“นอนไม่หลับเหรอหงส์” ท่านพลิกตัวขยับขึ้นมานั่งมองลูกสาวคนโตด้วยสายตาเปี่ยมรัก ไม่มีแววง่วงงุนแม้สักนิด
“แม่ยังไม่หลับอีกเหรอจ๊ะ”
“แม่จะนอนหลับได้ยังไงในเมื่อลูกสาวของแม่เอาแต่นอนถอนหายใจอยู่แบบนี้”
“หงส์ถอนใจด้วยเหรอแม่” เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอถอนหายใจดังจนรบกวนการนอนของมารดา “หงส์ขอโทษนะจ๊ะแม่ หงส์เครียดเรื่องงานนิดหน่อยก็เลยเผลอถอนหายใจแรงไปนิด แม่นอนเถอะจ้ะ หงส์จะไม่รบกวนแม่แล้ว”
“เครียดเรื่องเงินหรือเปล่า ถ้าใช่ก็บอกแม่ได้นะ” ท่านรู้ว่าช่วงนี้ลูกสาวต้องใช้เงินเยอะเกี่ยวกับเรื่องแต่งงาน จึงยินดีที่จะให้เธอหยิบยืมเงินไปใช้หมุนเวียนก่อนอย่างเต็มใจ “แม่ไม่บอกเตี่ยเขาหรอก”
“เปล่าหรอกจ้ะแม่ หงส์ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินหรอกจ้ะ หงส์กำลังเครียดกับการปรับเปลี่ยนตารางเรียนพิเศษต่างหาก”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นแม่ก็คงช่วยอะไรลูกไม่ได้หรอกนะเพราะแม่ไม่เก่งเหมือนลูก”
“ใครว่าแม่ของหงส์ไม่เก่ง แม่ของหงส์เลี้ยงลูกมาตั้งหกคน แต่ละคนก็เรียนจบสูงๆ กันทั้งนั้น แบบนี้จะเรียกว่าไม่เก่งได้ยังไงจ๊ะแม่” ขณะที่เธอกำลังออดอ้อนกับมารดาอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของเธอก็ร้องดังขึ้นมาพอดี “แม่นอนไปก่อนนะ หงส์ขอไปคุยโทรศัพท์แป๊บหนึ่งก่อน” เธอกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปขณะเดินออกไปจากห้องนอนของบุพการี.. และไม่ได้กลับมานอนในห้องอีกเลย
พอรุ่งเช้าก็รีบขับรถกลับไปที่สามพราน ตรงดิ่งไปยังห้องพักของคนรัก
ก๊อกๆๆ
ธนายุทธมาเปิดประตูให้เธอในอาการงัวเงีย เขาเบิกตาโตเล็กน้อยพร้อมกับตั้งคำถามด้วยความสงสัย “ทำไมไม่โทรมาบอกผมก่อนล่ะครับว่าจะมา ผมจะได้ตื่นมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้”
“หงส์ไม่ได้มาเพื่อจะทานอาหารเช้ากับติ๊กหรอกนะ แต่หงส์มาเพราะอยากแวะมาหาติ๊กเท่านั้น” เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บความอยากรู้เอาไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ ยอมเดินเข้าไปในห้องของเขาตามแรงจูงของมือใหญ่ “อย่า”
“ทำไมล่ะ หงส์ไม่ได้คิดถึงแบบนี้เหรอครับ” ธนายุทธซุกปลายจมูกลงบนลำคอระหงที่พยายามหลบหลีก
“วันนี้หงส์ไม่มีอารมณ์หรอกติ๊ก อย่าทำแบบนี้กับหงส์” เธอผลักเขาออกสุดแรงแล้วจ้องเขาเขม็งอย่างลืมตัว
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงดูหงุดหงิดนักล่ะครับ”
“หงส์ขอโทษ หงส์อารมณ์ไม่ดี หงส์แค่อยากจะแวะมาบอกว่าพรุ่งนี้เรามีนัดถ่ายรูปแต่งงานอย่าลืมซะล่ะ” คนอย่างเธอไม่ชอบแหวกหญ้าให้งูตื่น และไม่เคยสนใจคำพูดของใครมากกว่าความคิดของตัวเอง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เพราะคนที่พูดคือคนในครอบครัวของเธอ ซึ่งเป็นคนที่เธอรักและเชื่อใจมากที่สุด ถึงจะไม่เห็นกับตาแต่ก็เชื่อไปแล้วเก้าในสิบส่วน อีกส่วนก็คือตามหาความจริง
‘ถ้านกไม่เห็นติ๊กกับนักศึกษาคนนั้นเดินกอดเอวกันไป นกก็คงไม่คิดลึกหรอกพี่หงส์ ท่าทางแบบนั้นมันไม่ใช่ลักษณะของคนรู้จักแน่ๆ จะว่าเป็นน้องสาวก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะติ๊กเขามีแต่พี่น้องผู้ชายไม่ใช่เหรอพี่หงส์’
คำพูดของน้องสาวคนที่สองยังดังก้องอยู่ในสมองอันน้อยนิดของเธอ
“ไม่ลืมหรอกครับ เมื่อคืนเราก็คุยเรื่องนี้กันแล้วนี่ครับ” เขารั้งเธอมากอดเอาใจ แต่เธอกลับฝืนกายถอยหนี
“หงส์กลับก่อนนะ พรุ่งนี้สิบเอ็ดโมงเราจะเจอกันที่สตูเลยหรือว่าติ๊กจะแวะไปรับหงส์ที่บ้าน” บ้านของเธอในครั้งนี้ก็หมายถึงอาคารพาณิชย์สี่ชั้นสองคูหา ที่เปิดเป็นฟิตเนสสองชั้นและใช้สอนพิเศษหนึ่งชั้น ส่วนชั้นที่สี่ทำเป็นห้องชุดสำหรับอยู่อาศัยและใช้เป็นห้องหอ “เจอกันที่สตูเลยก็ได้ติ๊ก เสร็จแล้วหงส์จะได้กลับบ้านแพ้วเลย”
“ทำไมช่วงนี้คุณกลับบ้านบ่อยจัง”
“ก็เตี่ยไม่อยู่นี่”
“แล้ววันนี้ล่ะ”
“วันนี้หงส์ก็ต้องกลับไปนอนกับแม่เหมือนกัน หงส์แวะมาบอกแค่นี้แหละ ไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวสิครับหงส์” ธนายุทธดึงแขนเรียวของคนรักเอาไว้ ส่งยิ้มหวานตะล่อมใจให้เธอ “คุณลืมอะไรหรือเปล่าครับ”
เธอไม่ลืมการกอดลาพร้อมกับจูบหวานๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งก่อนแยกจากกัน แต่สำหรับวันนี้เธอไม่มีอารมณ์ที่จะทำมันสักนิด และเธอก็ไม่ใช่ประเภทชอบทำอะไรฝืนใจตัวเองซะด้วยสิ
“อะไรหรือคะ”
“ติ๊กว่าหงส์ต้องงอนอะไรติ๊กแน่ๆ เลย”
“นี่คงเป็นข้อดีของคุณสินะ รู้ใจหงส์ดียิ่งกว่ารู้ใจตัวเองเสียอีก” ถึงแม้จะพยายามระงับอารมณ์เอาไว้แล้ว แต่ก็อดประชดใส่เขาไม่ได้
“คุณงอนผมจริงๆ ด้วย” เขารั้งเธอเข้ามาหาแต่เธอก็ฝืนเอาไว้ จึงขยับเข้าไปและโอบกอดอย่างอ่อนโยน “โอ๋ๆๆ ไม่งอนนะครับคนดีของติ๊ก ติ๊กทำอะไรไม่ถูกใจบอกมาสิครับ ติ๊กจะได้ปรับปรุงตัวเอง”
“ปล่อยนะ” เธอดิ้นรนออกจากอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นนั้นด้วยหัวใจที่อ่อนแอลงไปบ้าง “ยังไม่ต้องรู้หรอกว่าเรื่องอะไร แต่ที่ฉันอยากรู้ก็คือคุณรักฉันจริงไหม”
“ทำไมถึงถามคำถามโง่ๆ แบบนี้ล่ะครับหงส์ ถ้าติ๊กไม่รักหงส์แล้วติ๊กจะแต่งงานกับหงส์ทำไม”
“หงส์ดีใจที่ได้ยินแบบนี้”
“มีใครทำให้คุณไม่สบายใจหรือเปล่า ผมไม่สบายใจเลยที่เห็นหงส์เป็นแบบนี้” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มคล้ายหนุ่มอาหรับ ตั้งคำถามด้วยท่าทางซีเรียส รอฟังคำตอบด้วยหัวใจจดจ่อ
“ไม่มีหรอก หงส์ก็แค่อ่อนไหวเพราะเป็นวันนั้นของเดือน หงส์กลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“ขับรถดีๆ นะครับ” ธนายุทธยืนส่งคนรักด้วยสายตาจนเธอหายไป จึงปิดประตูห้องและกลับไปนอนต่อ เพราะเขาเพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อตอนตีสี่นี้เอง
วันต่อมา
รนิดากับธนายุทธเดินออกมาจากสตูดิโอ หลังจากถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม
“คุณดูเหนื่อยๆ นะหงส์ ให้ผมขับรถไปส่งไหม”
“ไม่ต้องหรอก ติ๊กไปธุระของติ๊กเถอะ นัดเพื่อนไว้ไม่ใช่เหรอ” หลายชั่วโมงที่ง่วนอยู่กับการถ่ายภาพ เขามีสายเข้ามาไม่ต่ำกว่าสิบสาย พอถามก็บอกว่าเพื่อน แต่ลักษณะการแอบคุยของเขาบอกให้เธออย่าเชื่อคำพูดนั้น
มันแปลกแต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลยสักนิด เมื่อก่อนเขาก็มีท่าทางแบบนี้อยู่บ่อยๆ เวลาที่อยู่ด้วยกัน แต่เธอกลับไม่ติดใจสงสัยจนกระทั่งได้ยินคำพูดของน้องสาว มันทำให้เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องและพบว่าเขาเป็นแบบนี้มาพักใหญ่ๆ แล้ว
“แต่ติ๊กอยากไปส่งคุณก่อนนี่นา ติ๊กเป็นห่วงคุณนะ”
“หงส์ไม่เป็นอะไรหรอก ติ๊กรีบไปเถอะ”
“แน่ใจนะ”
“แน่สิ หงส์ไปก่อนนะ”
“โอเคครับ ขับรถดีๆ นะ ถึงแล้วโทรมาบอกผมด้วยล่ะ” ธนายุทธยืนส่งคนรักขับรถจากไปแล้วเดินไปที่รถของตัวเอง ขับรถออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าถูกสะกดรอยตามจากคนที่เพิ่งกล่าวลา
บทส่งท้าย (ตอนที่ 2)ตอนนั้นนายหญิงของนางแทบจะพลิกแคว้นหม่าตามหาลูกเหมือนคนบ้า หาในแคว้นหม่าไม่เจอก็ยังกลับไปที่เมืองหลวงของต้าหมิง เพื่อไปถามเกาอ๋องและชายาของเขาว่ารู้เห็นกับเรื่องนี้หรือไม่คุกเข่าขอความเมตตาขอลูกคืนจากเขา ขอโทษสำหรับเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เคยทำไว้กับครอบครัวเขา เพราะคิดว่าพวกเขาขโมยลูกของนางไป แต่สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใด ๆ ตั้งแต่วันที่นางหนีออกไปจากจวน ถ้าไม่เชื่อก็ให้คนค้นจวนได้เลยด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย นางจึงทำตามที่เกาอ๋องบอกอย่างไม่กริ่งเกรงใจ ค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่เจอ นางจึงคว้าน้ำเหลวกลับมาอีกครั้งกลับมาจากเมืองหลวงนางก็เอาแต่เศร้าโศกเสียใจอยู่เป็นปี แต่ก็ยังส่งคนคอยตามสืบตามหาคุณหนูอันอันจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิก ด้วยหวังว่าจะได้เจอนางในสักวันความเศร้าโศกเสียใจของนางในครั้งนั้นเดือดร้อนถึงฮ่องเต้และฮองเฮาของแคว้นหม่า ต้องเรียกนางเข้าไปพบและพูดคุยให้สติ เยียวยาจิตใจนางด้วยคำพูดและความหวังจากนั้นนา
บทส่งท้าย (ตอนที่1)สิบสองปีผ่านไป“ซินเอ๋อร์”“เจ้าค่ะท่านพ่อ” สาวน้อยวัยสิบสองขานรับคำเรียกบิดาแล้วรีบวิ่งออกจากกระท่อม “โอ้ว! น่ารักจังเลยท่านพ่อ” บอกบิดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี รีบเอาลูกสุนัขที่ท่านอุ้มไว้มาอุ้มแทน “มันชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”“พ่อหามาให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่ลูก ลูกตั้งชื่อตามใจลูกได้เลย”“เช่นนั้นลูกขอตั้งชื่อมันว่าซิงน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกอยากให้มันเป็นน้องชายของลูกมากกว่าสัตว์เลี้ยงเจ้าค่ะ”“แต่พ่อไม่ค่อยชอบชื่อนี้เลย” อาซิงหรือในอดีตที่มีชื่อว่าตงไห่ทำท่าไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “เพราะมันบังอาจชื่อเหมือนลูกสาวคนเดียวของพ่อ”“เช่นนั้นลูกเปลี่ยนเพื่อท่านพ่อก็ได้” เด็กน้อยยอมเปลี่ยนใจง่ายดายเพื่อท่านพ่อของนาง“เจ้าไม่เสียใจหรือลูกซิน”“ไม่เลยเจ้าค่ะ ลูกเป็นลูกของท่านพ่อ สิ่งไหนที่ทำให้
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้านะ เอาไว้ข้าจะให้ป้าเซียวทำอาหารแห้งมาฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน”“ขอบคุณลุงเซียวมาก ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก”“มีเด็กก็ต้องมียาติดบ้านไว้บ้างนะ บ้านข้าก็มีลูกอ่อนเหมือนเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้เมียข้าฝากป้าเซียวมาให้นะ”“ขอบคุณพี่ชายมาก” ตงไห่กล่าวอย่างซาบซึ้งน้ำใจ แต่ความจริงเขาก็มียาหลายเทียบติดตัวมาแล้ว“พวกข้าไปก่อนนะอาซิง มีอะไรก็ไปบอกพวกเราได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”ตงไห่พยักหน้ารับ ยืนส่งจนพวกเขาเดินจากไปไกลจึงเดินเข้าไปในกระท่อมเขาเดินไปที่เปลที่มีทารกเพศหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มนอนหลับสบายอุรา ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ“ลูกเอ๋ย พ่ออยากฆ่าแม่ของเจ้านัก แต่เห็นแก่ความดีที่นางยอมคลอดเจ้าออกมา พ่อจึงไว้ชีวิตนาง ให้นางได้อาศัยอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความทุกข์ไปตลอดชีวิตแทน ส่วนเจ้า..พ่อขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องกำพร้าแม่ ต่อจากนี้ไปเราสองคนจะเป็นคนใหม่ พ่อไม่ใช่ตงไห่แต่เป็นอาซิง ส่วนเจ้าไม่ใช่ลูกหลานตระกูลฉง
ฉงเถียนค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก แข้งขาแทบไม่มีแรงแต่ก็ยังฝืนประคองตัวเอาไว้ แล้วเดินโซซัดโซเซออกไปจากห้องตามหลังเสี่ยวผิงยืนมองสาวใช้ที่กำลังไล่ถามทุกคนในร้านด้วยความร้อนใจ แต่ทุกคนต่างก็ส่ายหน้าให้นาง“ทุกคนฟังทางนี้” นางรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วตะเบ็งเสียงออกไปอย่างดังที่สุดเท่าที่ทำได้ เห็นทุกสายตามองมาก็พอใจยิ่ง “เมื่อคืนนี้ลูกสาวที่เพิ่งเกิดของข้าหายไปจากห้อง ถ้าใครสามารถชี้เบาะแสแก่ข้าได้ ข้าจะมอบบ้านและเงินให้เป็นรางวัล” พูดพร้อมกับชูตราประจำตระกูลขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเชื่อมั่นเสียงของคนในโรงเตี๊ยมดังระเบ็งเซ็งแซ่แทบจะทันทีเมื่อได้ยินและได้เห็นป้ายที่หญิงสาวถือไว้“ท่านคือธิดาของแม่ทัพฉงเหรอ” ชาวบ้านผู้หนึ่งตะโกนถามสตรีที่ยืนอยู่ชั้นบนของโรงเตี๊ยม“ใช่ ข้ามีนามว่าฉงเถียน เป็นธิดาเพียงคนเดียวของฉงเฉิน แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นนี้ ถ้าใครให้เบาะแสแก่ข้าได้ ท่านสามารถเลือกเอาได้เลยว่าอยากมีบ้านอยู่ในเมืองไหน ข้าจะเนรมิตให้ท่านทันที&rdquo
น้ำตาสาวใช้เอ่อล้นตา ต่อให้อีกฝ่ายใช้คำพูดสวยหรูเพียงใด นางก็ไม่สบายใจเลยสักนิด แต่ก็ยอมพยักหน้ารับคำขอ“ได้เจ้าค่ะ บ่าวสัญญาว่าจะเลี้ยงดูคุณหนูอย่างดีที่สุด”“ขอบใจมากนะเสี่ยวผิง” ฉงเถียนยิ้มกว้างด้วยความสบายใจ มองสาวใช้ด้วยความซาบซึ้ง ‘ข้าจะไม่ให้เจ้ากับลูกของข้าต้องอยู่อย่างลำบากหรอก ข้าจะต้องพาพวกเจ้ากลับถึงจวนของบิดาข้าให้ได้ ข้าถึงจะยอมตาย’ คิดในใจโดยไม่พูดออกไปเมื่อทำสำเร็จอย่างที่ตั้งใจแล้ว ต่อให้ตงไห่หรือคนของเกาอ๋องตามมาเอาชีวิต นางก็ยินดีก้มรับชะตากรรม“ท่านหญิง บ่าวขอถามได้หรือไม่ เหตุใดท่านจึงต้องแบกท้องแก่หนีมายังแคว้นหม่าด้วย ทำไมไม่คลอดลูกที่จวนเกาอ๋องเล่า ก่อนหน้านี้บ่าวเคยชวนท่านหนีท่านก็ไม่เห็นด้วย ยืนกรานว่าจะคลอดลูกที่จวนเกาอ๋องให้ได้ แต่ทำไมตอนหลังถึงเปลี่ยนใจง่ายดาย”“.....” ถึงแม้จะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องถูกถาม แต่มันก็ยากที่ต้องตอบความจริงออกไป ฉงเถียนจึงได้แต่นิ่งเงียบเหมือนคนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
“หยุดพูดเรื่องนี้กันเถิดเจ้าค่ะ บ่าวยอมพาท่านเสี่ยงชีวิตข้ามแดนมาคลอดลูกที่แคว้นของเราแล้ว ต่อไปนี้ก็เชื่อฟังบ่าวบ้างเถิดนะเจ้าคะ” เมื่ออยู่ในแคว้นบ้านเกิดแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาปกปิดฐานะเพราะกลัวใครจะจับได้อีก“แต่ข้ายังไม่สบายใจจนกว่าจะกลับถึงบ้านของข้า”“ท่านหญิงกำลังกลัวอะไรกันแน่ บอกให้บ่าวเข้าใจหน่อยเถิด” เสี่ยวผิงเริ่มสงสัย“เปล่าหรอก ข้าก็แค่อยากพาลูกกลับบ้าน จะได้มีแม่นมช่วยดูแลนางเร็ว ๆ ก็เท่านั้น” ฉงเถียนสร้างเรื่องโกหก“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าได้ใช้พิราบสื่อสารส่งข่าวไปทางบ้านแล้ว อีกไม่เกินสามถึงสี่วัน คนของเราน่าจะมาถึงที่นี่ ก็น่าจะเป็นเวลาที่ท่านรักษาตัวจนแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้พอดี และข้ายังได้บอกให้พวกเขาพาแม่นมมาด้วย”“..เจ้าช่างรอบคอบนัก ขอบใจนะเสี่ยวผิง” เจอความรอบคอบของสาวใช้ นางก็จนปัญญาจะแต่งเรื่องมาโกหก จึงได้แต่ดื่มยาในถ้วยจนหมด“อมบ๊วยแก้ขมสักหน่อยนะเจ้าค