จะแสดงออก แล้วที่สำคัญพ่อกับแม่รู้ได้ยังไงว่าผมกับเธอจะไปด้วยกันได้จริงๆ”“แต่ตอนนี้พ่อกับแม่ก็คิดไม่ผิดไม่ใช่เหรอ แกกับหนูน้ำมนต์กำลังรักกันอยู่” คำพูดของพ่อคณินไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าผลที่
“ได้ข่าวน้ำมนต์หรือยังค่ะพี่วศิน” นี่คือประโยคที่ภคมณมักจะถามสามีของเธอเป็นประจำ“ยังเลยครับ แต่ไม่มีข่าวร้ายเข้ามา เราก็คงโล่งอกไปได้บ้าง” วศินโอบรอบเอวภรรยา ที่พักนี้ดูจะมีน้ำมีนวลมากขึ้น แต่ก็ไม่กล้าทักเพราะกลัวภคมณจะงอน ตีความหมายคำว่ามีน้ำมีนวลของเขาเป็นว่าเธออ้วน งานได้เข้าแน่ๆ“เฮ้อ!” ภคมณถอนหายใจออกมาเพราะกลุ้มใจเรื่องนี้ ทุกวันที่ผ่านไปหญิงสาวกังวลแต่เรื่องของปิติญาดาจนลืมสังเกตความผิดปกติที่เกิดกับร่างกายของตัวเอง เมื่อเธอเข้าไปนั่งในห้องรับแขกเด็กรับใช้ที่บ้านก็ถือถาดมะม่วง มะยมและอีกสารพัดของเปรี้ยวของมาให้นายสาวตามคำสั่งคนท้องซึ่งยังไม่รู้ตัวหยิบผลไม้รสเปรี้ยวเข้าปาก ขณะเคี้ยวสีหน้าไม่ได้แสดงอาการว่าเปรี้ยวแต่อย่างใด แต่คนมองอย่างวศินกลับรู้สึกเสียวฟันเสียเอง แต่สักพักก็ตาโตก่อนจะวิ่งขึ้นไปห้องนอนที่อยู่ชั้นบน ควานหากล่องอะไรสักอย่างในลิ้นชัก เมื่อพบก็รีบวิ่งลงมาหาภคมณที่ชั้นล่างซึ่งยังไม่ละมือจากของเปรี้ยวตรงหน้า“เข้าห้องน้ำ” เสียงตื่นเต้นของวศินเอ่ยบอก หัวใจเข้าเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ
หลังจากถูกจับตัวมานานหลายชั่วโมง ปิติญาดาก็ถูกปล่อยตัวให้กลับบ้านได้ เธอตั้งมั่นในใจว่านี่ต้องเป็นการถูกตำรวจจับครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายของเธอ แต่ก่อนจะเข้าบ้านคณินแวะไปดูความเรียบร้อยที่โรงงาน แต่สั่งให้หญิงสาวนั่งรออยู่ในรถเท่านั้น จามรถูกเรียกตัวเข้าพบก่อนที่ผู้เป็นเจ้านายจะสั่งการอะไรบางอย่าง แม้จะไม่รู้อะไรมาก แต่จามรก็พยักหน้ารับหลังจากเสร็จธุระที่โรงงาน คณินก็ขับรถพาปิติญาดากลับบ้าน แต่ก็มาพบอีกหนึ่งหนุ่มที่นั่งรอหน้าเครียดอยู่ คณินดุนหลัง ปิติญาดาให้เข้าไปในบ้านก่อน หญิงสาวก็ยอมทำตามเพราะรู้สึกเหนื่อยมากแล้วนั่นเอง เขตไทยได้แต่มองตาม เพราะรู้ว่าเขาจะถามเอาความจริงจากเพื่อนได้“วันนี้เกิดอะไรขึ้นวะไอ้คิงส์”“เปล่า”“เปล่าอะไร ป้าชื่นบอกข้าว่าวันนี้ตำรวจไปจับน้องน้ำมนต์ถึงโรงงาน เรื่องบ้าอะไร ถ้ายังเห็นว่าข้าเป็นเพื่อนรักอยู่ละก็ เล่ามาให้หมด”“ข่าววงในจริงนะเอ็ง” คณินส่ายหน้า เขาอุตส่าห์กำชับคนทั้งโรงงานว่าให้เก็บเรื่องนี้ไว้อย่าพูดเด็ดขาดหรือถ้าจะพูดก็ให้พูดในเรื่องที่เขาแต่งขึ
เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ เธอก็ถูกนำตัวให้มานั่งอยู่ในนี้คนเดียวอยู่นาน ปิติญาดานั่งตัวสั่นภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ได้กว้างนัก ไม่มีใครเข้ามาพูดด้วยหรือบอกว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น ตำรวจที่พาตัวเธอมาก็ไม่รู้หายกันไปไหนหมด หญิงสาวกระวนกระวายใจเป็นที่สุด คิดไปต่างๆ นานา ถึงสาเหตุที่เธอถูกจับมาที่นี่ แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ จึงเลือกที่จะนั่งอยู่นิ่งๆขณะที่ภายนอก นายตำรวจชุดที่ไปบุกจับปิติญาดามานั้นก็กำลังนั่งปรึกษาหารือกันอยู่ พวกเขาไม่ได้วู่วาม แต่ทำตามคำสั่งของเบื้องบนจากกรมตำรวจเช่นเดียวกัน เพราะคดีนี้โยงใยไปหลายประเทศ พยายามควานหาตัวผู้เกี่ยวข้อง และคนที่พวกเขาจับมาวันนี้ดูจะหาตัวง่ายที่สุด ซึ่งเรื่องนี้นายตำรวจคนหนึ่งเกิดความสงสัยอยู่ในใจว่าปิติญาดาจะเกี่ยวข้องจริงหรือแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น เมื่อปรึกษากันเรียบร้อยจึงเปิดประตูเข้าไปภายใน“ตกลงจะบอกดิฉันได้หรือยังคะ ว่านี่เกิดอะไรขึ้น” แม้จะหวาดกลัวแต่ปิติญาดาก็พยายามคุมสติไว้ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าถูกพาตัวมาที่นี่เพราะอะไร หญิงสาวจ้องนายทำตรวจทั้งสามเขม่ง“รู้ตัวว่าผิดก็รับผิดมาซะเถอะ โทษหนักจะ
แต่มรสุมอีกลูกกำลังถาโถมใส่ปิติญาดา เพราะขณะนี้ร้อยตำรวจเอกอนุภพได้ข่าวทางลับของเสี่ยโกศล หลังจากตามสืบมานาน นายตำรวจหนุ่มลงทุนปลอมตัวเข้าไปเป็นคนงานในโรงงานของเป้าหมาย กว่าจะได้ข่าวนี้มาไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เขาเอาชีวิตไปเสี่ยงดีๆ นี่เอง แต่ด้วยหน้าที่รับใช้ชาติเขาก็ต้องทำอย่างสุดความสามารถ สืบไปสืบมาถึงได้รู้ว่าเสี่ยโกศลทำอะไรไว้บ้าง แต่ที่น่าหนักใจคือเรื่องนี้เกี่ยวกับคณินด้วยนี่สิ“ไอ้คิงส์เข้าไปเกี่ยวด้วยได้ยังไงวะ” นายตำรวจหนุ่มคิ้วขมวด เพราะสินค้าต้องสงสัยถูกส่งมาจากโรงงานของคณิน หรือเพราะเหตุนี้คณินถึงได้ไว้วานให้เขาตามสืบเสี่ยโกศลลับๆ แต่อนุภพก็ต้องรายงานข้อมูลที่ได้ให้ผู้บังคับบัญชารับรู้ เพื่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับคนร้านค้ายาเสพติดรายนี้แต่ก่อนที่คำสั่งจากเบื้องบนจะลงมา นายตำรวจหนุ่มก็รีบเข้าไปหาคณินที่บ้านทันที เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงแม้ด้วยหน้าที่เขาจะไม่สามารถบอกอะไรได้ก็ตาม แต่ความเป็นเพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อน เพราะมั่นใจว่าคณินไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน แต่เหมือนจะเอะใจขึ้นมาได้ ผู้กองหนุ่มจึงห