หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำ
หลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...
ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และอีกส่วนหนึ่งที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้นั่นมาจากผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ที่เขาพกติดตัวไว้ในอกเสื้อตลอดเวลา
ทันใดนั้นเอง เสียงเอะอะวุ่นวายก็ดังขึ้นจากหน้าจวน ทำลายความสงบลงอย่างสิ้นเชิง ไม่นานนัก พ่อบ้านชราก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“คุณชาย! แย่แล้วขอรับ! ฮูหยินผู้เฒ่าเสด็จมาขอรับ!”
เซียวจิ่นเหยียนถึงกับผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “ท่านย่าจะมาที่นี่ได้อย่างไร?”
ยังไม่ทันที่พ่อบ้านจะได้พูดตอบ ร่างของสตรีสูงวัยผู้หนึ่งในอาภรณ์ผ้าไหมปักดิ้นทองลายหงส์มงคล พร้อมด้วยไม้เท้าหัวหยกก็ก้าวเข้ามาในห้องอย่างสง่างาม แม้เส้นผมจะขาวโพลนไปทั้งศีรษะและใบหน้าจะมีริ้วรอยแห่งวัย แต่ดวงตาของนางกลับยังคงสุกใสและเปี่ยมด้วยปัญญา บ่งบอกว่านางคือผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและไม่มีสิ่งใดจะรอดพ้นสายตาอันแหลมคมดั่งเหยี่ยวของนางไปได้
นี่คือท่านฮูหยินผู้เฒ่าเซียว ย่าแท้ ๆ ของเซียวจิ่นเหยียน ผู้เป็นที่เคารพยำเกรงไปทั่วทั้งแคว้น
“คิดว่าย่าจะโง่หลงเชื่อรายงานที่เจ้าส่งไปหรือ จิ่นเหยียน?” นางเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก น้ำเสียงของนางเรียบเฉยแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ “ย่าเลี้ยงเจ้ามากับมือ แค่เจ้าหายใจผิดปกติย่าก็รู้แล้วว่ามีเรื่อง กล้าดีอย่างไรถึงได้หนีมาพักรักษาตัวเงียบ ๆ คนเดียวโดยไม่บอกย่า!”
“ท่านย่า ข้าเพียงไม่อยากรบกวนท่าน” เซียวจิ่นเหยียนก้มศีรษะลงเล็กน้อยอย่างนอบน้อม ต่อหน้าสตรีผู้นี้ แม้แต่พยัคฆ์แห่งแดนเหนือก็ยังต้องกลายเป็นเพียงลูกแมวเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง
“รบกวนรึ! เรื่องของหลานชายคนเดียวของข้า ไม่เคยเป็นเรื่องรบกวน!” ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวกล่าวพลางเดินเข้ามาใช้ดวงตาสำรวจหลานชายอย่างละเอียด “ดูสิ ใบหน้าซีดเซียวลงไปมากนัก แต่ลมปราณกลับดูมั่นคงขึ้น... แปลกจริง”
หลังจากซักฟอกหลานชายจนพอใจแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในจวน นางจึงประกาศกร้าวว่าจะออกไปเดินเล่นชมตลาดเสียหน่อย สร้างความปั่นป่วนให้เหล่าบ่าวรับใช้และองครักษ์เป็นอย่างมาก
“ไม่ได้นะขอรับฮูหยินผู้เฒ่าเซียว! ข้างนอกอากาศหนาวเย็นและผู้คนก็พลุกพล่าน อาจเป็นอันตรายได้!” องครักษ์คนสนิทพยายามทัดทาน
“อันตรายรึ? ในชีวิตของข้าเคยเจอเรื่องอันตรายมามากกว่าที่พวกเจ้าเคยเห็นเสียอีก!” นางตอกกลับอย่างไม่ไยดี “ข้าจะไปเดินเล่นเสียหน่อย ใครก็ห้ามข้าไม่ได้!”
และแล้วด้วยแผนการอันแยบยล ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวก็แอบหลบหนีออกจากจวนได้สำเร็จ นางเปลี่ยนไปสวมชุดผ้าไหมเนื้อดีแต่เรียบง่าย ให้บ่าวรับใช้หญิงคนสนิทเพียงคนเดียวติดตามออกมาเดินเล่นในตลาดอย่างสบายอารมณ์
สายตาของนางกวาดมองไปทั่วตลาดด้วยความสนใจใคร่รู้ แม้จะเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีความคึกคักและมีชีวิตชีวาในแบบของตนเอง และแล้วสายตาของนางก็ไปสะดุดเข้ากับแผงค้าเล็ก ๆ ที่มุมหนึ่ง
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของนางไม่ใช่ขนาดของแผง แต่เป็นคุณภาพของสินค้าที่วางอยู่ แม้จะมองจากระยะไกล แต่ด้วยสายตาของผู้ที่คุ้นเคยกับของชั้นสูงมาตลอดชีวิต นางมองออกในทันทีว่าฝีมือการปักผ้าของแม่นางเจ้าของแผงผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
นางรีบเดินตรงเข้าไปที่แผงทันที หลี่ชิงอีซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการจัดของ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นสตรีสูงศักดิ์ที่ดูเปี่ยมด้วยบารมีท่านหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าก็รีบโค้งคำนับให้ด้วยความนอบน้อม
“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านสนใจสินค้าชิ้นไหนเป็นพิเศษหรือเจ้าคะ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวไม่ได้ตอบ แต่กลับหยิบถุงหอมปักลายผีเสื้อขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด “แม่นาง ลายปักผีเสื้อบนถุงหอมนี้ช่างดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก เข็มสุดท้ายที่เจ้าใช้ตวัดปลายปีกขึ้นนั้นดูคล้ายกับเป็นเคล็ดวิชาเข็มสะบัดหางปลาของสกุลฟางแห่งเจียงหนานนัก ใช่หรือไม่?”
หลี่ชิงอีถึงกับตกตะลึง สตรีผู้นี้ช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก วิชาที่นางเอ่ยถึงคือเคล็ดวิชาชั้นสูงของตระกูลเดิมของนางจริง ๆ
“ฮูหยินผู้เฒ่าช่างมีสายตาที่ยอดเยี่ยมยิ่งนักเจ้าค่ะ” นางตอบกลับด้วยความนับถือ “เคล็ดวิชานี้เป็นของตระกูลเดิมของข้าที่สืบทอดกันมาเจ้าค่ะ”
“อืม ยอดเยี่ยมจริง ๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เจ้ามีฝีมือถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมาตั้งแผงเล็ก ๆ อยู่ที่นี่เล่า” นางถามต่อคล้ายเป็นการหยั่งเชิง
คำถามนี้ทำให้หลี่ชิงอีชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับไปอย่างสงบนิ่งและตรงไปตรงมา “ชีวิตคนเราย่อมมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ การได้ใช้ความสามารถที่ตนเองมีเลี้ยงชีพอย่างสุจริต แม้จะลำบากอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกภาคภูมิใจเจ้าค่ะ”
คำตอบที่ฉะฉานและเต็มไปด้วยความทรนงในศักดิ์ศรีนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวของหลี่ชิงอีมากขึ้นไปอีก นางมองเห็นความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีที่อ่อนน้อมนั้น สตรีเช่นนี้ต่อให้ต้องเผชิญกับมรสุมที่หนักหนาเพียงใดก็ย่อมไม่ล้มลงง่าย ๆ
“ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้าเหลือเกินแม่นาง” ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น “ข้าขอซื้อ...”
“ท่านย่า! ข้าตามหาท่านเสียทั่ว! เหตุใดท่านจึงหนีออกมาเช่นนี้!”
เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนาของสตรีทั้งสองวัย เซียวจิ่นเหยียนเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าโล่งใจที่ตามหาท่านย่าของตนเองพบเสียที
หลี่ชิงอีเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมคือหลานชายของสตรีสูงศักดิ์ท่านนี้ มิน่าเล่า รัศมีและความน่าเกรงขามของเขาจึงดูไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
แต่ผู้ที่ตกตะลึงที่สุดกลับกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว!
นางหันไปมองหน้าหลานชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็หันกลับมามองแม่นางเจ้าของแผงที่งดงามและเก่งกาจ นางมองเห็นสายใยบางอย่าง ความคุ้นเคยและความห่วงใยที่ซ่อนอยู่ในแววตาของคนทั้งสองยามที่มองกันและกัน...
ในฐานะผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน นางย่อมเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที!
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเซียว “โอ้ จิ่นเหยียน! ที่แท้เจ้าก็รู้จักกับแม่นางผู้นี้อยู่แล้วรึนี่! แล้วเหตุใดจึงซ่อนของดีไว้ไม่บอกย่าเลยล่ะ!” นางแกล้งพูดเสียงดัง
เซียวจิ่นเหยียนถึงกับหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากอย่างยิ่ง “ท่านย่า ข้ากับแม่นางผู้นี้เป็นเพียงผู้ซื้อกับผู้ขายเท่านั้น”
“งั้นรึ” ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวลากเสียงยาวอย่างไม่เชื่อ “แต่ย่ากลับคิดว่าพวกเจ้าดูเหมาะสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกเสียอีก!”
นางหันกลับมาจับมือของหลี่ชิงอีไว้อย่างเอ็นดู “แม่นาง ข้าขออภัยแทนหลานชายข้าด้วยที่อาจจะทำให้เจ้าตกใจ เขาเป็นคนพูดน้อยและทื่อเป็นท่อนไม้เช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“มะ ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะฮูหยินผู้เฒ่า” หลี่ชิงอีได้แต่ตอบกลับไปอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ
“อย่าเรียกข้าว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้ห่างเหินเลย เรียกข้าว่าท่านย่าเถิด” คำพูดนั้นทำให้ทั้งหลี่ชิงอีและเซียวจิ่นเหยียนถึงกับตกใจ “แม่นางน้อยข้าถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก อยู่ในจวนคนเดียวช่างน่าเบื่อเหลือเกิน หากไม่รังเกียจ ช่วยแวะไปเป็นเพื่อนคุยกับหญิงชราเช่นข้าที่จวนบ้างได้หรือไม่?”
นางมองเข้าไปในดวงตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตาของฮูหยินผู้เฒ่าเซียว มันเป็นแววตาที่แตกต่างจากสายตาของโม่หงชวนราวฟ้ากับเหว เป็นสายตาของผู้ใหญ่ที่มองเห็นคุณค่าในตัวนางอย่างแท้จริง
กำแพงในใจที่นางสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองมาตลอดหลายปีพลันปรากฏรอยร้าวขึ้น
หลี่ชิงอีก้มหน้าลงเพื่อซ่อนหยาดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา นางพยักหน้ารับช้า ๆ “เป็นเกียรติของข้ายิ่งนักเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่าเซียวกว้างขึ้นกว่าเดิม นางรู้ดีว่านางได้พบกับสมบัติล้ำค่ากลางตลาดแห่งนี้แล้ว ไม่ใช่แค่สินค้าที่ดี แต่เป็นว่าที่หลานสะใภ้ที่ดีต่างหาก!
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม