Войтиซ่งอวี่ถงรีบเดินทางออกจากบ้านเพื่อเดินทางเข้าไปตามท่านหมอในตัวเมืองแต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามผ่านประตูรั้วเขาก็หันกลับมามองมู่อิงเถาอีกครั้ง แววตาของเขามีความกังวลบางอย่างซ่อนเอาไว้
“เจ้าอยู่คนเดียวได้แน่นะ”
“ข้าอยู่คนเดียวเสียที่ไหนกันยังมีหงเอ๋ออยู่ด้วยนะ”
“ท่านอาสามข้าดูแลอาสะใภ้ได้ขอรับ”
สิ้นคำบอกกล่าวซ่งอวี่ถงก็ส่ายหน้าให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินทางเข้าเมืองเป่ยเย่ด้วยความรวดเร็ว
เดิมทีเขาคิดจะพาซ่งหงอี้ไปด้วยแต่เพราะร่างกายที่บอบช้ำจากการโดนทุบตีอีกทั้งยังมีมู่อิงเถาอีกคนการเดินทางเข้าเมืองอาจจะทำให้ล่าช้าขึ้น
เขาจึงเลือกที่จะทิ้งทั้งคู่เอาไว้ที่บ้านหลังนั้นจำต้องรีบเดินทางไปทั้งๆ ที่ในใจก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
เมื่อซ่งอวี่ถงจากไปแล้วมู่อิงเถาก็หันมามองเด็กชายอีกครั้ง
“หงเอ๋อเจ้าเป็นลูกผู้ชายต้องอดทนเอาไว้นะเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับท่านอาสะใภ้”
“เลิกเรียกข้าว่าอาสะใภ้เสียทีเถอะข้ากับท่านอาสามของเจ้าแม้จะแต่งงานกันแล้วแต่ก็ไม่เคยร่วมหอกันเลยสักครั้งนะ อีกอย่างเจ้าดูรูปร่างของข้าสิเหมาะสมกับท่านอาของเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือต่อไปนี้เรียกข้าว่าพี่สาวก็พอแล้ว”
“ไม่เอาหรอกขอรับถึงอย่างไรท่านก็เป็นภรรยาของท่านอาสาม ข้าเรียกอาสะใภ้น่ะถูกแล้ว”
“เฮ้อ…ตามใจเจ้าเถอะ เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยกัดผ้าผืนนี้เอาไว้หน่อยข้าจะตรวจดูบาดแผลของเจ้าเสียหน่อย”
“ขอรับ”
มู่อิงเถาหาเศษผ้าที่สะอาดที่สุดเท่าที่นางจะหามาได้ให้ซ่งหงอี้กัดเอาไว้ นางตั้งใจจะใช้ไม้มาดามกระดูกที่หักไว้ชั่วคราวเมื่อท่านหมอมาถึงก็ค่อยให้เขารักษาอีกที
แม้นางจะมีทักษะทางการแพทย์อยู่บ้างแต่ในยุคที่ไม่มีเครื่องมือสำหรับการรักษาเช่นนี้นางจึงทำได้เพียงแค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น
[นังเด็กโง่]
“เอ๋? ใครกันนะช่างปากเสียจริงๆ”
“หืม อะไรหรือขอรับอาสะใภ้”
“เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยงั้นหรือ” มู่อิงเถาหันไปจ้องมองเด็กน้อยก็เห็นเพียงใบหน้างุนงงของเขาเท่านั้น
“ไม่เลยขอรับก็ท่านบอกให้ข้ากัดผ้าเอาไว้ไม่ใช่หรือ แล้วข้าจะพูดได้อย่างไรกัน”
“จริงด้วย แล้วมันเสียงใครกันเล่า” นางหันซ้ายมองขวาเริ่มระแวงกับบ้านหลังนี้ขึ้นมาแล้ว ‘หรือว่าจะเป็นผี!’
[ผีบ้านของเจ้าน่ะสิ เมื่อคืนวานก็เพิ่งพูดคุยกันเจ้าลืมข้าไปแล้วหรือนังเด็กโง่!]
‘เจ้าลิงฮุยงั้นหรือ’ มู่อิงเถาอุทานในใจเพราะกลัวว่าซ่งหงอี้จะรู้ความลับของนางเข้า
[ใช่แต่เอ๊ะ! ลิงงั้นหรือ? นี่เจ้าหลอกด่าข้าอยู่หรืออย่างไร]
‘ใช่ที่ไหนกันเล่าข้าอาจจะออกเสียงผิดไปนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง แล้วเหตุใดซ่งหงอี้ถึงไม่ได้ยินเจ้าเหมือนที่ข้าได้ยินล่ะ’
[มีเพียงเจ้าที่ได้ยินข้าพูด ในมิติแห่งนี้มีผลไม้วิเศษที่ใช้สมานแผลและเชื่อมกระดูกได้เจ้าไปเอามันมาให้เจ้าเด็กคนนั้นกินเสียสิ]
‘จริงหรือนี่!’
[แต่อย่าลืมว่าเอาอะไรออกไปย่อมต้องตอบแทนทุกครั้ง]
‘ข้ารู้แล้วน่าจะไปไถนาพรวนดินให้ทั้งวันเลย ขอบใจนะ’
มู่อิงเถาเอ่ยออกมาด้วยความดีใจอย่างที่สุดแม้ว่าซ่งหงอี้จะไม่ใช่หลานแท้ๆ ของนางแต่เพราะได้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บทั้งยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ เช่นนี้ก็อดสงสารไม่ได้
แม้จะรู้ว่าวันข้างหน้าเขาจะร้ายกาจไม่ได้ต่างจากท่านอาของเขาก็เถอะ แต่เมื่อรู้ว่ามีหนทางรักษาแล้วจะให้นางอยู่นิ่งเฉยได้อย่างไรคงผิดวิสัยของคนเป็นหมอเป็นอย่างมาก
“ข้าจะไปหาสมุนไพรมาประคบแขนให้เจ้า นั่งรอข้าอยู่ตรงหน้าห้ามไปไหนนะเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วขอรับอาสะใภ้”
“ห้ามหลับเชียวล่ะเจ้าต้องรอท่านอาของเจ้ากลับมาก่อน”
“ข้ารู้แล้ว”
มู่อิงเถาลุกขึ้นก่อนจะย้ายร่างอวบอ้วนของนางมายืนอยู่ข้างๆ ตัวบ้านหันมองไปโดยรอบเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดผ่านมาในเวลานี้ นางจึงเข้าไปในมิติวิเศษนั้นตรงไปยังต้นไม้ที่มีผลอิงเถา(เชอร์รี่)อยู่เต็มต้น
"คงจะเป็นต้นนี้กระมัง"
หญิงสาวยืนครุ่นคิดอยู่นานสองนานด้วยขนาดร่างกายของนางแล้วนั้นคงไม่สามารถปีนขึ้นไปได้อย่างแน่นอน
'แล้วจะเก็บมันลงมาได้อย่างไรกันเล่า'
[โง่เสียจริง]
"นี่เจ้าด่าข้าอีกแล้วนะ"
[ก็โง่จริงหรือไม่เล่าอยากได้อะไรก็เพียงแค่ขอ ลองดูสิ]
'เจ้าลิงฮุยปากเสียก็ควรบอกข้าตั้งแต่แรกหรือไม่เล่าจะให้ยืนงงอยู่ทำไมตั้งนาน'
[ข้าได้ยินนะ]
“ขะ ข้าก็แค่คิดเท่านั้นเองนะเจ้าน่ะเสียมารยาทมากรู้หรือไม่ มาเที่ยวอ่านใจคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไรกันเล่า”
[เรื่องของข้า จะเอาหรือไม่ผลไม้นั่นน่ะ]
"เอาสิ"
นางตอบกลับก่อนจะละความสนใจจากเขาแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองต้นไม้สูงใหญ่เบื้องหน้า
"ท่านต้นไม้เจ้าคะข้าขอผลไม้จากต้นของท่านเพื่อไปช่วยหลานชายของสามีข้าได้หรือไม่"
นางพูดขึ้นในใจก็ยังไม่คงแคลงใจไม่เลิก
‘เจ้าลิงฮุยนั่นกำลังหลอกนางอยู่หรือไม่นะ’
ทันใดนั้นผลอิงเถาที่กำลังสุกได้ที่ก็หล่นลงมาบนพื้นท่ามกลางความตกตะลึงของนาง
"มะ ไม่ได้หลอกกันนี่นา"
[ข้าก็บอกไปแล้วว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง! รีบเก็บแล้วรีบออกไปได้แล้วรบกวนเวลาพักผ่อนของข้า]
"เจ้าค่ะท่านหลิงฮุยผู้เก่งกาจ ข้าจะรีบเก็บแล้วก็รีบออกไปไม่รบกวนท่านอย่างแน่นอนเลยเจ้าค่ะ"
[ให้มันจริงเถอะ]
มู่อิงเถาคร้านจะต่อความกับเขานางรีบเก็บผลอิงเถาที่หล่นอยู่บนพื้นหญ้าไปสี่ห้าลูก ขณะที่กำลังจะออกจากมิติวิเศษนางก็เหลือบไปเห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่นั้นพื้นที่บริเวณโดยรอบมีต้นหญ้าเขียวขจีงดงามต่างจากบ่อน้ำที่แห้งเหือดนั้นเป็นอย่างมาก
“น่าแปลกเสียจริง”
[บ่อน้ำพุแห่งกาลเวลา]
“อะไรนะ”
[บ่อนั่นคือน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคอันใดก็รักษาหายได้ทั้งนั้น]
“จริงหรือ”
[แต่น่าเสียดายมันแห้งเหือดแบบนี้มานานแล้วล่ะ]
“ทำไมล่ะ”
[ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเลิกถามข้าได้แล้ว นี่เจ้าน่ะเอาไปแล้วอย่าลืมมาทำหน้าที่ของตนเองล่ะ]
“รู้แล้วน่าเหตุใดเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะ”
มู่อิงเถาบ่นร่ายยาวให้เจ้าของมิติวิเศษไปชุดใหญ่ก่อนจะออกจากมิติวิเศษเพื่อไปหาซ่งหงอี้ด้วยความรวดเร็ว นางเดินกลับมาที่ห้องนอนก็เห็นว่าเด็กน้อยผู้นั้นหลับไปแล้ว
“คงจะเจ็บมากสินะน่าสงสารเสียจริง”
‘เฮ้ย! ไม่ได้สิในนิยายเล่มนั้นหลานชายของซ่งอวี่ถงเองก็ร้ายไม่ใช่เล่นเลย หาวิธีกลั่นแกล้งนางสารพัดหน้าตาธรรมดาดูไม่มีพิษสงทั้งคู่ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะเป็นตัวร้ายไปได้’
มู่อิงเถาส่ายหน้าให้เด็กชายก่อนจะนำผลไม้วิเศษไปจัดการผ่าเป็นชิ้นเล็กๆ เก็บเอาไว้ให้เขากินหลังตื่นขึ้นมา นางไม่ลืมที่จะนำสมุนไพรที่เก็บติดมือมาจากมิติวิเศษมาตำจนละเอียดแล้วห่อด้วยผ้าบางๆ ค่อยๆ ประคบที่แขนของเขาอีกด้วย
เป็นเวลากว่าสองชั่วยาม[1] ในที่สุดซ่งอวี่ถงก็เดินทางกลับมาเสียทีเมื่อมองผ่านไปด้านหลังของเขากลับพบเพียงความว่างเปล่า สีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนั้นบ่งบอกว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ท่านหมอไม่มากับท่านด้วยหรือเจ้าคะ”
เขาส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองไปที่ซ่งหงอี้ผู้เป็นหลานชาย
“ท่านหมอที่ข้ารู้จักเขาเดินทางไปต่างเมืองและท่านหมอที่ยังอยู่คิดค่ารักษามากเกินไปเงินที่ข้ามีไม่พอจึงได้แค่ซื้อยากลับมาให้เขากินเท่านั้น”
“งั้นหรือ”
“เขาหลับไปนานแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“แล้วนั่นอะไร” สายตาคมกริบของคนตรงหน้าจ้องมองผ้าสีขาวที่พันแขนของเขาเอาไว้ดูเหมือนจะมีหญ้าหรือสมุนไพรบางอย่างที่ประคบเอาไว้ในนั้นด้วย
“คือว่าตอนที่ข้ายังเด็กท่านยายเคยสอนเรื่องการใช้สมุนไพรรักษาคนน่ะเจ้าค่ะ ตอนที่ข้าทำความสะอาดบ้านเห็นว่าที่สวนด้านหลังมีสมุนไพรที่สามารถลดการปวดได้จึงนำมาประคบให้เขาก่อนระหว่างที่รอพวกท่านกลับมา”
“ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วย”
“ข้าก็แค่โง่เขลาในบางเรื่อง”
ซ่งอวี่ถงยิ้มออกมาแล้วช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่่นางเคยเห็นมา
'คนอะไรหล่อเหลาเสียจริง' มู่อิงเถาจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาอย่างหลงใหลแต่แล้วจิตใต้สำนึกของนางก็ตื่นตัวขึ้นมาทันใด
‘ไม่ได้นะอิงเถาเจ้ากำลังถูกภาพตรงหน้าล่อลวงอยู่ เขาคนนี้คือคนที่จะสังหารเจ้าเชียวนะตั้งสติเอาไว้สิ’
มู่อิงเถาสะบัดศีรษะไปมาจนซ่งอวี่ถงถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงงแล้วเอ่ยถามนางว่า
“เจ้าเป็นอะไรไม่สบายงั้นหรือ”
“ห้ะ ไม่นะข้าสบายดี”
“ก็เมื่อครู่”
“อ้อ คือว่าแมลงวันมันมาตอมหน้าของข้าน่ะ ข้าว่านะท่านกลับมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำก่อนเถอะวันนี้ข้าจะเป็นคนทำอาหารเอง”
“ได้ เช่นนั้นข้ารับหน้าที่ดูแลหงเอ๋อต่อจากเจ้าเอง”
"เจ้าค่ะ”
ใบหน้าหล่อเหลาหันมายิ้มให้นางอีกครั้ง
‘ยิ้มแบบนี้อีกแล้วให้ตายสิเห็นคนหล่อไม่ได้เลยเป็นอะไรของข้ากันนะ’
- - - - - - - - - -
[1] สองชั่วยาม = 4 ชั่วโมง
เพราะที่ผ่านเซี่ยอิงอิงต้องไปเรียนปักผ้าตามที่มารดาเลี้ยงของนางต้องการจึงไม่มีเวลามาพบปะสนทนากับมู่อิงเถานั่นเอง วันนี้ทั้งวันนางจึงมาอยู่เฝ้าพูดคุยกับมู่อิงเถาจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น เมื่อถึงเวลากลับบ้านดูสาวน้อยผู้นั้นจะอาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อยมู่อิงเถาออกมาส่งนางที่หน้าประตูจวนทั้งยังโบกมือลาให้เด็กสาวเมื่อรถม้าของนางพ้นจากระยะสายตาแล้วก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นมาว่า“นั่นแม่นางเซี่ยนี่นา นางมาทำไมหรือขอรับอาสะใภ้”“หืม หงเอ๋อเจ้าเองหรอกหรือหายไปไหนมาข้าไม่เจอเจ้าเลยตั้งแต่ที่เข้าเมืองหลวง”“ข้าไปฝึกเรียนวรยุทธ์มาน่ะขอรับอาสะใภ้ ไม่ใช่สิพระชายา”“เรียกข้าว่าอาสะใภ้แบบเดิมน่ะดีแล้ว”“ไม่ได้หรอกขอรับตอนนี้ท่านเป็นถึงพระชายาแล้วจะให้เรียกแบบเดิมได้อย่างไรกัน”“ตามใจเจ้าเถอะ แล้ววันนี้ไม่มีเรียนงั้นหรือ”“ท่านอาจารย์ให้ข้าหยุดได้สิบวันขอรับ ข้าจึงรีบเดินทางมาหาพวกท่าน”“ดีเลยเช่นนั้นช่วงเวลาสิบวันนี้ก็ทำตัวให้ว่างล่ะพวกเราจะไปเที่ยวกัน”“เที่ยว?”“อืม”“ไปไหนขอรับ”หมู่บ้านต้าไห่ เมืองเป่ยเย่-บ้านตระกูลซ่ง-“ท่านแม่ท่านรู้มานานแล้วเช่นนั้นหรือ ที่ท่านไม่อยากให้ข้าไป
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพระชายารัชทายาทและองค์ชายน้อยมาถึงในวังหลวงก็ดูจะครึกครื้นกันยิ่งนักบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานกันเรื่อยๆขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเยี่ยอ๋องอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันกำลังซุบซิบนินทานางอยู่แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าวสตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ‘ซูม่านอวี้’ ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วยดูเหมือนว่า….”เยี่ยอ๋องที่หยุดเดินกะทันหันก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เยี่ยอ๋องไม่ตอบนาง เขาหันหลังกลับไปจ้องมองขุนนางกลุ่มนั้นก่อนจะชำเลืองมองไปด้วยแววตาที่น่ากลัวยิ่งนักทำเอาใจของคนที่พบเห็นใจสั่นไหวไม่น้อย“ใต้เท้าผู้นี้พูดถึงชายาของข้าอยู่กระนั้นหรือ”“อะ เอ่อกระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะท
มู่อิงเถาไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวเล่นต่อแล้วนางเลือกที่จะกลับจวนก่อนจะเดินหนีเขาเพื่อกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว“เจ้าเดินช้าๆ หน่อยสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาไม่หยุดฟังเขาพูด นางเดินต่อไปด้วยย่างก้าวที่เร็วขึ้นเหมือนไม่ต้องการที่จะเดินอยู่เคียงข้างเขาอย่างไรอย่างนั้น จนซ่งอวี่ถงต้องเร่งฝีเท้าขึ้นไปประชิดจนถึงตัวของนางก่อนจะคว้าแขนเล็กนั้นเอาไว้มั่น“อิงเอ๋อข้าบอกว่าอย่าเดินเร็วอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ท่านสนใจด้วยหรือ”“เป็นอะไร”มู่อิงเถาหลับตาลงก่อนจะพยายามสงบจิตใจที่ว้าวุ่นของนาง‘ใช่นางเป็นอะไรไป พักนี้ก็ยังไม่เข้าใจตนเองเท่าใดนักก็แค่สตรีคนนั้นคนเดียวนางจะคิดอะไรมากกัน’“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้า”“เข้าไปข้างในกันเถอะ”“พูดตรงนี้ก็ได้”ซ่งอวี่ถงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางมืออีกข้างของเขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบบางอย่างออกมาก่อนจะจับไปมือของนาง มู่อิงเถาคิดอยากจะสะบัดออกแต่ซ่งอวี่ถงกับจับมือของนางเอาไว้แน่น“อยู่นิ่งๆ สิ”“ท่านจะทำอะไร”ซ่งอวี่ถงไม่ตอบเขาชำเลืองมองนางเล็กน้อยก่อนจะหยิบของสิ่งนั้นมาสวมที่นิ้วมือของนาง‘นี่มันแหวนที่ข้าไปจำน
-ท้องพระโรง-มู่อิงหลันเคยเป็นหนึ่งในกุ้ยเหรินของฮ่องเต้มู่หรงฉีนางเคยร่วมมือกับเสียนเฟยมารดาขององค์ชายใหญ่ลอบทำร้ายอดีตฮองเฮา แต่ถูกเสียนเฟยโยนความผิดให้นางทั้งหมดจึงถูกขับไล่ออกจากวังหลวงนางจึงได้คิดการก่อเรื่องราวใหญ่โตจนนำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เสียนเฟยที่ก่อนหน้านี้ถูกลดอำนาจกักขังเพียงในตำหนักของตนแต่เมื่อถูกเยี่ยอ๋องรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาและปรากฎว่าเป็นนางที่เป็นคนบงการให้สังหารอดีตฮองเฮาจึงได้ถูกฮ่องเต้ตัดสินให้จองจำในตำหนักเย็นจากนั้นเป็นต้นมาซูเฟยพระมารดาของรุ่ยอ๋องเองก็มีความผิดฐานยุยงส่งเสริมและเคยมอบกองกำลังของสกุลซูแก่องค์ชายใหญ่นางจึงถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่เมืองเล่อซีแดนตะวันตกกับรุ่ยอ๋องโอรสของนางที่เดินทางไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเองฮ่องเต้น่าจะระแคะระคายเรื่องนี้มาบ้างแล้วถึงได้ส่งองค์ชายสามรุ่ยอ๋องไปก่อนแล้วจึงส่งซูเฟยให้ตามเขาไปทีหลัง นับว่าเขายังมีคุณธรรมมากพอไม่คิดสังหารลูกเมียไปจนหมดสิ้นเรื่องราวในราชวงศ์ซับซ้อนและน่ากลัวดังที่เยี่ยอ๋องหรือก็คือซ่งอวี่ถงเคยพูดเอาไว้นั่นเอง เขาจึงไม่มีความคิดอยากที่จะมาเหยียบที่แห่งนี้เลยสักเพียงนิดหากไม่ใช่เพราะอยากเรียกร้องที่มารด
การเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงนั้นใช้เวลาถึงสิบวันเต็มเมื่อครั้งที่นางหนีจากเมืองเป่ยเย่ไปยังเมืองฉางอันใช้วิธีล่องเรือไปนั่นก็ทรมานปวดมวนท้องไปตลอดเส้นทางแล้ว มาครั้งนี้การที่ต้องมานั่งอยู่บนรถม้าก็ยิ่งทำให้นางปวดระบมไปทั้งตัวจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว“อดทนหน่อยนะอีกไม่กี่ลี้ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”“ข้าทนได้”“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าอย่าเพิ่งกลับมาก็ไม่เชื่อเห็นหรือไม่ว่าตอนนี้ร่างกายของเจ้ายิ่งแย่เข้าไปใหญ่”“ที่ข้าปวดเนื้อปวดตัวนั่นไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ”“พูดอะไร”เขาจ้องมองนางเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูดหรือเขาแค่คิดไม่ทันกันแน่ ชายหนุ่มได้แต่บีบๆ นวดๆ ให้นางเพื่อให้อาการปวดเกร็งนั้นผ่อนคลายลงแต่นั่นกลับยิ่งทำให้นางเจ็บปวดมากขึ้น“พอแล้วๆ น้ำหนักมือของท่านมากเกินไปมันทำให้ข้าเจ็บมากกว่าเดิมเสียอีก”“ข้าทำเบามือสุดๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาหันขวับไปจ้องมองใบหน้าใสซื่อของคนด้านข้าง“เบากระนั้นหรือเมื่อคืนวานไม่ใช่ท่านเป็นคนบอกข้าเองหรอกหรือว่าจะทะนุถนอมข้า แต่เหตุไฉนถึงได้เอาแต่ใจตนเองเช่นนั้นเห็นร่องรอยบนตัวข้าหรือไม่ยังดีที่เย่หยุนฟางเอาแต่ตามติดคุณชายเซี่ยนางถึงไม่ทันได้สังเกตมิเช่นนั้นข้าคงได้
สวนไผ่ที่ตั้งอยู่หลังบ้านเล็กๆ ริมทะเลสาบของนางนั้นเต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวชอุ่มที่สั่นไหวไปตามแรงลมเสียงใบไผ่เสียดสีกันดังเป็นจังหวะ เมื่อก่อนนางมักมาเดินเล่นและพักผ่อนในที่แห่งนี้เป็นประจำหลังอาหารมื้อบ่ายมู่อิงเถาตั้งใจจะนอนพักสักงีบแต่ไม่ว่าอย่างไรหญิงสาวก็ไม่อาจหลับตาลงได้จึงออกมาเดินเล่นรับลมในที่แห่งนี้ก่อนที่สองเท้าจะพาตนเองเดินทอดน่องไปจนถึงทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนักมู่อิงเถาเข้าไปนั่งเล่นที่ศาลาไม้มองเห็นเรือไม้ลำเล็กที่ถูกผูกเอาไว้ที่ท่าน้ำ น่าจะเป็นเรือที่ซ่งอวี่ถงจัดหามานั่นเอง“อากาศเย็นเพียงนี้ยังออกมาเดินเล่นอีกเดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก เหตุใดถึงไม่ใส่เสื้อหนาๆ มาด้วยนะ”‘ตะ ตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย’ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกก่อนจะคลุมไปที่ไหล่บางของนาง ความอบอุ่นของเสื้อคลุมที่เพิ่งถอดออกจากตัวของเขาและกลิ่นกายที่คุ้นเคยนั้นทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเสียอย่างนั้นปากของเขาก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่มีหยุด‘บ่นเป็นตาแก่ไปได้’“เมื่อก่อนท่านไม่เห็นบ่นเช่นนี้เลยนะ”“นั่นมันเมื่อก่อน”พูดจบก็นั่งลงข้างๆ นางจ้องมองใบหน้าหวานนั้นไม่วางตา“เมื่อก่อนข้านั้นโง่เขลายิ







