เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิด
เซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้น
เขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่
“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”
“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอก
จากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง
“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ “สวี่จื่อเหวิน! ในฐานะบัณฑิต แต่กลับมีจิตใจต่ำช้า คิดคดทรยศ ก่ออาชญากรรมร้ายแรงใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น นับเป็นเสนียดของวงการปัญญาชน! ข้าในฐานะแม่ทัพแห่งองค์ฮ่องเต้ ขอตัดสินโทษเจ้าดังนี้! โบยด้วยไม้พลองหนักห้าสิบครั้ง! ริบทรัพย์สินทั้งหมด และที่สำคัญที่สุด ตัดสิทธิ์ในการเข้ารับการสอบขุนนางไปตลอดชีวิต!”
“ไม่! ไม่นะ! ได้โปรดเถิดท่านแม่ทัพ! อะไรก็ได้ แต่อย่าตัดอนาคตของข้าเลย!” สวี่จื่อเหวินกรีดร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง สำหรับเขาแล้วการถูกตัดสิทธิ์สอบขุนนางนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก เสมือนการทำลายความฝันและความหยิ่งผยองทั้งหมดในชีวิตของเขาลงอย่างสิ้นเชิง
“ส่วนเจ้า โม่หงชวน!” เซียวจิ่นเหยียนหันไปทางหญิงชรา “ในฐานะผู้ใหญ่ แต่กลับไม่ตักเตือนสั่งสอนบุตรในทางที่ถูกที่ควร ทั้งยังร่วมวางแผนการอันชั่วร้าย เป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น! โทษของเจ้านั้นหนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน! ข้าขอสั่งเนรเทศเจ้าไปยังเมืองชายแดนภาคใต้! ห้ามกลับเข้ามาเหยียบเมืองนี้อีกตลอดชีวิต!”
“ไม่! ข้าไม่ไป! ข้าแก่แล้ว จะให้ข้าไปลำบากได้อย่างไร!” โม่หงชวนดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
แต่ไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไปแล้ว ทหารองครักษ์ของเซียวจิ่นเหยียนเข้ามาชิ้ตัวคนทั้งสองขึ้นอย่างง่ายดายราวกับหิ้วลูกไก่ พวกเขาลากร่างที่ดิ้นรนและกรีดร้องด่าทอไปทั่วของสองแม่ลูกออกไปจากตลาด เพื่อนำไปรับโทษตามคำตัดสินทันที
เรือนตระกูลสวี่ถูกทางการเข้ายึดทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อนำไปขายทอดตลาดใช้หนี้สินที่เหลืออยู่ เป็นการปิดฉากตระกูลที่เคยหยิ่งผยองและดูแคลนผู้อื่นลงอย่างสมบูรณ์แบบ เปรียบดังการสิ้นสุดเวรกรรมที่หลี่ชิงอีต้องเผชิญมาตลอดหลายปี
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายลง บรรยากาศที่เคยตึงเครียดก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ท่านนายอำเภอและเหล่าทหารต่างพากันเข้ามาโค้งคำนับขอขมาหลี่ชิงอีเป็นการใหญ่ ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างก็มองมาที่นางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มีทั้งความชื่นชมในความเข้มแข็งของนาง ความเคารพในฐานะสตรีของท่านแม่ทัพ และความรู้สึกผิดที่เคยหลงเชื่อคำใส่ร้ายของคนชั่ว
แต่สำหรับเซียวจิ่นเหยียนแล้วเรื่องสำคัญที่สุดยังไม่จบลง
เขาสั่งให้ทหารองครักษ์กันฝูงชนให้ถอยห่างออกไป แต่ไม่ได้ไล่ให้พวกเขากลับไปเสียทีเดียว ราวกับต้องการให้ทุกคนในที่นั้นได้เป็นพยานในสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไป
ท่ามกลางความเงียบสงัดที่กลับมาเยือนอีกครั้ง เขาเพียงเดินตรงเข้าไปหาหลี่ชิงอี...
เสียงเกราะเงินกระทบกันเป็นจังหวะหนักแน่น ทุกย่างก้าวของเขาดูสง่างามและเปี่ยมด้วยอำนาจ เขายืนอยู่เบื้องหน้านาง แสงแดดอ่อน ๆ ของฤดูหนาวสาดส่องลงมากระทบชุดเกราะของเขาจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับ ราวกับมีรัศมีแห่งเทพยดาแผ่ออกมาจากร่าง
หลี่ชิงอีเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก นางไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกนางว่านี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง
และแล้ว เหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนในตลาดต้องตกตะลึงจนลืมหายใจก็เกิดขึ้น...
แม่ทัพใหญ่เซียวจิ่นเหยียน บุรุษผู้เป็นตำนานแห่งสมรภูมิ บุรุษที่คุกเข่าให้เพียงฟ้า ดิน และองค์ฮ่องเต้เท่านั้น บัดนี้เขากำลังคุกเข่าลงหนึ่งข้าง ต่อหน้าสตรีสามัญชนธรรมดาผู้หนึ่ง!
เสียงฮือฮาดังขึ้นพร้อมกันราวกับนัดหมาย ประหนึ่งการให้เกียรติขั้นสูงสุดของทหาร เป็นการแสดงความเคารพที่ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าการมอบทองคำนับหมื่นตำลึง
เซียวจิ่นเหยียนเงยหน้าขึ้นมองลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังสั่นระริกของหลี่ชิงอี แววตาที่เคยดุดันและเย็นชา บัดนี้กลับทอประกายแห่งความอ่อนโยนและความจริงใจออกมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเอื้อมมือไปกุมมือนางไว้อย่างแผ่วเบา
เขาเรียกชื่อนางเป็นครั้งแรก ด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและหนักแน่น...
“ชิงอี...”
“ข้าอาจไม่ใช่บุรุษที่พูดจาหวานซึ้ง ไม่รู้จักเอ่ยคำรักพร่ำเพรื่อ ชีวิตของข้าส่วนใหญ่อยู่ในสนามรบ คุ้นเคยกับกลิ่นคาวเลือดและเสียงของอาวุธมากกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้คือ นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าได้พบเจ้า ภาพของสตรีผู้บอบช้ำแต่แววตาไม่ยอมจำนน ภาพของเจ้าที่ลุกขึ้นสู้และสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ด้วยสองมือ มันได้สลักลึกลงไปในหัวใจของข้าแล้ว เจ้าทำให้ข้าได้รู้จักกับความอบอุ่น ทำให้หัวใจที่ด้านชาของข้ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง...”
เขาหยุดพูดไปชั่วขณะ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวคำพูดที่สำคัญที่สุดออกมา
“ข้าขอสัญญาด้วยเกียรติของแม่ทัพแห่งแคว้นว่าจะปกป้องเจ้า ดูแลเจ้า และให้เกียรติเจ้าไปตลอดชีวิต จะไม่มีวันทำให้เจ้าต้องเสียน้ำตาเพราะความทุกข์อีกต่อไป ชิงอี… เจ้าแต่งงานกับข้าได้หรือไม่?”
สิ้นเสียงคำพูดของเขา หยาดน้ำตาเม็ดโตก็ร่วงหล่นลงมาจากดวงตาของหลี่ชิงอี แต่นี่ไม่ใช่น้ำตาจากความโศกเศร้า มันคือน้ำตาแห่งความปิติ
น้ำตาที่ชะล้างความเจ็บปวดทั้งหมดที่นางเคยได้รับมาในอดีตให้มลายหายไปจนหมดสิ้น น้ำตาที่เกิดจากความสุขท่วมท้นจนไม่อาจเก็บกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป นางมองดูบุรุษที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ผู้ที่มอบทั้งความยุติธรรม ความปลอดภัย และเกียรติยศทั้งหมดให้แก่นาง
นางจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร...
หลี่ชิงอีพยักหน้ารับช้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับรอยยิ้มที่งดงามที่สุดปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
“เจ้าค่ะ ข้าตกลง”
ทันทีที่นางตอบรับ เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีก็ดังขึ้นกึกก้องไปทั่วทั้งตลาด ชาวบ้านต่างพากันปรบมือและอวยพรให้แก่คนทั้งสองอย่างจริงใจ และในขณะนั้นเอง รถม้าคันหรูก็แล่นเข้ามาจอดอย่างเงียบเชียบ ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวในอาภรณ์ที่งดงามก้าวลงมาจากรถม้าพร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ
นางมองดูภาพเบื้องหน้า หลานชายของนางได้พบกับสตรีที่คู่ควรดั่งกิ่งทองใบหยกอย่างแท้จริงแล้ว
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม