“ขาวหรือดำเล่า” อวิ๋นชีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่ายังคงแหบแห้งอยู่มาก
“ฮ่า ๆ ดี ๆ ข้าชอบความตรงไปตรงมาของเจ้านัก ตาแก่อย่างข้าเป็นผู้เรียนรู้ยาสมุนไพรและการต่อสู้พอได้ป้องกันตัว ไม่ชอบความดำมืดเพราะมันเหนื่อย ข้าเป็นคนขี้เกียจ” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ถามแค่นิดเดียว ตอบเสียอ้อมขุนเขา”
อวิ๋นชีพูดด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย คนตรงหน้านางน่ากลัวใช่เล่น เพราะคนที่มองทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน เท่าที่เธอเคยสัมผัสกับคนประเภทนี้ บอกเลยว่าเป็นคนที่มากด้วยเรื่องภายในใจ และถ้าลงมือเมื่อไหร่ไม่มีคำว่าปราณี
“บ๊ะ! เจ้าเด็กคนนี้ พอพูดได้ก็วาจาเลาะร้ายเชียวนะ ตกลงเจ้าจะกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”
“ศิษย์คารวะ ท่านอาจารย์”
ร่างบางคุกเข่าลงประสานมือ เหมือนที่เคยเห็นในหนังย้อนยุค มีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธคนแบบนี้ได้ เธอขอเลือกก้มหัวเพื่ออยู่รอดในยามที่ตัวเองไร้เรี่ยวแรง ดีกว่าทำตัวผยองทั้งที่ไม่มีอะไรสู้ใครได้
ไม่ว่าตอนนี้จะเรื่องจริงหรือความฝัน สิ่งแรกต้องทำคือแสดงเป็นเจ้าของร่างให้สมจริง พร้อม ๆ กับการเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว เรียนรู้ทั้งวิชาและการใช้ชีวิตของโลกที่เธอไม่รู้จักนี้ก่อน
ถ้าเป็นแค่ฝันถือว่าเธอมาท่องเที่ยว ตื่นแล้วก็แค่จดจำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้ามันคือเรื่องจริงเหมือนในหนัง ที่ตายและทะลุมิติมาโลกคู่ขนาน เธอก็ต้องสร้างตัวตนให้อยู่รอดและปลอดภัย
“ฮ่า ๆ ร้ายนักนะ เช่นนั้นเราไปที่บ้านข้าก่อน ขืนเจ้ายังอยู่ในสภาพนี้ ไม่นานก็ตายอยู่ดี มุ่ยมุ่ย อย่าขี้เกียจออกมาพาน้องสาวเจ้ากลับบ้านกัน”
หญิงสาวขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อชายชราเรียกหาใครสักคน ก่อนที่อวิ๋นชีจะดวงตาเบิกกว้าง เมื่อทิเบตันสายพันธุ์ดังเดิม ได้โผล่หัวออกมาจากป่า ในยุคที่เธอจากมาคิดว่ามันตัวใหญ่มากแล้ว
แต่ในยุคต่างโลกนี้มันดูจะเหนือกว่านับเท่าตัว ความดุและใหญ่โตของมัน ยังคงเป็นอันดับหนึ่งในโลกมิว่ายุคใดก็ตาม เจ้ามุ่ยมุ่ยเดินออกมาดมไปตามร่างกายของหญิงสาว ก่อนที่มันจะใช้หัวดุนร่างเธอเบา ๆ แต่กระนั้นอวิ๋นชีก็เซไปหลายก้าวอยู่ดี
“มันต้องการให้เจ้าขึ้นไปบนหลังของมัน หนทางมันไกลหากให้เจ้าเดินเอง ไม่รู้กี่วันจะถึง”
อวิ๋นชีอ้าปากหวอเมื่อตัวของเธอ ถูกยกด้วยมือเพียงข้างเดียวของผู้เป็นอาจารย์ ก่อนจะจับเชือกหนังที่อยู่บนคอของมุ่ยมุ่ยเอาไว้แน่น หญิงสาวหลับตาลง พร้อมหมอบราบไปบนขนหนานุ่มของทิเบตันตัวใหญ่ ตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์
สิ่งเดียวที่รับรู้ตอนนี้คือ สายลมที่ปะทะใบหน้าอย่างแรง คล้ายตอนที่เธอกำลังโดดร่มอย่างไรอย่างนั้น หญิงสาวหรี่ตาขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่เห็นมันนับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เจ้ามุ่ยมุ่ยมันออกวิ่งเร็วกว่าม้าแข่งเสียอีก
ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็สงบลง สายลมที่เคยปะทะใบหน้า ก็เป็นเพียงอากาศเย็นที่เอื่อยเฉื่อย ที่แน่ ๆ ตอนนี้ใบหน้าของเธอชาหนึบ จากแรงลมในตอนที่เจ้ามุ่ยมุ่ยวิ่ง
“มา ๆ ลงมาได้แล้ว ถึงสำนักของเราแล้ว”
หญิงสาวลงจากหลังของมุ่ยมุ่ย ก่อนจะมองไปรอบ ๆ มันสวยงามมาก มีทั้งน้ำตก ดอกไม้ป่า เหมือนภาพวาดย้อนยุคของจิตกรชื่อดังหลายคนเลย
“ท่านอาจารย์ ไยข้าจึงพูดได้หรือมันแค่ความฝันเท่านั้น”
โป๊ก! พัดในมือของผู้เป็นอาจารย์ ตีลงบนหน้าผากของหญิงสาว ก่อนจะหัวเราะชอบใจ เมื่อหญิงสาวเอามือลูบหน้าผากปอย ๆ
“เจ็บไหม!”
“เจ้าค่ะ”
“แสดงว่านี่คือความจริง เจ้าไม่ได้เป็นใบ้มาแต่กำเนิดมิใช่รึ!”
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“ข้าเป็นหมอ เอาเป็นว่าไปจัดการกับร่างกายเหม็นเน่าของเจ้าเสียก่อน ห้องเจ้าอยู่ทางนั้น เสื้อผ้าที่มีในนั้นใส่ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ห้องอาบน้ำอยู่ติดกับห้องนั้นแหละ มันมีบ่อน้ำอุ่นอยู่ใช้ได้เต็มที่”
“ท่านอาจารย์ ห้องนั้นของผู้ใดเล่าเจ้าคะ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า”
ไม่มีคำตอบอื่นใดอีก ผู้เป็นอาจารย์ก้าวยาว ๆ หายไปในตัวเรือนอีกด้าน ก่อนจะตะโกนกำชับให้นางรีบจัดการตนเองให้เสร็จสิ้น จะได้กินข้าวและยา
คงมีเพียงมุ่ยมุ่ยเท่านั้น ที่อยู่เป็นเพื่อนของเธอ ทั้งสองเดินไปยังห้องที่อยู่อีกด้าน เธอคงต้องทบทวน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเธอและเจ้าของร่างอีกครั้ง
และที่สำคัญเธอต้องมองหาหนทาง ที่จะอยู่ในความแปลกใหม่นี้ให้ลงตัว เห็นทีคงต้องเป็นนักแสดงมืออาชีพดูสักหน่อย จะเป็นคนดีหรือเลวก็ต้องดูตามเนื้อผ้าไปก่อน
หญิงสาวก้าวเข้าไปภายในเรือน ก่อนจะสำรวจข้าวของเครื่องใช้ นี่มันมีแต่ของผู้ชายทั้งนั้น ว่าแต่เจ้าของเดิมหายไปที่ใดเล่า ถ้าเขากลับมานางจะต้องทำหน้ายังไงมาใช้ห้องและเสื้อผ้าของเขา
สามวันถัดมา ณ จวนเชียว เมืองฮั่วโจวอวิ๋นชีได้กลับมาที่จวน ซึ่งเจ้าของร่างได้อาศัยอยู่ ร่องรอยฟกช้ำของเธอยังคงมีอยู่ และวันนี้สิ่งแรกที่ต้องทำคือเป็นเชียวอวิ๋นให้เต็มตัว ในเมื่อพวกเขาไม่คิดใส่ใจเจ้าของร่าง เดี๋ยวเธอจะจัดการชำระความ พร้อมสร้างอำนาจในเงามืด ตามที่ผู้เป็นอาจารย์เสนอมา
“คุณหนู! หายไปที่ใดมาเจ้าคะ บ่าว...”
เพี๊ยะ! ใบหน้าของสาวใช้ข้างกายสะบัดไปตามแรงฝ่ามือ แน่นอนว่ามันดูจะหนักไปสักหน่อย หากเทียบกับเรี่ยวแรงของคุณหนู ที่แม้แต่ตบยุงยังไม่ตาย
“คุณหนูตบบ่าวทำไมเจ้าคะ บ่าวผิดหรือเจ้าคะที่เป็นห่วง”
เชียวอวิ๋นยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเข้าใกล้สาวใช้ ที่ตั้งใจพูดเสียงดัง คงจงใจที่จะให้ทุกคนในจวนรู้ถึงการกลับมาของนาง และคงพร้อมจะเอ่ยถึงความอัปยศ ที่สาวใช้ตัวดีจงใจให้มันเกิดขึ้น
เชียวอวิ๋นปล่อยห่อผ้าลงตรงหน้าของสาวใช้ ก่อนจะเดินเลยไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำเพียงก้มมองเท่านั้น ปึก! ตุบ! เท้าบางเตะเข้าที่ขาพับของสาวใช้
ทำให้สองเข่าของสาวใช้ทรุดลงกระแทกกับพื้น สาวใช้กำหมัดแน่นด้วยความคับแค้น ก่อนจะจ้องไปที่ห่อผ้า สิ่งที่โผล่พ้นออกมาให้เห็น มันคือนิ้วมือของบุรุษ สิ่งนั้นทำให้สาวใช้ถึงกับสั่นเทาไปทั้งร่าง
“อ๊ะ! คุณหนู!”
ใบหน้าของสาวใช้แหงนขึ้นสบตากับผู้เป็นนาย เมื่อมือบางรวบดึงเส้นผมของนางอย่างแรง เพื่อบังคับให้เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“เกิดสิ่งใดขึ้น! เจ้าหายไปที่ใดมาเชียวอวิ๋น”
จวนแม่ทัพกวง ร่างสูงอุ้มภรรยาก้าวหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะพาหญิงสาวตรงไปยังห้องอาบน้ำที่เชื่อมติดกัน บ่อน้ำร้อนมีควันลอยอยู่เหนือผืนน้ำ แม่ทัพหนุ่มคำนวณเวลาอยู่ภายในใจ นับตั้งแต่ออกจากวัง จนมาถึงที่นี่ใช้เวลาไปมากน้อยแค่ไหน และตอนนี้ภรรยาเขาเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งก้านธูป แม่ทัพหนุ่มไม่รอช้ารีบปลดเปลื้องอาภรณ์ทั้งของเขาและนาง แล้วพาร่างเปลือยเปล่าของภรรยาลงไปในบ่น้ำร้อน เพื่อชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบเลือด เชียวอวิ๋นภาวนาให้ความร้อนของน้ำ ทำให้ร่างกายของนางฟื้นตัว และฤทธิ์ยาของผู้เป็นอาจารย์หายไป ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อร่างกายของนางกลับร้อนรุ่มราวมีไฟแผดเผาอยู่ด้านในหญิงสาวอยากจะกรีดร้องออกมา ทว่ามันไม่อาจทำได้ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เหมือนรู้ล่วงหน้า ยาประหลาดนี่คงทำขึ้นมาใหม่ ในช่วงที่นางเดินทางออกจากฮั่วโจวแล้วเป็นแน่“อวิ๋นเอ๋อร์ ครั้งนี้พี่จะพยายามถนอมเจ้าให้มาก พอเจ้าหายแล้วเราค่อยทำกันใหม่นะ”เชียวอวิ๋นอยากเอาอะไรมาทุ้มใส่หัวของสามีนัก เขาพูดมาได้อย่างไรว่าค่อยทำใหม่ จะโลกเก่าโลกใหม่ นางก็ยังไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เลยนะ ไยเขาไม่ให้นางได้ร่ว
“ดูเหมือนท่านแม่จะผิดหวังไม่น้อย ที่ข้าหายป่วยเร็วเกินไป” เชียวอวิ๋นคลี่ยิ้มร้าย นางแค่อาศัยร่างของสายเลือดสกุลเชียว แต่นางหาได้เป็นสกุลเชียวแม้แต่น้อย ฉะนั้นถ้าต้องลงมือกับใครนางก็มิได้รู้สึกผิด “หากข้าไม่กลับไป ต้วนเหนียงต้องตาย เงินของเจ้ามันไม่อาจซื้อทุกอย่างไรเชียวอวิ๋น” “คำนั้นเก็บไว้ใช้เองเถิดฮูหยินใหญ่ เพราะข้ารู้ดีว่าคนของข้ามีนิสัยเช่นไร” “...” อู๋ชวงขมวดคิ้วจนชิด ก่อนจะขบกรามแน่น เมื่อนึกได้ว่านางกับสามี ถูกตลบหลังจากชายหนุ่มที่รับเงินของพวกนางไปถึงสองพันตำลึง “อยากเล่นละคร สับขาหลอกข้าให้หลงกล ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าการแสดงของท่านล้ำเลิศกว่าผู้ใด” “แต่ฝีมือการเด็ดลมหายใจเจ้า ข้ามั่นใจว่าเหนือกว่าเจ้าหลายเท่านักเชียวอวิ๋น” เชร้ง! การต่อสู้ของสตรีต่างวัยได้เริ่มขึ้นแล้ว รอบบริเวณเต็มไปด้วยเสียงอาวุธกระทบกัน ซึ่งทางด้านนอกประตูวัง แม่ทัพทั้งสองได้แยกกันตีฝ่าคนละฝั่ง กวงเฉินหลางแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเขา จะสามารถเข้ามาถึงเมืองหลวงได้ในเวลาเพียงยี่สิบกว่าวัน เ
ห้าวันถัดมา วังหลวง ทั่วทั้งเมืองหลวง ต่างเต็มไปด้วยพลุไฟและแสงสว่างทุกซอกซอย ไม่เว้นแม้แต่ในวังหลวง ที่เหล่าบรรดาสนมนางใน ขันทีต่างพากันจุดโคมและพลุไฟเล่นกันอย่างสนุกสนาน แน่นอนว่าต้องมีความเข้มงวดในการอารักขา ทหารจำนวนมากได้ถูกส่งเข้ามาคุ้มกัน ซึ่งมิใช่ทหารเกราะทองที่ขึ้นตรงกับฝ่าบาท ขุนนางใหญ่หลายท่านได้เดินทางมาข้าเฝ้า เพื่อร่วมอวยพรในวันดีของแคว้นตำหนักใหญ่ฮ่องเต้กำลังนั่งถอนหายใจอยู่ภายในห้องลับ โดยเบื้องหน้าของเขาคือชายชรา ที่กล้าหนีหน้าไปปลีกวิเวกอย่างสบายใจ ปล่อยให้เขาแบกทุกอย่างไว้เพียงลำพัง“คนเป็นใหญ่นี่มันลำบากมากเลยนะ”ชายชราเอ่ยขึ้น โดยที่มือนั้นยกจอกสุราชั้นดีขึ้นดื่ม ส่วนโอรสสวรรค์ได้แต่ค้อนขวับให้แก่คนพูด“ท่านปู่ไม่คิดที่จะรับมันคืนไปหรือขอรับ”“ที่นั่งตรงนั้นมันเป็นของปู่เจ้า และมาเป็นเจ้า ข้าแก่แล้วชอบนั่งเบาะเล็ก ๆ”ชายชราเก็บความรู้สึกสะเทือนใจเอาไว้ภายใน เมื่อเอ่ยถึงน้องชายที่จากโลกนี้ไปแล้วเหลือไว้เพียงหลานชายคนเดียว ที่เขาต้องรับภาระเป็นเบื้องหลังให้แก่เสวี่ยจ้านหลงจนกว่าจะแกร่งพอและยืนได้โดยที่ไม่ต้องมีปีกของเขาคุ้มกัน ศึกสายเลือดที่
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูปทุกอย่างได้จบลง เมื่อแม่ทัพเฉาเชียนผละจากร่างของอี้หรู เข้าจัดการทุกอย่าให้เสร็จสิ้น ก่อนคนที่เขารักจะเป็นอันตรายไปมากกว่านี้ “แม่ทัพกวง หากไม่เป็นการรบกวนท่านจนเกินไป รบกวนรีบนำทางข้าไปยังจวนของท่านด้วย น้องสาวกับคนรักของข้าดูจะย่ำแย่มิน้อยเลย” เฉาเชียนเอ่ยจบก็ได้ก้าวไปยังอี้หรู ที่พิงอยู่ข้างต้นไม้ โดยมีคนของเขาเฝ้าคุ้มกัน ร่างสูงช้อนอุ้มหญิงสาวขึ้นสู่อ้อมแขน ก่อนจะออกมายืนรอรถม้า ที่สภาพพังไปกว่าครึ่ง แต่ก็ยังพอบรรทุกคนเจ็บไปได้อยู่ กวงเจี้ยนอาสาอุ้มลูกสะใภ้เอง เพราะดูจากสภาพของบุตรชายแล้ว เดินได้ก็นับว่าวาสนา แม่ทัพหนุ่มไม่คิดขัดบิดา เขาใช้ดาบช่วยพยุงร่างเอาไว้มิให้ล้มลง อย่างน้อยสกุลกวงก็ยังยืดเวลาไปได้อีกสักระยะ ตราบใดที่เสบียงไม่หายไปและตัวเขายังไม่ตาย ยี่สิบวันถัดมา เมืองหลวง เรือนพักฆราวาสอารามทิศใต้ ร่างสูงใหญ่ของท่านเสนาบดีนั่งผิงอยู่กับหัวเตียง โดยมีภรรยารองนั่งอยู่เคียงข้าง กว่ายี่สิบวันแล้วที่เขาซ่อนตัว เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่นี่“เรียนฮูหยิน ข้าน้อยมีข่าวมาแจ้งขอรับ”
เสียงจากถนนเบื้องหลังของท่านเจ้าเมือง เรียกให้ทุกสายตาหันไปด้วยความแตกตื่น คนบนหลังม้าที่ควบมาอย่างลืมตาย คือเชียวอวิ๋นฮูหยินในท่านแม่ทัพกวง กวงเจี้ยนถึงกับต้องพยายามเรียกสติ สะใภ้ใบ้ของเขาไยจึงเปล่งเสียงออกมาได้ชัดเจนถึงเพียงนี้ ก่อนที่ทุกคนจะสังเกตเห็นชัด ว่ามีร่างของใครอีกคนช้อนอยู่เบื้องหลังของนาง เฉาเชียนฝ่าคู่ต่อสู้ตรงไปหาศิษย์ผู้น้อง หากไม่มีเรื่องหนักหนา คนที่มีความอดทนสูงเยี่ยงเชียวอวิ๋น ไยถึงกล้าเผยความลับของตน ทั้งที่รู้ว่ามีศัตรูอยู่เบื้องหน้า “อย่าให้ใครรอดไปได้” เฉาเชียนตะโกนสั่งการเสียงกร้าว เพื่อมิให้ความลับของเชียวอวิ๋นหลุดรอดไปถึงหูของคนในเงามืด นางต้องเป็นสตรีไร้สามารถในสายตาของคนพวกนั้น จนกว่าทุกอย่างจะสงบลง ชีวิตภายหน้าค่อยว่ากันอีกที“ช่วยเขา! ได้โปรดศิษย์พี่” “อวิ๋นน้อยเกิดสิ่งใดขึ้น” “ท่านแม่ทัพกำลังแย่ เขาถูกพิษและมันเกินกำลังของข้า” แม่ทัพหนุ่มรีบช่วยพาร่างของกวงเฉินหลางลงจากหลังม้า การต่อสู้ยังหนักหน่วง คนของพวกเขายังน้อยกว่าศัตรูอยู่เท่าหนึ่ง กองหนุนก็มิอาจเรียกใช้ได้ เพราะป้ายคำสั่งต้อ
ทหารคนเดิมกระซิบบอกแก่รองแม่ทัพ ที่มองฮูหยินคล้ายว่านางไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใด รองแม่ทัพได้แต่อ้าปากหวอ เมื่อรู้ถึงเหตุผลที่ฮูหยินในท่านแม่ทัพไม่คิดเอ่ยสิ่งใดกับเขาหรือใคร ๆ “ฮูหยินโปรดอภัยที่ข้ามิรู้ความ” เชียวอวิ๋นคลี่ยิ้มละมุน ก่อนจะย่อตัวลงสำรวจร่างกายของสามี หญิงสาวคว้าจับข้อมือของเขาขึ้นมาตรวจชีพจร คิ้วงามขมวดชิดกัน เมื่อรับรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้สามีของนางพลาดพลั้งในครานี้หญิงสาวล้วงเอาขวดยาออกมาเทลงไปในปากของสามี ก่อนจะเรียกให้คนของนางมาช่วยพยุงเขาขึ้นหลังมาให้นาง หญิงสาวเหวี่ยงกายขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนผู้ติดตามได้ช่วยพยุงร่างของแม่ทัพหนุ่ม ส่งขึ้นซ้อนด้านหลังของนายหญิง อี้หรูส่งสายรัดเอวให้แก่ผู้เป็นนาย เพื่อผูกติดแม่ทัพหนุ่มมิให้ร่วงลงระหว่างเดินทาง เชียวอวิ๋นได้มอบหมายให้อี้หรูถ่ายทอดคำพูดแทนนาง ก่อนจะควบม้าออกไปอย่างเร่งร้อน เป้าหมายของนางมิใช่จวนแม่ทัพ แต่เป็นคณะขนเสบียง“ฮูหยินให้พวกท่านกลับไปที่จวนท่านแม่ทัพ ทำทุกอย่างให้เงียบเชียบ เหมือนพวกท่านไร้ลมหายใจไปแล้ว”อี้หรูถ่ายทอดคำสั่งของผู้เป็นนาย หลังจากสื่อสารด้วยภาษามือ ที่มีเพียงนายบ่าวเท่าน