บทที่ 1
ซูเย่หลิง
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้
จวนตระกูลซูแห่งเมืองหลวง แคว้นจ้าว
'ซูเย่หลิง' สตรีนางน้อยผู้เป็นเจ้าของดวงหน้างดงามราวกับพญาหงส์ นางกำลังนั่งนับเงินตำลึงที่แอบเก็บเอาไว้ด้วยความรู้สึกกังวลใจ ไม่ว่าจะนับอีกกี่ครั้งเงินของนางก็มีเพียง 100 ตำลึงทองกับอีก 58 ตำลึงเงินเท่านั้นเอง หญิงสาวทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความปลงตก ทั้งที่นางพยายามหาเงินมาอย่างยากลำบาก แต่เพราะมีอุปสรรคมากมายและยังต้องปิดบังคนในตระกูลด้วย ทำให้เงินที่หามาได้นั้นมีจำนวนน้อยนิดนัก หากเทียบกับฐานะคุณหนูเช่นนาง
แท้จริงแล้วนางคือบุตรีคนโตของท่านราชครู 'ซูเย่าฉี' มารดาคือฮูหยินใหญ่ 'หลี่ซินเหมย' ผู้ล่วงลับไปแล้วตั้งแต่นางเพิ่งอายุได้แค่ 5 หนาว นับจากสิ้นมารดาไป บิดาก็เอาแต่สนใจฮูหยินรองและบุตรธิดาของนาง หลังจากนั้นไม่นานก็ได้แต่งตั้งฮูหยินรองผู้นี้ขึ้นมาเป็นฮูหยินใหญ่แทนที่มารดาของนาง นับจากนั้นชีวิตวัยเยาว์ของซูเย่หลิงก็ได้พลิกผันไป
จากบุตรีของฮูหยินเอกที่มีอำนาจกลับกลายเป็นคุณหนูที่ไม่มีใครสนใจ แม้แต่บ่าวไพร่ในเรือนยังไม่มีความเคารพยำเกรงกับนางเลยแม้แต่น้อย บิดาไม่เคยเหลียวแลทำราวกับซูเย่หลิงเป็นเพียงอากาศธาตุ พี่น้องต่างมารดาก็คอยแต่จะกลั่นแกล้งบุตรีที่เกิดจากอดีตฮูหยินใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ชีวิตวัยเยาว์ของซูเย่หลิงในจวนตระกูลซูจึงน่าสงสารยิ่งนัก
แต่สวรรค์ได้มอบความสุขเล็ก ๆ ให้กับซูเย่หลิง เมื่อนางได้รับคำอนุญาตจากบิดาให้ไปพำนักยังแดนเหนือ อันเป็นสถานที่ที่นางได้พบกับบุรุษที่เป็นดั่งรักครั้งแรกของนาง และครอบครัวที่จริงใจกับนางอย่างแท้จริง ตระกูลหลี่ผู้พิทักษ์แห่งแดนเหนือ ตระกูลเดิมของมารดาซูเย่หลิง
"เฮ้อ...ข้าจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย เงินแค่นี้จะไปพอประมูลดาบสั้นที่หอประมูลได้อย่างไร" คิ้วเรียวเรียงเส้นสวยขมวดมุ่นจนแทบจะเป็นปม
หญิงสาวถอดถอนหายใจเป็นครั้งที่ 100 นางเก็บเงินก็เพื่อหวังจะประมูลดาบเล่มนั้น ดาบสั้นดวงเดือน ดาบแห่งการสังหารในระยะประชิดและระยะไกล ทำจากเหล็กกล้าเนื้อดีที่แสนเบาบางราวกับขนนก หากนางได้ดาบสั้นดวงเดือนคู่นี้มาครอบครอง นางจะต้องสามารถก้าวข้ามการใช้อาวุธในระยะประชิดได้เป็นแน่
"คุณหนู ฮูหยินใหญ่ให้มาตามเจ้าค่ะ" น้ำเสียงที่ไร้ความนอบน้อมตะโกนมาจากหน้าเรือน
ซูเย่หลิงมองตามเสียงเรียกแล้วไม่ได้สนใจอีก ตั้งแต่ที่นางกลับมาอยู่ที่จวนเมื่อหกเดือนก่อน นางก็ใช่ชีวิตอยู่แต่ในเรือนของตนอย่างเงียบ ๆ แม้น้องสาวน้องชายที่น่ารังเกียจนั่นจะชอบมาหาเรื่องนางถึงในเรือน แต่ถ้านางพยายามนิ่งเฉยเสียพวกเขาก็จะเบื่อไปเอง แต่ดูเหมือนว่าวันนี้คงจะมีเรื่องสนุก ๆ อีกเป็นแน่
"ข้ารู้แล้ว"
นางตะโกนเสียงดังตอบกลับไป ไร้ซึ่งความอ่อนหวานอ่อนโยนดั่งเช่นสตรีในห้องหอพึงกระทำกัน
"หึ!"
สาวใช้ผู้นั้นแค่นเสียงออกมาด้วยความสมเพชก่อนจะเดินสะบัดก้นจากไป ก็แค่คุณหนูใหญ่ที่โชคดีได้เกิดจากฮูหยินเอกเท่านั้นเอง แต่เวลานี้คนที่ใหญ่ที่สุดคือเจ้านายของนางต่างหากเล่า
ร่างระหงของซูเย่หลิงเดินมาตามทางเดินเล็ก ๆ เรือนเล็กของนางอยู่ไกลจากเรือนหลักมิใช่น้อยเลย กว่านางจะเดินมาถึงก็ใช้เวลาเกือบครึ่งเค่อเลย ฮูหยินใหญ่ที่นั่งรออยู่เป็นนานก็เริ่มจะไม่สบอารมณ์เสียแล้ว ทันทีที่นางเห็นใบหน้าที่งดงามของซูเย่หลิง น้ำเสียงเล็กแหลมก็เอ่ยตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าทันที บุตรสาวที่นั่งข้าง ๆ ก็หัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน
"เย่หลิง เหตุใดเจ้าถึงไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ให้ผู้ใหญ่รอนานได้อย่างไรกัน เจ้าไม่รู้จักมารยาทอันดีเลยหรือไร"
"เรือนของข้าอยู่เกือบท้ายจวน จะให้ข้ามาถึงเร็วได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ และสาวใช้ที่ไปตามข้าก็ไม่ได้บอกว่าแม่รองต้องการพบข้าเป็นการด่วนด้วยเจ้าค่ะ" นางเอ่ยตอบเสียงเรียบ ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของแม่รองเลย มุมปากเล็กยกยิ้มน้อย ๆ
นี่เป็นอีกเรื่องที่ 'เจียงหรูลี่' ไม่ชอบหน้าซูเย่หลิง เพราะนางไม่เคยมีความหวาดกลัวต่ออำนาจที่อยู่ในมือของนางเลย ซูเย่หลิงยังเอ่ยเรียกนางว่าแม่รองทุกครั้ง ทั้งที่รู้ดีว่านางหาชอบให้ผู้ใดเอ่ยเรียกเช่นนี้ไม่ เรื่องในอดีตที่นางเป็นเพียงฮูหยินรอง และมารดาของซูเย่หลิงเป็นฮูหยินเอกก็ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว คำว่ารองคำนี้นางไม่ชอบใจเลยสักนิด แต่จะให้ซูเย่หลิงเรียกนางว่าแม่ใหญ่ก็ไม่ได้ หากผู้ใดมาได้ยินคงพากันรุมก่นด่าว่านางไม่รู้จักธรรมเนียม คิดจะมาตีเสมออดีตฮูหยินเอกที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ตอนนี้นางคือฮูหยินใหญ่แต่เพียงผู้เดียวแล้ว ซูเย่หลิงก็ควรเรียกนางว่าฮูหยินใหญ่สิ!
"เถียงคำไม่ตกฟาก ไม่มีผู้ใดสั่งสอนเจ้าหรือว่าควรพูดจากับผู้ใหญ่อย่างไร หรือว่าต้องให้ข้าตบปากเจ้าเป็นการสั่งสอนดี"
"คำนี้แม่รองพูดไม่ถูกเจ้าค่ะ แม้มารดาจะจากข้าไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก ๆ แต่ข้าได้รับการสั่งสอนเป็นอย่างดีมาจากท่านยายผู้เป็นฮูหยินตราตั้งของท่านแม่ทัพผู้พิทักษ์ชายแดน ฉะนั้นหากแม่รองยังกล่าวเช่นนี้อีก เกรงว่าผู้อื่นจะหัวเราะแม่รองเอาได้นะเจ้าคะ" นางแสยะยิ้มร้าย
"เจ้า! กล้าว่าข้าหรือ"
"ข้าแค่อธิบายแม่รองเจ้าค่ะ ที่ข้าพูดก็เพราะเป็นรห่วงแม่รองนะเจ้าคะ"
เจียงหรูลี่หายใจแทบไม่ทันกับวาจายอกย้อนของซูเย่หลิง เพราะนางเป็นสตรีที่แข็งกระด้างเช่นนี้ไงเล่า ไม่รู้จักดูทิศทางลมเสียบ้างเลย หากนางรู้จักหนักเบา ยอมก้มหัวอ่อนน้อมต่อนางผู้เป็นภรรยาเอก นางก็คงพอจะเมตตาบ้างหรอก แต่นี่...อะไร ทำตัวเป็นศัตรูกับนางอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ต้องโทษที่คราวนั้นนางยอมให้ซูเย่หลิงไปอยู่ที่จวนตระกูลหลี่เกือบ 10 ปี ตั้งแต่ที่นางอายุแค่ 7 หนาว เมื่อซูเย่หลิงกลับมาก็มีท่าทีต่อต้านนางถึงเพียงนี้
"ท่านแม่...อย่าได้โกรธพี่สาวเลยเจ้าค่ะ นางไม่รู้จักมารยาทก็ช่างเถิด เรามาพูดเรื่องธุระกันดีกว่านะเจ้าคะ"
'ซูจือเหมย' เอ่ยเตือนสติมารดา นางคือสตรีผู้ได้ชื่อว่างดงามราวกับดอกเหมยในวสันตฤดู รอบกายของนางให้บรรยากาศสดใสร่าเริง รอยยิ้มของนางก็อ่อนหวานยิ่งนัก บุรุษที่ได้เห็นล้วนแต่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความลุ่มหลงกันทั้งสิ้น รวมถึงคู่หมั้นของซูเย่หลิงด้วย
บทที่ 8คู่หมั้นหน้าตายสามแม่ลูกกลับมาปรึกษาหารือกันที่เรือนของซูจือเหมย ข้าวของที่วางเอาไว้ประดับห้องอย่างหรูหราได้ถูกซูจือเหมยขว้างปาราวกับของไร้ค่า เพล้ง เพล้ง โครม!ซูจือเหมยกลับมาถึงก็บันดาลโทสะออกมาทันที นางรู้สึกเหมือนหัวใจจะระเบิดออกมาด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ตอนที่อยู่ในห้องโถงนางก็พยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถ เมื่อกลับมายังเรือนของตนจึงไม่รอช้าที่จะระบายความโกรธออกมาทันที"ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างถึงตกไปอยู่ในมือของนังเย่หลิงตลอดเลย โอกาสดี ๆ มักจะเป็นของมันทั้งหมด แต่ข้า... ข้าที่เป็นบุตรสาวของท่านพ่อเช่นกันกลับไม่ได้รับสิ่งใดเลย นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด""ใช่! ท่านแม่ต้องไปขอร้องท่านพ่อนะขอรับ ทั้งเรื่องเรียนกับองค์หญิงสี่และเปลี่ยนตัวคู่หมั้นด้วย" ซูซานเย่เองก็เห็นด้วยกับพี่สาวของตน "แม่รู้ว่าพวกเจ้าไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่นี่เป็นพระประสงค์ของไทเฮา แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่กล้าขัดพระประสงค์ ส่วนเรื่องคู่หมั้นของนังเย่หลิง แม่มีหนทางอยู่แล้ว อย่างไรก็ต้องเปลี่ยนตัวคู่หมั้นอย่างแน่นอน หลังจากแผนการของเจ้าอย่างไรเล่าอาเย่""ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ท่านแม่กับท่านพี่เตรียมตัวไว้ให้ดี
บทที่ 7บ่าวไม่เคารพนายตึง ตึง ตึง!!เสียงทุบประตูหน้าเรือนเล็ก ปลุกให้ซูเย่หลิงที่เพิ่งหลับไปได้ไม่นานต้องตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย นางหยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยความหงุดหงิดใจ นี่คนเรือนใหญ่จะไม่ยอมให้นางได้อยู่อย่างสงบ ๆ เลยหรือไร "มีอะไร!" นางตะโกนถามคนด้านนอกที่ยังทุบประตูไม่หยุด"นายท่านให้บ่าวรีบมาตามคุณหนูเจ้าค่ะ""ข้ารู้แล้ว""คุณหนูต้องรีบตามบ่าวมาเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ"ผลัวะ!ซูเย่หลิงเปิดประตูมองคนที่กล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับนาง คิดว่านางนิ่งเฉยหมายความว่านางกลัวหรือ นางแค่ไม่ให้ค่าเท่านั้นเอง แต่ดูท่าว่านางจะนิ่งเฉยเกินไปจนแม้แต่บ่าวไพรไม่เกรงกลัวนายเลย"เอ่อ...นายท่านรีบให้คุณหนูตามไปพบเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ" สาวใช้ผู้เป็นคนของเจียงหรูลี่เอ่ยกุกกัก นางไม่คุ้นชินกับสายตาน่ากลัวของคุณหนูใหญ่เลย"ข้าบอกว่ารู้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงฟังมิรู้ความ ท่านพ่อไม่ตำหนิที่ข้าจะล้างหน้าแต่งกายก่อนจะไปพบท่านหรอก""แต่ว่า...""กล้าไม่ฟังคำข้าหรือ"ดวงตาดุดันจ้องมองสาวใช้ที่กล้าตีฝีปากผู้นี้ด้วยความไม่พอใจ "บะ บ่าวจะไปเรียนนายท่านตามนี้เจ้าค่ะ"สาวใช้ผู้นี้รีบหมุนกายเดินจากไปทันที ไม่มีแม้แต่ท่าทีนอบน
บทที่ 6สตรีแปลกประหลาดซูเย่หลิงไม่คิดจะปล่อยคนชั่วพวกนั้นให้ลอยนวล นางหยิบมีดสั้นเล่มเล็กที่ซ่อนเอาไว้ตรงเอว ขว้างไปถูกพวกมันทั้งหมดในคราวเดียวกัน มีดสั้นกว่าห้าเล่มถูกขว้างแค่ครั้งเดียวจากมือของซูเย่หลิง คนชุดดำอีกสามคนที่ยังรอดชีวิตจากการสังหารของจ้าวเหว่ยนอนทรุดอยู่ตรงนั้น พวกมันยังคงหายใจอยู่แต่สลบไปแล้ว เพราะมีดสั้นของนางได้เคลือบยาสลบชนิดรุนแรงเอาไว้"หึ! กล้าชี้ดาบมาใส่ข้าเองนะ"ซูเย่หลิงยืดอกมองผลงานของตนเอง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างสงบลงแล้ว นางจึงคิดจะเดินจากไปแต่กลับถูกจ้าวเหว่ยทะยานตัวมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน"มาขวางทางข้าทำไม"จ้าวเยว่ชิงที่มองซูเย่หลิงราวกับเทพเซียนมาโปรดก็รีบวิ่งมากอดแขนนางด้วยความสนิทสนมทันที องค์หญิงสี่ผู้เพิ่งผ่านความเป็นความตายเมื่อครู่รู้สึกติดหนี้บุญคุณสตรีนางนี้มากนัก"ขอบคุณแม่นางมากที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ" จ้าวเหว่ยมองดวงตาคู่สวยด้วยความขอบคุณจากใจจริง"พี่สาว ท่านเก่งกาจยิ่งนัก ขอบคุณท่านมาก หากไม่ได้ท่านข้าคงตายไปแล้วเป็นแน่" จ้าวเยว่ชิงมองซูเย่หลิงตาปริบ ๆ"เอ่อ... เรื่องเล็กน้อย ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัว"การเผชิญหน้ากับจ้าวเหว่ยในรอบ 10 ปีทำ
บทที่ 5เรื่องระทึกในคืนไหว้พระจันทร์การประมูลดาบสั้นดวงเดือนจบลงที่ 1,000 เหรียญทอง โดยผู้ที่ได้ไปคือจ้าวเหว่ย จ้าวเยว่ชิงผู้เป็นน้องสาวแบมือเพื่อขอดาบสั้นคู่นี้ แต่ผู้เป็นพี่ชายกลับมอบมีดสั้นอีกเล่มที่เขาใช้เงิน 500 เหรียญทองประมูลมาให้กับนาง"เหตุใดถึงเป็นมีดสั้นเล่มนี้เล่าเพคะ น้องอยากได้ดาบสั้นมากกว่า""มีดสั้นเล่มนี้เหมาะกับเจ้ามากกว่า ส่วนดาบสั้นคู่นี้พี่จะเก็บเอาไว้เอง""หึ! เสด็จพี่ชอบกลับคำ""หรือจะไม่เอา"จ้าวเหว่ยดึงมีดสั้นกลับมา แต่จ้าวเยว่ชิงรีบคว้าเอามาถือไว้เอง นาน ๆ ทีที่นางจะได้รับของขวัญจากพี่ชาย ย่อมต้องไม่ปล่อยให้หลุดมืออยู่แล้ว"ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพี่ใจดีที่สุดเลย""หึ!"จ้าวเหว่ยจับโยกศีรษะของจ้าวเยว่ชิงเล่น นางยังเป็นน้องสาวที่ชอบประจบเอาใจมิมีเปลี่ยน แม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 10 ปีที่เขาไม่ได้พบนาง แต่จ้าวเยว่ชิงก็ยังคงน่ารักเหมือนเดิมในความทรงจำของเขา ดั่งเช่น... น้องสาวตัวน้อยที่เขาเคยมีโอกาสได้เล่นกับนางเมื่อนานมาแล้ว"เสด็จพี่จะเข้าวังเมื่อไหร่เพคะ เสด็จแม่ทรงถามหาบ่อยแล้ว ฝ่าบาทเองก็อยากจะพบหน้าเสด็จพี่ด้วย""วันพรุ่งพี่จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับเสด็จแม่ ส่วนเจ้
บทที่ 4ไม่มีใครยอมใครลานประมูลชั้นสองแห่งหอประมูลตระกูลเฉิน บัดนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ เนื่องจากในค่ำคืนนี้ได้มีอาวุธที่ล้ำค่าถูกนำขึ้นมาประมูลอย่างมากมาย ภายในลานประมูลจึงคึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย แถวหน้าจะเป็นที่นั่งของแขกพิเศษที่มีทั้งเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงและชนชั้นสูง โดยทุกคนจะสวมหน้ากากอำพรางใบหน้าของตนเอาไว้ ส่วนแถวถัดไปจะเป็นของเหล่าคหบดีหรือคนมีเงินซูเย่หลิงสวมหน้ากากกระต่ายน้อยสีขาว วันนี้นางได้ถูกจัดให้นั่งแถวแรกซึ่งเก้าอี้ด้านข้างของนางคือที่นั่งของเชื้อพระวงศ์ หากเป็นคนนอกก็คงไม่รู้แต่เพราะนางทำงานที่หอประมูลจึงรู้ตำแหน่งที่นั่งดี และเมื่อนางหันมองไปทางด้านข้างก็พบกับดวงตาสีนิลที่ให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่น บุรุษผู้มีร่างกายสูงใหญ่จนแทบจะบดบังตัวของนางมิด เขากำลังหันมามองนางเช่นเดียวกัน เพียงแรกพบสบตานางก็รู้สึกครั่นคร้ามไปทั้งตัวแม้เขาจะสวมหน้ากากพยัคฆ์สีดำเฉกเช่นดวงตาของเขา แต่ความน่าเกรงขามและกลิ่นอายสังหารนั้นมิอาจช่วยปิดบังตัวตนของเขาได้เลย ซูเย่หลิงชะงักค้างไปด้วยความตกใจเล็กน้อย"เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้" ริมฝีปากเล็กพึมพำเสียงเบากับตนเอง แต่คนด้านข้าง
บทที่ 3หอประมูลตระกูลเฉินท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดสนิท บ่าวไพร่ในจวนก็กลับไปพักผ่อนในเรือนคนใช้ บางคนก็ออกไปร่วมงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ เวรยามที่รักษาความปลอดภัยภายในจวนจึงหย่อนยานลง เป็นผลให้ซูเย่หลิงสามารถลอบออกมาจากจวนได้อย่างง่ายดาย นางมีช่องทางลับพิเศษที่มีนางเพียงคนเดียวที่รู้ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางลอบออกไปจากจวน เนื่องจากเจียงหรูลี่ใช้อุบายให้เงินเดือนนางเพียง 2 ตำลึงทองซึ่งน้อยมากหากเทียบกับคุณหนูคนอื่น ๆ แต่นางจะทำอะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายได้คอยเป่าหูบิดาไปเรียบร้อยแล้ว ซูเย่หลิงจึงต้องหาหนทางหาเงินด้วยตัวเอง โดยทุกคืนนางจะไปยังหอประมูลตระกูลเฉินเพื่อทำงาน ซึ่งงานของนางก็ไม่ได้ยากเย็นอันใด เพียงแค่ทำหน้าที่ตรวจสอบอาวุธที่ได้รับมา และส่งต่อให้กับทางหอประมูลเพื่อนำไปประมูลต่อไปต้องยกความดีความชอบที่นางใฝ่รู้เรื่องอาวุธตั้งแต่ยังเด็ก สมัยที่อยู่จวนตระกูลหลี่ ท่านตาผู้รอบรู้เรื่องอาวุธรวมถึงเหล็กกล้าที่ใช้ตีอาวุธจึงได้สั่งสอนนาง เพราะความรู้นี้เองจึงทำให้ได้ทำงานที่หอประมูลแห่งนี้ แต่ละเดือนจะได้เงินเดือนกว่า 50 ตำลึงทอง ถ้าใช้อย่างประหยัดและเก็บออมก็จะมีเงินเก็บมากพอดู แต่เพราะน