กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...
หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสาย
ที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเอง
หลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อน
ชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา
“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอีไปไถ่ตัวออกมาจากหอคณิกา
หลี่ชิงอีเดินเข้าไปหานางพร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น
“ไม่เป็นไร ค่อย ๆ ทำ ใจเย็น ๆ” นางกล่าวพลางจับมือนางอย่างแผ่วเบา “ลองผ่อนแรงที่นิ้วลงเล็กน้อย เห็นไหม? ดีขึ้นแล้ว ความชำนาญเกิดจากการฝึกฝน อย่าเพิ่งท้อใจไป ชีวิตของเจ้าเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”
คำพูดที่เปี่ยมด้วยความเมตตาของนางทำให้หญิงสาวผู้นั้นถึงกับน้ำตาคลอ นางก้มหน้าลงทำงานต่อไปด้วยความมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม ที่นี่ไม่มีใครเรียกพวกนางด้วยถ้อยคำดูแคลน มีเพียงคำว่าพี่กับน้อง และมีฮูหยินผู้เปรียบประดุจแสงสว่างนำทางชีวิตของพวกนาง
ผลิตภัณฑ์ของเรือนปักผ้าโอสถในตอนนี้นั้นมีหลากหลายและล้ำค่ายิ่งกว่าเดิมมากนัก นอกจากผ้าเช็ดหน้าและถุงหอมแล้ว ยังมีเสื้อผ้าสำหรับเด็กอ่อนที่สอดไส้สมุนไพรป้องกันหวัด ปลอกหมอนช่วยให้หลับสบาย และที่สำคัญที่สุดคือผ้าพันแผลสมุนไพร
เป็นผลงานชิ้นเอกที่เกิดจากความร่วมมือกันของสองสามีภรรยา เซียวจิ่นเหยียนได้นำตำราแพทย์สนามโบราณมาให้ภรรยาศึกษา ส่วนหลี่ชิงอีก็ได้ประยุกต์ใช้วิชาปักผ้าโอสถของนางสร้างสรรค์ผ้าพันแผลที่นุ่มสะอาดและสอดไส้ไว้ด้วยสมุนไพรห้ามเลือด สมานแผล และป้องกันการติดเชื้อ ผ้าพันแผลเหล่านี้ได้ถูกส่งไปยังค่ายทหารที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง ช่วยรักษาชีวิตของเหล่าทหารกล้าเอาไว้ได้นับไม่ถ้วน
ชื่อเสียงของฮูหยินหลี่ชิงอีจึงเป็นที่เลื่องลือและเคารพนับถือไปทั่วทั้งแคว้น นางได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าคุณค่าของสตรีไม่ได้อยู่ที่การปรนนิบัติสามีเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถใช้ความสามารถของตนเองสร้างประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่บ้านเมืองได้อีกด้วย
ขณะที่หลี่ชิงอีกำลังตรวจดูคุณภาพของผ้าพันแผลล็อตใหม่อยู่นั้น เสียงฝีเท้าม้าที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางหน้าจวน
“ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว!”
เสียงร้องด้วยความยินดีดังขึ้นพร้อมกัน สตรีทุกคนในเรือนปักผ้าต่างพากันหยุดมือและโค้งคำนับอย่างนอบน้อมให้กับบุรุษในชุดเกราะเดินทางที่เพิ่งก้าวเข้ามาในบริเวณเรือน
เซียวจิ่นเหยียนกลับมาแล้ว เขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากการไปตรวจการณ์ที่ค่ายทหารชายแดนเป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือนเต็ม
ใบหน้าของเขาดูคมเข้มและกรำแดดกรำลมมากขึ้นกว่าเดิม แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับทอประกายอ่อนโยนลงทันทีที่มองเห็นร่างของภรรยาสุดที่รัก เขาก้าวตรงเข้ามาหานาง ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือมองว่ากิจการของนางเป็นเรื่องวุ่นวายน่ารำคาญแม้แต่น้อย
“พี่กลับมาแล้ว ชิงอี” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไว้ด้วยความคิดถึง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านเจ้าค่ะ ท่านพี่” หลี่ชิงอีแย้มยิ้มกว้างอย่างมีความสุข นางเดินเข้าไปช่วยเขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่เปื้อนฝุ่นจากการเดินทางออกให้อย่างเป็นธรรมชาติ
“การเดินทางเรียบร้อยดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“เรียบร้อยดี” เขาตอบพลางยื่นห่อผ้าเล็ก ๆ ห่อหนึ่งให้นาง “ระหว่างทางกลับ ข้าขึ้นไปบนภูเขาหิมะทางตอนเหนือ บังเอิญไปเจอดอกบัวหิมะเข้าพอดี คิดว่าเจ้าคงจะชอบ”
หลี่ชิงอีเปิดห่อผ้าออกอย่างตื่นเต้น ภายในคือดอกบัวหิมะสีขาวบริสุทธิ์ที่ยังคงความสดใหม่อย่างน่าอัศจรรย์ “งดงามมากเจ้าค่ะ! แถมยังเป็นยอดสมุนไพรที่ช่วยบำรุงพลังวัตรได้เป็นอย่างดีอีกด้วย! ท่านพี่ช่างมีสายตาแหลมคมนัก” นางกล่าวชื่นชมอย่างจริงใจ
“ไม่เท่าสายตาของเจ้าหรอก” เขากล่าวพลางมองไปรอบ ๆ เรือนปักผ้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความหวัง “เจ้ามองเห็นคุณค่าในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม และมอบชีวิตใหม่ให้แก่พวกเขา”
“ผ้าพันแผลของเจ้าช่วยทหารที่บาดเจ็บไว้ได้หลายร้อยนาย” เขากล่าวต่อ “เหล่าทหารต่างฝากคำขอบคุณและเรียกเจ้าว่าพระโพธิสัตว์แห่งสนามรบกันทั้งนั้น”
“ท่านพี่กล่าวเกินไปแล้ว” หลี่ชิงอีหน้าแดงระเรื่อ “ข้าเพียงทำในสิ่งที่ข้าทำได้เท่านั้น ท่านต่างหากคือผู้ที่ปกป้องบ้านเมืองอย่างแท้จริง”
“เราต่างก็ทำหน้าที่ของตนเอง เพื่อปกป้องสิ่งที่เรารัก” เขากล่าวพลางกุมมือนางไว้อย่างอบอุ่น “เจ้าปกป้องผู้คนของเจ้า และข้าก็จะปกป้องเจ้าเอง”
…
ยามโหย่ว[1] ดวงอาทิตย์สีทองกำลังจะลับขอบฟ้า หลังจากที่เซียวจิ่นเหยียนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว เขากับหลี่ชิงอีก็พากันเดินขึ้นไปบนวั้งเยวี่ยโหลว ซึ่งเป็นหอชมจันทร์ที่สูงที่สุดในจวนแม่ทัพ ทั้งสองยืนเคียงข้างกันที่ระเบียง มองดูทิวทัศน์อันงดงามของเมืองหลวงที่อาบย้อมไปด้วยแสงสีทองยามอัสดง ลมหนาวพัดโชยมาเบา ๆ แต่เมื่อยืนอยู่ข้างกายเขา หลี่ชิงอีกลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย
นางซบศีรษะลงบนไหล่ที่แข็งแกร่งของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ความเงียบสงบเข้าครอบงำคนทั้งสอง มีเพียงความเข้าใจและความรักที่เอ่อล้นอยู่ในหัวใจ
“เหนื่อยหรือไม่?” เขาถามขึ้นมาเบา ๆ
หลี่ชิงอีส่ายหน้าช้า ๆ “ข้ามีความสุข ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ” นางตอบด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมใจ
นางนึกย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ในเวลานี้นางคงกำลังทำงานหนักราวกับวัวควายอยู่ในเรือนตระกูลสวี่ มีชีวิตอยู่ที่เปรียบเสมือนตกนรกทั้งเป็น แต่วันนี้นางกลับได้มายืนอยู่ในจุดที่สูงที่สุด เคียงข้างบุรุษที่ประเสริฐที่สุด...
ชีวิตของนางเปรียบดั่งบทพิสูจน์ของคำกล่าวที่ว่าลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน
นางเคยคิดว่าโชคชะตาได้ขีดเขียนให้นางต้องทุกข์ทนไปตลอดชาติ แต่แล้วนางก็เลือกที่จะลุกขึ้นสู้ เลือกที่จะฉีกตำราแห่งโชคชะตานั้นทิ้งไป แล้วใช้สองมือของนางเขียนมันขึ้นมาใหม่
เซียวจิ่นเหยียนกระชับอ้อมแขนโอบรอบกายนางให้แน่นขึ้น “ข้ารักเจ้าชิงอี” เขากระซิบที่ข้างหูของนาง เป็นคำบอกรักที่เรียบง่ายแต่กลับสั่นสะเทือนไปถึงขั้วหัวใจ
หลี่ชิงอีหลับตาลงซึมซับความสุขสงบในชั่วขณะนั้นเอาไว้...
“ข้าก็รักท่านเจ้าค่ะ ท่านพี่”
แสงสุดท้ายของวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเงาร่างของคนสองคนที่ยืนหยัดเคียงข้างกันอย่างมั่นคง เป็นภาพของความรักที่ไม่ได้เกิดจากพรหมลิขิตบนสรวงสวรรค์ แต่เกิดจากการต่อสู้ ความเคารพ และความเข้าใจซึ่งกันและกันบนโลกมนุษย์...
นี่คือเรื่องราวทั้งหมดของนาง หลี่ชิงอี สตรีผู้ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา เพราะชาติภพนี้ข้าขอลิขิตรักเอง
*** จบบริบูรณ์ ***
°°° °°°
[1] ยามโหย่ว คือช่วงเวลา 17.00-18.59 น.
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม