ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจ
หลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้
เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...
เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยพลังที่สามารถปลอบประโลมจิตใจที่กำลังแตกสลายของนางได้ “ข้าอยู่นี่แล้ว”
เพียงประโยคสั้น ๆ ประโยคเดียว กลับทำให้ความเข้มแข็งที่นางพยายามสร้างมาตลอดพังทลายลง ความรู้สึกปลอดภัยที่นางโหยหามาตลอดชีวิตถาโถมเข้ามาในหัวใจจนจุกแน่นไปหมด นางทำได้เพียงพยักหน้ารับเบา ๆ กัดริมฝีปากแน่นเพื่อสะกดกั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
จากนั้นพยัคฆ์แห่งแดนเหนือจึงหันไปเผชิญหน้ากับเหล่ามดปลวกที่บังอาจมารังแกคนของเขา
“นายอำเภอหลิว ลุกขึ้น” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา และไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง “แล้วอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ให้ข้าฟังช้า ๆ และชัด ๆ”
ท่านนายอำเภอหลิวลนลานลุกขึ้นยืน ตัวสั่นราวกับลูกนกต้องลมหนาว เขาปาดเหงื่อที่ไหลท่วมใบหน้าพลางอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างติด ๆ ขัด ๆ ตั้งแต่การได้รับจดหมายร้องเรียนนิรนาม ไปจนถึงการบุกเข้าตรวจค้นและพบของกลางคาหนังคาเขา เขายื่นจดหมายฉบับนั้นให้เซียวจิ่นเหยียนดูด้วยสองมือที่สั่นเทา
เซียวจิ่นเหยียนรับจดหมายมาอ่านผ่าน ๆ ด้วยสายตาเรียบเฉย เขาไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวหรือตกใจแม้แต่น้อย เพราะความสงบนิ่งของเขานั้นน่ากลัวยิ่งกว่า เขาพียงวางจดหมายลง แล้วหันไปมองตราหยกในมือของหัวหน้าทหาร
“หลักฐานแน่นหนาดีนี่” เขาเปรยขึ้นมาลอย ๆ ทำให้หัวใจของท่านนายอำเภอแทบจะหยุดเต้น
แต่แล้ว เขาก็หันไปสั่งการองครักษ์คนสนิทที่ยืนอยู่ด้านหลัง “องครักษ์จาง!”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!” องครักษ์ในชุดเกราะสีดำก้าวออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ไปเชิญพยานสองคนที่ข้าสั่งให้เจ้าจับตาดูไว้มาที่นี่”
คำสั่งนั้นทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับงุนงง พยานรึ? นี่เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างนั้นหรือ
ความจริงแล้วเซียวจิ่นเหยียนไม่ใช่คนโง่ นับตั้งแต่วันที่สองแม่ลูกตระกูลสวี่มาหาเรื่องหลี่ชิงอีเป็นครั้งแรก เขาก็คาดการณ์ได้ในทันทีว่าคนพาลสันดานหยาบเช่นนั้นย่อมไม่ยอมหยุดราวีง่าย ๆ เขาจึงสั่งให้องครักษ์ของตนแอบจับตาดูความเคลื่อนไหวของสองแม่ลูกนั่นไว้อย่างลับ ๆ ตลอดมา เพราะเขารู้ดีว่าคนประเภทนี้มักจะเป็นพวกหมาลอบกัดที่ชอบเล่นงานเหยื่อในตอนที่เผลอ
ไม่นานนัก องครักษ์จางก็นำชายสองคนมายังที่เกิดเหตุ คนแรกเป็นยามชราที่เดินตรวจการณ์ในตอนกลางคืน ส่วนอีกคนเป็นชายร่างกำยำหน้าตาถมึงทึง ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นเจ้าของบ่อนพนันเป็นแน่
สวี่จื่อเหวินที่แอบซุ่มดูอยู่ เมื่อเห็นบุคคลทั้งสองก็ถึงกับหน้าถอดสีทันที!
เซียวจิ่นเหยียนชี้นิ้วไปยังยามชราเป็นคนแรก “ลุงเถียน ท่านจงเล่าความจริงทั้งหมดที่ท่านเห็นในคืนเดือนดับเมื่อสองวันก่อนให้ทุกคนฟัง”
ยามชราเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ก็หวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ไม่กล้าพูดเท็จ เขารีบคุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า “กราบเรียนท่านแม่ทัพ คืน... คืนนั้นข้าน้อยกำลังเดินยามอยู่แถวกำแพงจวนท่านนายอำเภอ ข้าน้อยเห็นชายผู้หนึ่ง รูปร่างหน้าตาคล้าย... คล้ายบัณฑิตสวี่ผู้นั้นกำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพงขอรับ ตอนแรกข้าน้อยคิดว่าเป็นแค่คนเมาจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่พอมานึกดูตอนนี้...”
คำให้การของเขาทำให้ฝูงชนเริ่มส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที
จากนั้นเซียวจิ่นเหยียนก็หันไปหาชายคนที่สอง “เจ้าล่ะ เถ้าแก่หวง บัณฑิตผู้นี้ติดหนี้พนันเจ้าอยู่เท่าไหร่?”
เถ้าแก่หวงคารวะอย่างนอบน้อม “กราบเรียนท่านแม่ทัพ บัณฑิตสวี่ติดหนี้ที่บ่อนของข้าน้อยอยู่ถึงห้าสิบตำลึงเงินขอรับ! ข้าน้อยทวงถามหลายครั้งแล้วแต่เขาก็เอาแต่บ่ายเบี่ยง เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าน้อยจึงได้ขู่ไปว่าหากยังไม่นำเงินมาใช้หนี้ ข้าน้อยจะสั่งคนไปหักแขนหักขาของเขาทิ้งเสีย!”
คำให้การชิ้นที่สองนี้เป็นดั่งค้อนที่ทุบลงมาอย่างแรง นั่นคือแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรม ทุกคนในที่นั้นเข้าใจได้ในทันทีว่าสวี่จื่อเหวินผู้จนตรอก อาจจะก่อเหตุร้ายขึ้นเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ หรือไม่ก็ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
หลักฐานและพยานมัดตัวแน่นหนาถึงเพียงนี้ สถานการณ์พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือในพริบตา
ทุกสายตาจับจ้องไปยังสวี่จื่อเหวินที่บัดนี้หน้าซีดขาวราวกับกระดาษ เหงื่อเม็ดโป้งไหลออกมาท่วมตัวราวกับอาบน้ำ
เซียวจิ่นเหยียนเดินเข้าไปหาเขาช้า ๆ ทุกย่างก้าวของเขาหนักอึ้งราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ “สวี่จื่อเหวิน ตอนนี้เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่?” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ
“ข้า... ข้า... ข้า...” สวี่จื่อเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ แต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมา
“สารภาพมาว่าใครคือผู้บงการ” เซียวจิ่นเหยียนถามเสียงเรียบ แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมานั้นแทบจะทำให้สวี่จื่อเหวินขาดใจตายอยู่ตรงนั้น
และแล้ว ความจองหองจอมปลอมของบัณฑิตหนุ่มก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เขาทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กน้อยอย่างน่าสมเพช
“ข้าขอรับ! ข้าผิดไปแล้ว! ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยท่านแม่ทัพ!” เขาก้มลงโขกศีรษะกับพื้นซ้ำ ๆ จนหน้าผากแตกเลือดไหลอาบ “แต่... แต่มันไม่ใช่ความคิดของข้าทั้งหมด! เป็นความคิดของท่านแม่! นางเป็นคนบอกให้ข้าทำ! นางบอกว่าถ้ากำจัดอีตัวนั่นไปได้เราก็จะสบายขึ้น! ข้าไม่ผิด! ท่านแม่ต่างหากที่เป็นคนผิด!” นับว่าเป็นการโบ้ยความผิดที่น่ารังเกียจและขี้ขลาดที่สุด
“เจ้าลูกอกตัญญู!!!” โม่หงชวนที่ยืนตะลึงอยู่ถึงกับกรีดร้องออกมา นางไม่คิดว่าบุตรชายสุดที่รักจะโยนความผิดทั้งหมดมาให้นางอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ “เจ้าพูดอะไรของเจ้า! ข้าไม่เคยสั่งสอนให้เจ้าทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้!”
สองแม่ลูกเริ่มทะเลาะและสาดโคลนใส่กันอย่างน่าเวทนา เปิดโปงความชั่วร้ายและความเห็นแก่ตัวของกันและกันออกมาจนหมดเปลือก เป็นภาพที่น่าสมเพชจนชาวบ้านต่างพากันเบือนหน้าหนี
ทุกคนในตลาดได้เห็นธาตุแท้ของตระกูลสวี่อย่างชัดแจ้งแล้ว พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงคนพาลที่ชอบรังแกผู้อื่น แต่ยังเป็นอาชญากรที่ใจคออำมหิตและขี้ขลาดตาขาวอีกด้วย
เสียงซุบซิบของชาวบ้านเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง คราวนี้เต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ที่มีต่อตระกูลสวี่ และความชื่นชมระคนรู้สึกผิดที่มีต่อหลี่ชิงอี พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเกือบจะกลายเป็นเครื่องมือให้คนชั่วทำร้ายคนดีไปเสียแล้ว
หลี่ชิงอีได้รับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนางอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด นางยืนหยัดอย่างสง่างามท่ามกลางความโกลาหลนั้น น้ำตาแห่งความโล่งใจไหลรินลงมาอาบแก้ม นางได้รับการทวงคืนความยุติธรรม และความภาคภูมิใจของนางกลับคืนมาแล้ว
เซียวจิ่นเหยียนมองดูสองแม่ลูกที่กำลังกอดขากางเกงของเขาอ้อนวอนขอชีวิตอย่างน่าสมเพชด้วยแววตาที่เย็นชาและไร้ความปรานี เขารู้ดีว่าคนชั่วเช่นนี้สมควรได้รับบทเรียนที่สาสมที่สุด บทเรียนที่พวกเขาจะต้องจดจำไปจนวันตาย!
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม