ซ่งอวี่ถงรีบออกจากบ้านเพื่อเดินทางเข้าไปตามท่านหมอในตัวเมืองแต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามผ่านประตูรั้วเขาก็หันกลับมามองมู่อิงเถาอีกครั้ง แววตาของเขามีความกังวลบางอย่างซ่อนเอาไว้
“เจ้าอยู่คนเดียวได้แน่นะ”
“ท่านพี่ข้าอยู่คนเดียวเสียที่ไหนกันยังมีหงเอ๋ออยู่ด้วยนะ”
“ท่านอาสามข้าดูแลอาสะใภ้ได้ขอรับ”
ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปที่โรงหมอ
เดิมทีเขาคิดจะพาซ่งหงอี้ไปด้วยแต่เพราะร่างกายที่บอบช้ำจากการโดนทุบตีอีกทั้งยังมีมู่อิงเถาอีกคนการเดินทางเข้าเมืองอาจจะทำให้ล่าช้าขึ้น เขาจึงเลือกที่จะทิ้งทั้งคู่เอาไว้ที่บ้านแล้วเดินทางไปเพียงลำพังในใจก็หวั่นเกรงทั้งคู่จะเป็นอันตราย ได้แต่คิดแล้วก็รีบเดินทางไปด้วยความรวดเร็ว
“หงเอ๋อเจ้าเป็นลูกผู้ชายต้องอดทนเอาไว้นะเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับท่านอาสะใภ้”
“เลิกเรียกข้าว่าอาสะใภ้เสียทีเถอะข้ากับท่านอาสามของเจ้าแม้จะแต่งงานกันแล้วแต่ก็ไม่เคยร่วมหอกันเลยสักครั้งนะ อีกอย่างเจ้าดูรูปร่างของข้าสิเหมาะสมกับท่านอาของเจ้างั้นหรือต่อไปนี้เรียกข้าว่าพี่สาวก็พอแล้ว”
“ไม่เอาหรอกขอรับถึงอย่างไรท่านก็เป็นภรรยาของท่านอาสาม ข้าเรียกอาสะใภ้น่ะถูกแล้ว”
“เฮ้อ…ตามใจเจ้าเถอะ เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยกัดผ้าผืนนี้เอาไว้ทีข้าจะตรวจดูบาดแผลเจ้าเสียหน่อย”
“ขอรับ”
มู่อิงเถาหาเศษผ้าที่สะอาดที่สุดเท่าที่จะหามาได้ให้ซ่งหงอี้กัดเอาไว้ นางตั้งใจจะใช้ไม้มาดามกระดูกที่หักไว้ชั่วคราวเมื่อท่านหมอมาถึงค่อยให้เขารักษาอีกที แม้นางจะมีทักษะทางการแพทย์อยู่บ้างแต่ในยุคที่ไม่มีเครื่องมือสำหรับการรักษาเช่นนี้นางจึงทำได้เพียงแค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น
“นังเด็กโง่”
“เอ๋ อะไรนะ”
“หืม อะไรหรือขอรับอาสะใภ้”
“เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้พูดอะไรงั้นหรือ”
“ไม่เลยขอรับก็ท่านบอกให้ข้ากัดผ้าไว้ไม่ใช่หรือ จะพูดอะไรได้กัน”
“จริงด้วย แล้วเสียงใครกันเล่า”
'ก็ข้าอย่างไรเล่านังเด็กโง่ เมื่อวานตอนหัวค่ำก็เพิ่งพูดคุยกันเจ้าลืมข้าไปแล้วหรือ'
‘เจ้าลิงฮุยงั้นหรือ’ มู่อิงเถาที่เพิ่งจะนึกถึงเรื่องมิติวิเศษขึ้นได้นางจึงได้แต่อุทานในใจเงียบๆ เพราะกลัวว่าซ่งหงอี้จะสงสัยเอาได้
‘ใช่ แต่เอ๊ะ! ลิงงั้นหรือ? นี่เจ้าหลอกด่าข้าอยู่หรืออย่างไร’
‘ใช่ที่ไหนกันเล่าข้าอาจจะออกเสียงผิดไปนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง แล้วเหตุใดซ่งหงอี้ถึงไม่ได้ยินเจ้าเหมือนที่ข้าได้ยินล่ะ’
‘มีเพียงเจ้าที่ได้ยินข้าพูด ในมิติวิเศษมีผลไม้ที่ใช้สมานแผลและเชื่อมกระดูกได้ เจ้าไปเอามันมาให้เจ้าเด็กน้อยคนนั้นกินเสียสิ’
‘จริงหรือนี่!’
‘แต่อย่าลืมว่าเอาอะไรออกไปย่อมต้องตอบแทนทุกครั้ง’
‘ข้ารู้แล้วน่าจะไปไถนาพรวนดินให้ทั้งวันเลย ขอบใจนะ’
มู่อิงเถาเอ่ยออกมาด้วยความดีใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ แม้ว่าซ่งหงอี้จะไม่ใช่หลานแท้ๆ ของนางแต่เพราะได้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บทั้งยังเป็นเด็กอีกด้วยก็อดไม่ได้ที่จะสงสาร เมื่อรู้ว่ามีหนทางรักษานางดีใจเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกอะไร
“หงเอ๋อเจ้านั่งรอข้าอยู่ตรงนี้ข้าจะไปหาสมุนไพรมาประคบแขนให้เจ้า เดี๋ยวข้ามานะเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ”
“อย่าหลับเชียวล่ะเจ้าต้องรอท่านอาของเจ้ากลับมาก่อน”
“ข้ารู้แล้ว”
มู่อิงเถารีบเดินออกจากห้องนอนก่อนจะแอบไปยังหลังบ้าน หลับตาภาวนาในใจเพื่อเข้าไปในมิติวิเศษเมื่อเข้าไปได้แล้วนางก็ตรงไปยังต้นไม้ที่มีผลอิงเถาอยู่เต็มต้น
"คงจะเป็นต้นนี้กระมัง"
นางยืนพะวักพะวงอยู่นานสองนานด้วยขนาดร่างกายของนางแล้วนั้นคงไม่สามารถปีนขึ้นไปได้อย่างแน่นอน
'แล้วจะเก็บมันลงมาอย่างไรดีเล่า'
"โง่เสียจริง"
"นี่เจ้าด่าข้าอีกแล้วนะ"
"ก็โง่จริงหรือไม่เล่าอยากได้อะไรก็เพียงแค่ขอ ลองดูสิ"
'อยากได้อะไรก็เพียงแค่ของั้นหรือ'
"ท่านต้นไม้เจ้าคะ ข้าขอผลไม้จากต้นของท่านเพื่อไปช่วยหลานชายของข้าได้หรือไม่"
เมื่อนางพูดจบในใจก็ยังไม่หายกังวลพลางสงสัยว่าเจ้าลิงฮุยเจ้าของมิติวิเศษแห่งนี้กำลังหลอกนางอยู่หรือไม่ ทันใดนั้นผลอิงเถาที่กำลังสุกได้ที่ก็หล่นลงมาบนพื้นท่ามกลางความตื่นตะลึงของนาง
"มะ ไม่ได้หลอกกันนี่นา"
"ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง! รีบเก็บแล้วรีบออกไปได้แล้วรบกวนเวลาพักผ่อนของข้า"
"เจ้าค่ะท่านหลิงฮุยผู้เก่งกาจ ข้าจะรีบเก็บแล้วก็รีบออกไปไม่รบกวนท่านแน่นอนเลยเจ้าค่ะ"
"ให้มันจริงเถอะ"
มู่อิงเถาคร้านจะต่อความกับเขานางรีบเก็บผลไม้ที่หล่นอยู่บนพื้นหญ้าติดมือไปสี่ห้าลูก
ขณะที่กำลังจะออกจากมิติวิเศษนางก็เหลือบไปเห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่นั้น พื้นที่บริเวณโดยรอบมีต้นหญ้าเขียวขจีงดงามต่างจากบ่อน้ำที่แห้งเหือดนั้นอย่างมาก
“น่าแปลกเสียจริง”
“บ่อน้ำพุแห่งกาลเวลา”
“อะไรนะ”
“บ่อนั่นคือน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคอันใดก็รักษาหายได้ทั้งนั้น”
“จริงหรือ”
“แต่น่าเสียดาย มันแห้งเหือดแบบนี้มานานแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเลิกถามข้าได้แล้ว นี่เจ้าน่ะเอาไปแล้วอย่าลืมมาทำหน้าที่ของตนเองล่ะ”
“รู้แล้วน่าเหตุใดเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะ”
“ชิ”
มู่อิงเถาบ่นร่ายยาวให้เจ้าของมิติวิเศษก่อนจะออกไปหาซ่งหงอี้ด้วยความรวดเร็ว นางเดินกลับมาที่ห้องนอนก็เห็นว่าเด็กน้อยผู้นั้นหลับไปแล้ว
“คงจะเจ็บมากสินะน่าสงสารเสียจริง”
เฮ้ย! ไม่สิในนิยายหลานชายของซ่งอวี่ถงเองก็ร้ายไม่ใช่เล่น หาวิธีกลั่นแกล้งนางไม่น้อยเหมือนกันนี่นา หน้าตาธรรมดาดูไม่มีพิษสงทั้งคู่ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะเป็นตัวร้ายไปได้
มู่อิงเถาส่ายหน้าให้เด็กชายตัวน้อยก่อนจะนำผลไม้วิเศษไปจัดการผ่าเป็นชิ้นเล็กๆ เก็บเอาไว้ให้เขากินหลังตื่นขึ้นมา นางไม่ลืมที่จะนำสมุนไพรที่เก็บติดมือมาจากมิติวิเศษมาตำจนละเอียดแล้วห่อด้วยผ้าบางๆ ค่อยๆ ประคบที่แขนของเขา
เป็นเวลากว่าสองชั่วยามในที่สุดซ่งอวี่ถงก็เดินทางกลับมาแต่ด้านหลังของเขากลับพบเพียงความว่างเปล่า สีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนั้นบ่งบอกว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ท่านพี่ ท่านหมอไม่มากับท่านด้วยหรือ”
เขาส่ายหน้าให้นางเบาๆ ก่อนจะชำเลืองมองไปที่ซ่งหงอี้ผู้เป็นหลานชาย
“ค่ารักษามากเกินไปเงินที่เรามีไม่พอข้าจึงทำได้เพียงแค่ซื้อยากลับมาให้เขากินเท่านั้น”
“งั้นหรือ”
“หลับไปแล้วหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“แล้วนั่นอะไร”
“คือว่า ตอนข้ายังเด็กท่านแม่เคยสอนข้าเรื่องการใช้สมุนไพรรักษาคนน่ะเจ้าค่ะ เมื่อวานตอนทำความสะอาดที่สวนหลังบ้านข้าเห็นว่ามีสมุนไพรนั่นพอดีจึงนำมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาประคบให้เขา”
“ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วย”
“ข้าก็แค่โง่เขลาในบางเรื่อง”
ซ่งอวี่ถงยิ้มให้นาง ช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่่นางเคยได้รับจากเขา
'คนอะไรหล่อเสียจริง'
‘ไม่ได้ๆ อย่าให้ภาพมันลวงตาเป็นอันขาดเขาคนนี้คือคนที่จะสังหารเจ้าเชียวนะมู่อิงเถา’
มู่อิงเถาสะบัดศรีษะไปมาจนซ่งอวี่ถงถึงกับขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยปากถามนางไปว่า
“เจ้าเป็นอะไรไม่สบายงั้นหรือ”
“ห๊ะ ไม่นะข้าสบายดี”
“ก็เมื่อครู่”
“อ้อ แมลงวันมันมาตอมหน้าข้าน่ะข้าว่านะท่านมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำเถอะ วันนี้ข้าจะเป็นคนทำอาหารเอง”
“อืม เช่นนั้นข้าจะดูแลหงเอ๋อเอง”
"เจ้าค่ะ”
‘ใจสั่นอะไรเช่นนี้สงสารจนหวั่นไหวไม่ได้นะมู่อิงเถา ให้ตายสิ’
เรื่องทุกอย่างดูจะคลี่คลายลงไปแล้วแต่เช้าวันนี้ที่หน้าประตูจวนกลับมีทหารรักษาประตูที่วิ่งมารายงานนางว่า เวลานี้มีสตรีสองคนกำลังยืนถกเถียงกันอย่างไม่ยอมกันมู่อิงเถาเดินไปที่หน้าประตูจวนก็พบกับซูม่านอวี้และเซี่ยเย่อิง ทั้งคู่ดูจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะเวลานี้เอาแต่เถียงกันไม่หยุดนั่นเอง“เซี่ยเย่อิงเจ้าเป็นอะไรกับข้านักหนากันนะถึงได้ตามติดข้าเช่นนี้”“เฮ้อ…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วข้าก็ไม่อยากปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป”“พูดเรื่องอะไรของเจ้า”“ข้าชอบเจ้านะ”“อะ อะไรนะ!”“ทีแรกข้าชอบแม่นางมู่ แต่ว่าตอนนี้นางเป็นถึงพระชายาของเจิ้นอ๋องเช่นนี้แล้วข้าคงไม่อาจเอื้อมอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะหันมาชอบเจ้าแทนดีกว่า”“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”“ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าฮั่นต่างก็เป็นเสรีแล้วฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดบทลงโทษของคนที่ชอบเพศเดียวกันไว้เสียหน่อย ดังนั้นตอนนี้ข้าชอบเจ้าพวกเรามาทำความรู้จักกันดีหรือไม่”“กรี๊ด! เจ้าไปไกลๆ ข้าเลยนะ”“โธ่…แม่นางซูท่านน่ารักถึงเพียงนี้หากท่านอ๋องไม่ชอบ เจ้าก็หันมาหาข้าก็ได้นี่นา”“ไม่! พวกเจ้าสองคนยืนทำอะไรมาเอานางออกไปจากข้าเสียทีสิ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เซี่ยเย่อิงยิ้มหัวเราะช
เพราะเมื่อคืนวานมู่อิงเถามัวแต่สนทนากับพระชายารัชทายาทที่เป็นสหายคนสนิทของนางไปหลายชั่วยาม กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบยามสาม[1] แล้วเช้านี้จึงเป็นอีกวันที่นางนอนตื่นสาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างกายนั้นได้ตื่นก่อนนางเป็นที่เรียบร้อย“น่าอายจัง นอนตื่นสายจนได้”มู่อิงเถารีบจัดการตนเองก่อนจะออกไปนั่งเล่นที่ศาลาหน้าตำหนัก นางกำลังจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจยิ่งนักโดยมีสาวใช้ข้างกายที่คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ไม่ห่างที่หน้าเรือนใหญ่ซ่งอวี่ถงกำลังยืนจับจ้องนางอยู่อย่างไม่วางตา ก่อนที่มู่เฉินจะมารายงานเขาว่าใต้เท้าโจวมาถึงแล้ว“ใต้เท้าโจวท่านมาแต่เช้าเลยนะขอรับ”“พระชายานางเป็นอย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะท่านอ่อง”
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานเรื่อยๆ ขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเซ่งอวี่ถงอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่นั้นกำลังซุบซิบนินทานางอยู่ แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าว สตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ซูม่านอวี้ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วย ดูเหมือนว่า….”ซ่งอวี่ถงที่หยุดเดินไปนั้นก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเหตุใดข้าถึงไม่เห็นเจ้าอยู่ที่จวนของท่านอ๋องล่ะ เจ้ารู้อะไรหรือไม่ข้านั้นตกใจแทบสิ้นสติเลยนะ”“ทำไมหรือ”“ก็ครั้งที่อยู่เมืองเป่ยเย่ข้าด่าสามีของเจ้าไปมากเลยทีเดียว”ประโยคหลังนางกระซิบกับมู่อิงเถาแทนด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินคำพูดของนาง ซ่งอวี่ถงเวลานี้เป็นถึงท่านอ๋องย่อมมีคนเป็นหูเป็นตาให้เขามากมายจะพูดอะไรคงต้องระวังให้มากขึ้นเสียแล้ว“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นเจ้าอย่าใส่ใจไปเลย”“ไม่ใส่ใจคงไม่ได้ หากเขาไล่เอาทีละคนข้าไม่แย่หรือ”“ไม่หรอกน่า”“เย่เอ๋อกลับจวนกันได้แล้ว หากช้าไปกว่านี้ท่านพ่อจะดุเจ้าเอาได้นะ”“โธ่ท่านพี่ ให้ข้าได้สนทนากับสหายเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
การเดินทางเข้าเมืองหลวงกินเวลาไปถึงสิบวันแม้ความเป็นจริงคนทั่วๆ ไปนั้นจะใช้เวลาเดินทางแค่เพียงห้าวันเท่านั้น เพราะทั้งสองเอาแต่งอนง้อกันตลอดทั้งเส้นทางทำให้ใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ามู่เฉินปาดเหงื่อทุกครั้งที่ท่านอ๋องของเขาเริ่มบทรักร้อนแรงกับพระชายา เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากรถม้าในยามกลางวันนั้นจนเมื่อระยะทางสุดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวงก็มาถึง มู่เฉินถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกมู่อิงเถาเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองดูบรรยากาศข้างนอกสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดจากที่มีเพียงป่าเขา เวลานี้เริ่มมีบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้นทุกทีแล้วที่นางยอมสงบลงไม่ใช่เพราะติดใจในรสสัมผัสของเขาแต่เพราะว่าอยากฟังเรื่องราวระหว่างที่นางหนีเขาไปต่างหากเล่า‘ถ้าไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้านข้าไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ แน่’‘หนะ
“นั่นเจ้าจะทำอะไรไปฉุดลูกสาวใครเขามา”“นางเป็นเมียข้า”“เมีย? บังเอิญอะไรเช่นนี้แล้วเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่เมืองเดียวกันกับชายาของข้าได้ล่ะ”“ข้าจะไปรู้หรือ สตรีที่อยู่ในห้องอีกคนนั้นน่าจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้น พวกนางสองคนรู้จักกันที่เหลือท่านจัดการเองก็แล้วกันข้าคงต้องขอตัวไปจัดการเรื่องในบ้านของข้าก่อน”‘หากปล่อยให้พวกนางอยู่ด้วยกันชาตินี้พวกเขาอย่าหวังที่จะได้เมียคืนเลย’“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”“ขอรับท่านอ๋อง”ซ่งอวี่ถงพูดจบก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งในรถม้าด้วยความรวดเร็ว มู่เฉินผู้รับหน้าที่เป็นสารถีก็รีบออกรถม้าทันทีด้วยกลัวว่าสตรีที่อยู่ข้างในจะกระโดดออกมาเสียก่อน“ท่านจับข้ามา