นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนั้น บรรยากาศรอบตัวของหลี่ชิงอีก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คำกล่าวหาที่ไร้สาระของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ไม่เพียงไม่สามารถทำลายชื่อเสียงของนางได้ แต่กลับทำให้นางเป็นที่รู้จักและได้รับความเห็นใจจากผู้คนในตลาดมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการยืนยันคุณภาพสินค้าจากบุรุษลึกลับผู้องอาจผู้นั้น ยิ่งทำให้กิจการเล็ก ๆ ของนางเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ลูกค้าหน้าใหม่แวะเวียนเข้ามาอุดหนุนไม่ขาดสาย ส่วนลูกค้าเก่าก็ยังคงกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้นางไม่ได้เป็นเพียงแม่นางถุงหอมที่โลกลืมอีกต่อไป แต่กลายเป็นช่างฝีมือที่ได้รับการยอมรับในฝีมือและความซื่อสัตย์
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด ดูท่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมผู้นั้น
เขายังคงแวะเวียนมาที่แผงของนางทุกบ่ายเช่นเคย แต่บทสนทนาระหว่างพวกเขากลับลดน้อยลงไปอีก ราวกับว่ามีเรื่องราวมากมายที่สื่อถึงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่ในความเงียบนั้นเอง ที่ทำให้หลี่ชิงอีมีโอกาสได้สังเกตเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับตัวเขามากขึ้น
นางสังเกตเห็นว่าในบางวันที่อากาศหนาวจัดเป็นพิเศษ ลมหายใจของเขาจะสะดุดไปชั่วครู่หนึ่ง คล้ายกับคนที่พยายามข่มความเจ็บปวดบางอย่างไว้ภายใน นางสังเกตเห็นว่าเวลาที่เขาเอื้อมมือไปหยิบสินค้าที่อยู่ไกลตัว การเคลื่อนไหวของช่วงลำตัวด้านขวาจะดูฝืน ๆ และไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย และที่ชัดเจนที่สุดคือมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งซุกซนมาชนเขาอย่างจัง แม้เขาจะไม่ได้ล้มลง แต่ใบหน้าของเขากลับซีดเผือดลงชั่วขณะ และมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมากุมที่ชายโครงด้านขวาโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวชั่วขณะ แต่สายตาของหลี่ชิงอีก็จับภาพนั้นไว้ได้ทัน
ด้วยความรู้ด้านสมุนไพรและการบำบัดรักษาที่สืบทอดมาจากตระกูลเดิม ทำให้นางปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็ว บุรุษผู้นี้ผู้มีพระคุณของนางกำลังบาดเจ็บอยู่เป็นแน่ และน่าจะเป็นอาการบาดเจ็บภายในที่เรื้อรังและร้ายแรงพอสมควร
เมื่อตระหนักถึงความจริงข้อนี้ หัวใจของหลี่ชิงอีก็พลันหนักอึ้งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ภาพของเขาที่ก้าวเข้ามาปกป้องนางอย่างไม่เกรงกลัวอันตรายในวันนั้นซ้อนทับขึ้นมากับภาพความเจ็บปวดที่เขาพยายามซ่อนเร้นไว้ ความรู้สึกขอบคุณที่นางมีต่อเขามาโดยตลอด บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นความห่วงใยที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
นางอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนเขาไม่ใช่ในฐานะลูกค้า แต่ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยฉุดนางขึ้นมาจากหล่มโคลนแห่งความอัปยศ
นางไม่มีเงินทองมากมายที่จะตอบแทนเขาได้ แต่แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่านางมีสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง นั่นคือวิชาการปักผ้าโอสถของนาง
คืนนั้น หลี่ชิงอีไม่ได้ทำสินค้าเพื่อไปวางขายในวันรุ่งขึ้น แต่กลับทุ่มเทสมาธิและจิตวิญญาณทั้งหมดไปกับการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นพิเศษเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น นางเลือกใช้ผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์เนื้อดีที่สุดเท่าที่นางจะหาซื้อได้ และเลือกด้ายไหมสีเขียวเข้มเฉดสีต่าง ๆ ที่งดงามราวกับสีของใบไผ่ในยามต้องแสงจันทร์
นางตั้งใจจะปักผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ท้าลม เนื่องจากไผ่คือสัญลักษณ์ของความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นความแข็งแกร่งที่อ่อนโยน ความทรหดที่ไม่ยอมโค้งงอให้กับพายุ มันเสมือนกับภาพสะท้อนตัวตนของเขาในสายตาของนางได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
นางนำสมุนไพรล้ำค่าที่เก็บสะสมไว้เพียงน้อยนิดออกมาใช้เป็นครั้งแรก ผงโสมป่าอายุกว่าสิบปีที่ช่วยบำรุงพลังลมปราณ ดอกคำฝอยบดละเอียดที่ช่วยสลายลิ่มเลือดและบำรุงโลหิต และตัวยาลับอีกสองสามชนิดที่มารดาเคยสอนไว้ว่ามีสรรพคุณในการสมานอาการบาดเจ็บภายในโดยเฉพาะ
นางใช้เวลาตลอดทั้งคืนบดสมุนไพรทั้งหมดให้กลายเป็นผงละเอียดดุจฝุ่นธุลี จากนั้นจึงใช้เทคนิคลับสุดยอดที่สืบทอดกันมาในตระกูล คือการนำผงยาสมุนไพรไปคลุกเคล้ากับกาวข้าวเหนียวในอัตราส่วนที่แม่นยำ แล้วนำเส้นด้ายไหมไปชุบและผึ่งลมจนแห้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ตัวยาซึมลึกเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกับเส้นด้าย มันเป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนอย่างยิ่ง หากผิดพลาดเพียงนิดเดียว เส้นด้ายก็จะแข็งกระด้างและไร้ซึ่งสรรพคุณทางยาทันที
จากนั้นนางจึงเริ่มลงมือปัก ทุกฝีเข็มของนางเต็มไปด้วยสมาธิและความปรารถนาดี นางปักลวดลายกิ่งไผ่ที่พลิ้วไหวราวกับมีชีวิต ใบไผ่แต่ละใบซ้อนทับกันอย่างมีมิติ ลำต้นตั้งตรงอย่างทระนง นางตั้งใจปักให้หนาแน่นกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อให้ตัวยาสมุนไพรที่อยู่ในเส้นด้ายได้ซึมซับเข้าสู่ร่างกายของผู้ใช้ผ่านการสัมผัสและความร้อนจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น
ผลงานชิ้นนี้เป็นสุดยอดวิชาที่นางไม่เคยแสดงให้ใครเห็นมาก่อน
สามวันต่อมา ในที่สุดผลงานชิ้นเอกก็เสร็จสมบูรณ์ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏลายปักกิ่งไผ่สีเขียวที่ดูสง่างามและเปี่ยมด้วยพลังชีวิต มันส่งกลิ่นหอมของสมุนไพรอ่อน ๆ ที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นในเวลาเดียวกัน หลี่ชิงอีบรรจงพับมันเก็บใส่ถุงผ้าอย่างดี รอคอยการมาเยือนของเขาในวันรุ่งขึ้นด้วยหัวใจที่เต้นระทึก
ยามบ่ายของวันนั้นมาถึงช้ากว่าปกติในความรู้สึกของนาง...
ในที่สุด ร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าแผงของนางเช่นเคย เขายังคงดูสงบนิ่งและน่าเกรงขามเหมือนทุกวัน แต่ในสายตาของหลี่ชิงอี บัดนี้นางมองเห็นความอ่อนล้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีที่แข็งแกร่งนั้น
“วันนี้ลมแรงนักนะ” เขาเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ เป็นการทักทาย
“เจ้าค่ะ ท่านโปรดรักษาสุขภาพด้วย” นางตอบกลับไป พลางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี
หลังจากที่เขาเลือกซื้อถุงหอมไปหนึ่งชิ้นตามปกติ ขณะที่นางกำลังจะรับเงินนั้นเอง นางก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้น “ท่าน เอ่อ...”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย รอคอยฟังสิ่งที่นางจะพูดต่อไป
“ท่านเป็นลูกค้าที่ดีของข้ามาโดยตลอด นี่... นี่เป็นของสมนาคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้าตั้งใจทำขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ พร้อมกับยื่นถุงผ้าใบเล็กที่ใส่ผ้าเช็ดหน้าผืนพิเศษนั้นให้เขา
นางไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ ได้แต่ก้มหน้างุด มองดูปลายเท้าของตัวเองที่โผล่พ้นชายกระโปรงออกมา
เซียวจิ่นเหยียนมองดูถุงผ้าในมือนางสลับกับใบหน้าที่แดงระเรื่อของนางด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ใช่คนโง่เขลา เขารู้ดีว่าของสมนาคุณชิ้นนี้ย่อมไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมา เพียงยื่นมือออกไปรับถุงผ้านั้นมาอย่างช้า ๆ
ทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับถุงผ้า เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง มันมีน้ำหนักมากกว่าผ้าเช็ดหน้าธรรมดาเล็กน้อย และมีกลิ่นหอมของสมุนไพรที่ซับซ้อนและลึกล้ำกว่าสินค้าชิ้นอื่น ๆ ของนางลอยออกมาจาง ๆ
เขาเปิดปากถุงออก หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นออกมาคลี่ดู...
ภาพปักกิ่งไผ่ท้าลมที่งดงามและเปี่ยมด้วยพลังปรากฏสู่สายตาของเขาในชั่วขณะนั้น หัวใจที่ด้านชาดุจน้ำแข็งและแข็งแกร่งราวกับกำแพงเมืองของแม่ทัพหนุ่มพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารและการต่อสู้ ย่อมมองออกในทันทีว่าฝีมือการปักผ้าผืนนี้อยู่ในระดับปรมาจารย์ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือเขาสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณจาง ๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวผ้า และกลิ่นสมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นสมุนไพรชั้นเลิศที่ใช้ในการบำบัดอาการบาดเจ็บภายในทั้งสิ้น
นางรู้ว่าเขาบาดเจ็บอยู่!
เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับนางอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้หลี่ชิงอีไม่ได้หลบสายตาอีกต่อไป ในดวงตาของนางฉายแววความห่วงใยและความจริงใจออกมาอย่างปิดไม่มิด มันคือสายตาที่บริสุทธิ์และปรารถนาดีอย่างแท้จริง
เขาไม่เอ่ยถามว่านางรู้ได้อย่างไร หรือเอ่ยถามถึงสรรพคุณของผ้าผืนนี้ การกระทำเช่นนั้นจะเป็นการทำลายความไว้วางใจและความปรารถนาดีอันงดงามของนาง เขาจึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับช้า ๆ หนึ่งครั้ง เป็นการยอมรับของขวัญชิ้นนี้ และยอมรับความห่วงใยที่นางมอบให้
“ขอบใจ”
เป็นคำพูดสั้น ๆ เพียงคำเดียว แต่กลับมีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าถ้อยคำนับร้อยนับพันคำ
เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเข้าไปในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม ตำแหน่งนั้นอยู่ใกล้กับหัวใจของเขาพอดี ความอบอุ่นจากผ้าผืนนั้น และความอบอุ่นจากน้ำใจของนางค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในหัวใจที่ด้านชาของเขา ชะล้างความเหน็บหนาวและความโดดเดี่ยวที่เกาะกุมมาเนิ่นนานให้จางหายไป
เซียวจิ่นเหยียนเดินจากไปในวันนั้น พร้อมกับความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ความรู้สึกที่ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนผู้หนึ่งที่ใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา ยังมีคนผู้หนึ่งที่มอบความปรารถนาดีให้เขาอย่างจริงใจโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม