Mag-log inอวี้หลิงหรงยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของเรือนครัว นางสวมอาภรณ์เรียบง่ายพร้อมด้วยสายตาเย็นชา จังหวะที่เสียงหัวเราะของพวกสาวใช้ดังขึ้นนั้น นางค่อย ๆ ก้าวออกมาจากเงามืดอย่างสง่างาม แต่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
"ช่างน่าสนุกนัก พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่หรือ?" น้ำเสียงของอวี้หลิงหรงเยือกเย็นและเฉียบขาด เสียงนั้นเพียงแค่ดังขึ้นก็ทำให้บ่าวไพร่ทุกคนสะดุ้งเฮือก เสียงหัวเราะที่เคยดังลั่นกลับเงียบลงทันที
อันจิ่นเยว่ที่กำลังหัวเราะร่าเริงพลันหันมามอง ดวงตาของนางแฝงแววดูแคลนแต่ก็ฉายความตกใจเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าเป็นยิ้มเยาะอย่างรวดเร็ว
"อ้อ.. พระชายา ท่านมาตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ?"
"ก็นานพอที่จะได้ยินทุกคำพูดของเจ้า" อวี้หลิงหรงกล่าวตอบพลางกวาดสายตามองบ่าวไพร่ที่พากันหลบสายตาอย่างหวาดกลัว ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่อันจิ่นเยว่อย่างแน่วแน่
"พระชายางั้นหรือ.. ไยเจ้าจึงกล้าเรียกข้าเช่นนั้นเล่า มิกลัวถูกคนเอากรรไกรมาตัดปากหรือ" อวี้หลิงหรงเอ่ยเหน็บแนม
อันจิ่นเยว่ยิ้มเยาะ นางได้ยินทั้งหมดแล้วอย่างไร เชลยไร้อำนาจอย่างนางจะไปทำอันใดได้! "เรื่องที่ท่านได้ยินไปพวกบ่าวก็เพียงแค่พูดล้อเล่นกันเท่านั้น พระชายาอย่าได้ถือสาเอาความ"
"พูดล้อเล่น?" อวี้หลิงหรงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้จิ่นเยว่อย่างช้า ๆ แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคงและเยือกเย็น
นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยจนดวงตาคมดุจอสรพิษจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของจิ่นเยว่ "ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไม่รังเกียจหรอกใช่ไหม หากข้าจะล้อเล่นเจ้ากลับบ้าง"
อันจิ่นเยว่หน้าซีด แต่ยังคงฝืนยิ้ม อย่างไรคนในตำหนักนี้ล้วนเป็นคนของนาง เชลยที่มาจากต่างแคว้นเพียงไม่กี่วันจะไปมีอำนาจทำอันใดได้ นางก็ใคร่อยากจะรู้นัก!
"เช่นนั้นพระชายาผู้สูงส่งจะทำอะไรบ่าวหรือเจ้าคะ จะใช้กรรไกรตัดปากของบ่าวอย่างนั้นหรือ" ริมฝีปากของจิ่นเยว่เหยียดยิ้ม ดวงตาไร้ซึ่งความเคารพ
"บ่าวอย่างนั้นหรือ?" อวี้หลิงหรงยิ้มเย็น "ดูเหมือนว่าเจ้าก็ยังไม่ลืมฐานะของตัวเองนี่.. ใครก็ได้พาตัวจิ่นเยว่ไปโบยยี่สิบไม้!!" คำสั่งของนางเสียงดังฟังชัด ทว่ากลับมิมีผู้ใดยอมทำตามคำสั่งของนางเลยสักคน
อวี้หลิงหรงกัดฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นเส้น บ่าวไพร่รอบตัวที่ได้รับคำสั่งให้ลากตัวอันจิ่นเยว่ไปโบยต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ขยับตัว ท่าทีของพวกเขาแสดงชัดเจนว่าไม่คิดจะทำตามคำสั่ง
ชาติก่อนนางเป็นถึงราชินีแห่งดาบ มีแต่คนเกรงใจและนับถือ แต่ที่แห่งนี้กลับกลายเป็นเพียงแค่เชลยเท่านั้น หาได้มีอำนาจใด ๆ นางรู้ดีว่าตนไม่มีอำนาจในจวนนี้แม้แต่น้อย และนั่นยิ่งตอกย้ำความอัปยศในใจจนต้องเมินหน้าหนี
อวี้หลิงหรงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องครัวใหญ่ รู้สึกถึงสายตาดูแคลนและแววหัวเราะเยาะไล่หลังจากอันจิ่นเยว่และบ่าวคนอื่น ๆ ทว่าต่อให้อับอายอย่างไร อวี้หลิงหรงยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ทำ ก่อนหน้านี้นางไปขอสมุนไพรจากหอยาของตำหนัก และตั้งใจจะต้มยาให้จื่อรั่วกิน
อันจิ่นเยว่ที่ยังคงยิ้มเยาะ เดินตามอวี้หลิงหรงเข้ามาในครัวอย่างถือดี สายตาของนางเต็มไปด้วยความดูแคลนและความอยากรู้ว่าสตรีผู้ไม่มีอำนาจในจวนจะทำอะไรได้บ้าง
"พระชายา ช่างขยันขันแข็งเสียจริงนะเพคะ" อันจิ่นเยว่พูดพลางเอนตัวพิงขอบประตู ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
"ท่านมาต้มสมุนไพรพวกนี้ให้สาวใช้ขี้ขโมยของท่านหรือไรกัน" คำพูดนั้นทำให้สาวใช้ที่เดินตามเข้ามาหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ ทว่าพวกนางกลับต้องเงียบลงทันทีเมื่ออวี้หลิงหรงเงยหน้าขึ้นมอง
สายตาของอวี้หลิงหรงเย็นเยียบ ราวกับคมดาบที่กดดันจนทำให้บ่าวไพร่ที่เคยหัวเราะต้องหุบปากสนิท นางไม่พูดอะไร แต่หันกลับไปจัดการกับหม้อสมุนไพรตรงหน้าต่อ
มือเรียวหยิบหม้อดินเผาขึ้นมา วางลงบนเตาอย่างระมัดระวัง จากนั้นเทน้ำสะอาดลงไปจนได้ระดับ ก่อนจะหยิบสมุนไพรที่จัดเตรียมไว้ลงหม้อทีละอย่าง ทุกการเคลื่อนไหวของนางมั่นคงและเรียบง่าย ทว่าแฝงความตั้งใจ
อันจิ่นเยว่ยังคงจ้องมองด้วยแววตาเย้ยหยันไม่เลิกรา นางก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นพร้อมกล่าวเสียงเยาะเย้ย
"ดูท่าพระชายาจะมีฝีมือด้านการครัวไม่น้อยนะเพคะ.. แต่ก็น่าแปลก ทั้งที่เป็นถึงพระชายา กลับต้องลงมือทำเองราวกับสาวใช้ในจวน ข้าน้อยไม่รู้จะสมเพชหรือเวทนาดี"
คำพูดนั้นทำให้เหล่าบ่าวไพร่ที่อยู่ในครัวยิ้มขบขันกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อวี้หลิงหรงไม่สนใจเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย นางยังคงตั้งหน้าตั้งตาต้มสมุนไพรต่อไป
แววตาของอันจิ่นเยว่ฉายแววขัดใจเมื่อเห็นว่าอวี้หลิงหรงไม่ตอบโต้ จึงก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีก แล้วเอื้อมมือไปที่หม้อดินเผา
"อุ๊ย! ระวังนะเพคะ พระชายา.. หม้ออาจจะหล่นแตกได้"
ทันใดนั้น อวี้หลิงหรงก็เงยหน้าขึ้น สายตาคมกล้าเหมือนดวงตาของพยัคฆ์ นางเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงพลัง
"ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรล่ะก็ อย่าว่าแต่ปากเจ้าเลย คอของเจ้าข้าก็ตัดได้"
อันจิ่นเยว่ชะงัก มือที่ตั้งใจจะปัดหม้อให้หล่นค้างอยู่กลางอากาศ ดวงตาของนางแสดงแววลังเลก่อนจะปรับเป็นแสร้งไม่ใส่ใจ
"ก็แค่พูดเล่นเองเพคะ พระชายาจะจริงจังไปไย"
อวี้หลิงหรงไม่สนใจนางอีก นางกลับไปจดจ่อกับหม้อสมุนไพร ราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่มีความสำคัญ
อวี้หลิงหรงใช้เวลาอยู่พักใหญ่เพื่อต้มยาให้จื่อรั่ว นางอดทนกับคำพูดเย้ยหยันมากมายมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีแค่ไหน ขณะที่นางกำลังจะยกหม้อยาที่ต้มเสร็จแล้วออกจากเตา กลับถูกคนปัดมือของนางจนหม้อยาที่นางต้มมาอย่างยากลำบากหก
"โอ๊ย!" นางสะดุ้ง แต่ด้วยสัญชาตญาณรีบชักมือออกอย่างรวดเร็ว จึงทำให้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
อันจิ่นเยว่ยืนหัวเราะเยาะอยู่ข้าง ๆ พร้อมเอ่ยเสียงเย้ยหยัน "พระชายา ท่านเผลอทำหม้อคว่ำเองหรือเพคะ? ข้าก็ไม่อยากจะว่าอะไรหรอก แต่เชลยจากแคว้นหานคงไม่คุ้นกับงานพวกนี้สินะ"
อวี้หลิงหรงกัดฟันแน่น รู้ดีว่านางจงใจก่อกวน แต่ก็ยังพยายามระงับความโกรธ
"จิ่นเยว่ ข้าขอเตือนเจ้า อย่ามาล้อเล่นกับความอดทนของข้า"
อันจิ่นเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง พลางหัวเราะหยัน "อดทน? พระชายาแค่ในนามอย่างท่านจะทำอะไรข้าได้หรือเพคะ? ขนาดจะสั่งให้คนลากตัวข้าไปโบยยังไม่มีใครฟังเลย"
คำพูดของอันจิ่นเยว่เสียดแทงเหมือนคมมีด ทว่าอวี้หลิงหรงเลือกที่จะเพิกเฉย นางก้มลงเก็บหม้อขึ้นมาอย่างยากลำบาก เมื่อเปิดดูด้านในก็พบว่ายังเหลือน้ำสมุนไพรอยู่เล็กน้อย เพียงพอสำหรับดื่มหนึ่งถ้วย
นางถอนหายใจโล่งอก แต่ยังไม่ทันที่นางจะตั้งหม้อกลับบนเตา อันจิ่นเยว่กลับยื่นมือมาทำท่าจะปัดหม้อให้หล่นอีกครั้ง และนั่นคือจุดที่ความอดทนของอวี้หลิงหรงหมดลง..
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ







