เรือนใหญ่ตระกูลมู่หรง
เมื่อมู่หรงซานและหลี่จื่อเวยมาถึงที่เรือนใหญ่ก็พบว่าคนของบ้านรองมาถึงก่อนหน้านานแล้ว อีกทั้งยังส่งยิ้มให้พวกนางอย่างเป็นมิตร หลี่จื่อเวยยิ้มตอบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะมองคนทั้งหมดคราหนึ่ง
ภาพของร่างเดิมปรากฏขึ้นอีกครา คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั่นก็คือพ่อของมู่หรงซาน ส่วนสตรีวัยกลางคนที่ีใบหน้างดงามนั่นก็คือแม่สามีของนาง ถัดไปก็คือท่านอารองและอาสะใภ้รอง รวมถึงมู่หรงเฉินและภรรยาของเขาที่แต่งมาจากตระกูลบัณฑิตมีหน้ามีตาก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
"คารวะท่านพ่อท่านแม่ ท่านอารองและอาสะใภ้รองเจ้าค่ะ"
หลี่จื่อเวยพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะหันไปมองมู่หรงซานที่เดินไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินไปทิ้งกายนั่งลงข้างๆ เขา มู่หรงฮูหยินผู้เป็นแม่สามีมองหลี่จื่อเวยครู่หนึ่งไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
เดิมทีนางเองก็ไม่ใช่แม่สะใภ้ใจร้ายอะไรแบบนั้น แต่เพราะสะใภ้ไม่เคยเอ่ยปากขอให้นางช่วยเหลืออะไรเลย อีกทั้งยังตามใจสามีจนเคยตัว มู่หรงซานทำอะไรก็ไม่เคยห้าม ไม่มีปากไม่มีเสียงเอาแต่เก็บตัว นางจึงไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีก และไม่อยากจะฟังคำโต้เถียงของบุตรชายที่ทำให้นางเสียใจ
ได้ยินว่ามู่หรงซานนำของในเรือนเล็กที่นางมอบให้เป็นของขวัญแต่งงานไปขายจนแทบจะหมดเรือนแล้ว โชคดีที่เรือนใหญ่มีนางคอยดูแลมู่หรงซานแม้จะใจกล้าเพียงใดก็ไม่กล้ามาเอาของในเรือนใหญ่ไปขาย
นางอยากจะดัดนิสัยลูกชายและลูกสะใภ้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งคนนำอาหารไปให้อยู่เสมอ ตัวของมู่หรงซานนั้นก็อวดดี บอกว่ามีเมียแล้วจะไม่ขอความช่วยเหลือจากนางอีก เพราะรำคาญที่นางเอาแต่บ่นบังคับขู่เข็ญเขา การมากินข้าวด้วยกันทุกครั้งก็ไม่เคยสงบเลยสักครา ต้องมีเรื่องโต้เถียงทุกครั้งไป นางเองก็ปวดหัวไม่น้อยไม่รู้จะสั่งสอนเช่นไรแล้ว ต้องโทษนางและสามีที่ตามใจเขาจนเคยตัวมาตั้งแต่เด็ก
ผู้ใดจะรู้กันว่าเติบโตมาแล้วเขาจะเป็นหนักถึงขนาดนี้
ด้านมู่หรงหยางผู้เป็นท่านอารองนั้นก็มองมู่หรงซานเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม
"วันนี้อาซานดูหน้าตาแจ่มใสนะ คงไม่ได้ไปดื่มสุราเลยสินะ"
มู่หรงซานที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะหันมามองหลี่จื่อเวย
"ช่วงนี้ข้าอยากอยู่กับจือจือ เลยไม่ได้ออกไปที่ใดขอรับ"
"คนหนุ่มสาวก็เช่นนี้แหละ"
มู่หรงหยางเอ่ยพร้อมกับหัวเราะและมองหลานชายตนเองด้วยสายตาที่เอ็นดู ส่วนอาสะใภ้รองก็ยิ้มเล็กน้อย มู่หรงเฉินเองก็มองญาติผู้พี่ของตนด้วยแววตาที่หยอกเย้า
"พี่ใหญ่ แต่งงานมาสองปีแล้วนะ เมื่อใดท่านจะมีบุตรสักทีเล่า ดูข้ากับม่านเอ๋อร์สิ เรากำลังจะมีบุตรด้วยกันแล้วนะ"
มู่หรงซานที่ได้ยินเช่นนั้นก็เพียงยิ้มไม่ได้ตอบสิ่งใดไป พลางมองดูฟางม่านม่าน ภรรยาของมู่หรงเฉินเล็กน้อย
ก็งามอยู่ แต่งามไม่เท่าจือจือของเขา!!!
หลังจากที่กินอาหารกันอิ่มแล้ว บ้านรองก็ขอตัวกลับเรือนของตน อีกทั้งยังนำสุราอย่างดีมามอบให้บิดาของมู่หรงซานอีกด้วย เมื่อคนบ้านรองจากไปแล้ว ฮูหยินใหญ่จึงหันมามองสะใภ้ของตน ก่อนจะเอ่ย
"จือจือ ดูเจ้าแต่งตัวเข้าสิ ดีที่วันนี้มีเพียงคนในบ้านรองที่มาเห็น หากเป็นคนบ้านอื่นละก็ทุกคนคงเอาไปนินทาว่าจวนตระกูลมู่หรงดูแลเจ้าไม่ดี เจ้าเองไม่เคยปริปากขออะไรจากข้าเลยเพราะเชื่อฟังสามีตัวดีของเจ้า ข้าเองก็ไม่อยากก้าวก่ายเพราะพวกเจ้าโตๆ กันแล้ว ร้านรวงข้าก็แบ่งให้ไปทำทุนไม่น้อย แต่สามีที่แสนจะอวดดีของเจ้านั้น ข้าได้ยินว่าเอาของไปขายจนแทบหมดเรือนเล็กแล้ว ขืนยังเป็นเช่นนี้บ้านสวนนอกเมืองและที่ทางทำสวนปลูกผลไม้ ข้าคงไม่มีทางยกให้พวกเจ้าเป็นแน่"
หลี่จื่อเวยเม้มริมฝีปากแน่น พยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธไม่ให้ลุกขึ้นถีบมู่หรงซานเอาไว้ ร่างเดิมก็จริงๆ เลย ยอมสามีเชื่อสามีไปเสียทุกอย่าง สามีบอกไม่ให้ขอความช่วยเหลือนางก็ไม่ทำ แล้วเป็นอย่างไรเล่า ต้องตรอมใจตายไปแบบนั้น
ในเมื่อนางเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว นางจะต้องแก้ไขทุกอย่างให้ได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่จื่อเวยจึงเงยหน้าไปมองแม่สามี ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย แม่สามีเองก็สงสารสะใภ้เช่นกัน แต่ไม่ได้แสดงท่าทีใดออกมาให้เห็น
"แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนที่รู้ว่าเจ้าฟื้นขึ้นมาจากความตาย ข้าก็ตกใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้เตรียมจะส่งคนไปแจ้งท่านพ่อของเจ้าแล้วด้วย โชคดีที่เจ้าฟื้นกลับมา มิเช่นนั้นข้าคงไม่รู้จะบอกกับท่านพ่อเจ้าเช่นไร แต่งบุตรสาวเขามาเพียงสองปีก็ตายไปเสียแล้วเช่นนี้"
มู่หรงฮูหยินเอ่ยไปก็ปวดใจไป นางเองก็สะเพร่าเกินไป ปล่อยคนทั้งสองเอาไว้ไม่ได้ไปใส่ใจเพราะมัวแต่โมโหมู่หรงซาน นางเองก็ไม่คิดว่าหลี่จื่อเวยจะป่วยหนักขนาดนั้น
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้ม ก่อนจะเอ่ย
"ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ เพราะล้มป่วยจนหมดสติไปจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดในครั้งนั้น เมื่อฟื้นมาทำให้ข้าคิดได้ว่าจะต้องเริ่มต้นใหม่เจ้าค่ะ ต่อไปนี้ข้าจะเชื่อฟังท่านแม่ ไม่ให้มู่หรงซานทำอะไรตามใจชอบอีก ตอนนี้พูดตามตรงข้าเองก็ไม่มีเงินทองของมีค่าอะไรแล้ว ท่านแม่ก็รู้ดีว่าที่ข้าต้องแต่งเข้าจวนมาก็เพราะสิ่งใด หากท่านแม่ไม่รังเกียจสะใภ้ ข้าเองอยากจะขอให้ท่านแม่ช่วยข้าสักครั้งเจ้าค่ะ"
มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไปชั่วขณะ พลางมองมู่หรงซานบุตรชายตัวดีที่นั่งกินอาหารอย่างไม่สนร้อนสนหนาวคราหนึ่ง ด้านนายท่านมู่หรงผู้เป็นสามีของนางนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงมองดูอยู่เงียบๆ เรื่องในจวนเขาให้นางจัดการทั้งหมด
มู่หรงซานคีบเนื้อปลาเข้าปาก เขาไม่ได้สนใจเรื่องราวรอบตัวเลยแม้แต่น้อย เขารำคาญที่ท่านแม่ชอบบ่น ท่านพ่อก็เอาแต่สั่งสอนเรื่องอะไรที่เขาไม่อยากฟัง เขากับท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ค่อยจะลงรอยกัน หลังจากแต่งงานเขาก็แยกมาอยู่เรือนเล็ก ไม่อยากอยู่ร่วมเรือนกับพ่อและแม่ตน เมื่อเขาอวดดีมากเข้า ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่อยากจะสนใจเขาอีก
มู่หรงฮูหยินมองหลี่จื่อเวย ก่อนจะเอ่ยถาม
"เจ้าพูดจริงหรือ"
"จริงเจ้าค่ะ เพราะที่ผ่านมาสะใภ้โง่เขลาเกินไป ควบคุมสามีไม่ได้ อีกทั้งยังอวดดี ตอนนี้ผ่านความตายมาแล้ว จึงได้ตระหนักคิดเจ้าค่ะท่านแม่"
มู่หรงฮูหยินมองสะใภ้ตนคราหนึ่ง เดิมทีนางก็สงสารหลี่จื่อเวยอยู่แล้ว นางเองรู้ดีว่าที่หลี่จื่อเวยต้องแต่งเข้าจวนตระกูลมู่หรงส่วนหนึ่งก็เพราะบิดานางต้องการเงินไปจ่ายพนัน อีกทั้งภรรยาใหม่ของเขาก็หน้าเงินอย่างกับอะไรดี แต่ที่นางยินยอมให้หลี่จื่อเวยแต่งเข้าจวนเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนของสองตระกูล และสงสารเด็กสาวคนหนึ่งที่ต้องมาเจอเรื่องราวเช่นนี้
ที่น่าสงสารยิ่งกว่าก็คือมารดาของหลี่จื่อเวยตายจากไปทั้งที่ไม่ได้ดูแลลูกจนเติบใหญ่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมู่หรงฮูหยินก็ยื่นมือของตนไปจับมือของหลี่จื่อเวยเอาไว้
"เด็กดี เอาเถิด อย่างไรเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้ มีหรือข้าจะใจดำกับเจ้า แต่ข้าแก่แล้วอีกทั้งยังเป็นแม่สามี ที่ผ่านมามิใช่ว่าไม่อยากจะช่วยเจ้า แต่ข้าคือผู้อาวุโส ย่อมต้องรอให้เจ้าเข้ามาหาข้าเอง หากข้าก้าวก่ายมากเกินไปก็จะเป็นการวุ่นวายกับพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่อยากจะเป็นยายแก่ที่วันๆ ทำแต่นั่งบ่นลูกหลานหรอกนะ"
"ข้าเข้าใจเจ้าค่ะท่านแม่ ต่อไปนี้ข้าจะเชื่อฟังท่านแม่และท่านพ่อเจ้าค่ะ"
หลี่จื่อเวยพูดจบก็หันไปมองมู่หรงซานที่กำลังยกจอกสุราขึ้นดื่มโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น มู่หรงฮูหยินที่เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้น
"หูคงตึงไปแล้วแหละ"
หลี่จื่อเวยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำได้เพียงยิ้มออกมา ทั้งที่ในใจอยากจะถีบให้เขาร่วงเก้าอี้ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
มู่หรงฮูหยินถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะให้หลี่จื่อเวยรอก่อน และเข้าไปปรึกษากับสามีของตนในห้อง เมื่อเหลือกันอยู่สองคนแล้ว หลี่จื่อเวยจึงหันมามองมู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยกับสามีตนด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
"ข้าพูดกับท่านพ่อท่านแม่ ท่านไม่ได้ยินหรือ"
"ข้าก็ฟังอยู่"
มู่หรงซานพูดไปกินไป ไม่ได้หันมามองนางเลยแม้แต่น้อย หลี่จื่อเวยกำหมัดแน่น ในขณะที่กำลังจะใช้กำปั้นทุบเข้าไปที่กลางหลังของมู่หรงซาน พ่อแม่สามีก็เดินออกมาพอดี
มู่หรงฮูหยินยื่นถุงเงินส่งให้นาง หลี่จื่อเวยชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับมา ก่อนจะพบว่ามันค่อนข้างหนักใช้ได้เลย
"ข้าให้เจ้าเอาไว้ทำทุน ตอนนี้ข้าไม่มีให้แล้วนะ เพราะอย่างไรก็ต้องเก็บเงินทองเอาไว้ วันหน้าจะเป็นเช่นไรเราไม่อาจรู้ได้ อีกทั้งยังต้องใช้หมุนในร้านรวงอีก แม้ตระกูลมู่หรงจะมีเงินมาก แต่ก็จะใช้ได้ตามใจชอบไม่ได้"
"ข้าเข้าใจเจ้าค่ะท่านแม่"
"อืม เจ้าเองอย่าตามใจสามีของเจ้านัก รู้หรือไม่"
"เจ้าค่ะ"
หลี่จื่อเวยรับคำ ในขณะที่มู่หรงซานเงยหน้ามามองมารดาตน ก่อนจะเอ่ย
"ท่านแม่นี่งกจริงๆ ท่านจ่ายเงินให้คนงานได้ แต่กลับจ่ายเงินให้ลูกชายเพียงคนเดียวไม่ได้ ต้องมีข้ออ้างสารพัด เงินมันจะหมดได้เช่นไร บ้านเราร่ำรวยออกปานนี้ เหอะ เห็นคนอื่นดีกว่าข้า ข้าหรือคนงานกันแน่ที่เป็นลูกของท่านแม่!"
มู่หรงฮูหยินและนายท่านมู่หรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็โมโหจนลมออกหู ลูกบัดซบผู้นี้มันน่านัก!!!
"นี่ซานเอ๋อร์ หากเจ้าช่วยทำงานแม่ก็ให้ แต่นี่เจ้านอกจากจะไม่ทำงานทำการแล้ว ร่ำเรียนเจ้าก็ไม่เอา วันๆ เข้าออกโรงพนันโรงสุราเป็นว่าเล่น เจ้าคิดว่าเงินมันสามารถงอกออกมาให้เจ้าใช้เองเช่นนั้นหรือ!!!"
"มันงอกมาจากท่านแม่อย่างไรเล่า...โอ๊ย!! จือจือทุบหลังข้าทำไม"
หลี่จื่อเวยทนไม่ไหวแล้ว เธอจึงทุบเขาเข้าให้ มู่หรงฮูหยินที่ได้เห็นแบบนั้นก็จ้องมองคนทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยถาม
"จือจือ เจ้าทุบตีเขาด้วยหรือ?"
หลี่จื่อเวยเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป นางกลัวคนจะสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไป แต่กลับพลาดเพราะทนไม่ไหวเสียได้
ก็มู่หรงซานมันน่ากระทืบเช่นนี้ นางจะอดใจไหวได้อย่างไรกัน!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยกับแม่สามีทันที
"คือว่า ตอนที่ข้าตายไปหนึ่งครั้งก่อนจะฟื้นขึ้นมาข้าฝันน่ะเจ้าค่ะ ฝันว่ามีท่านเทพจากบนสวรรค์มาบอกว่า จะต้องลองตีท่านพี่ซานดูบ้าง เผื่อว่าเขาจะดีขึ้น เอ่อ หากท่านแม่ไม่ชอบใจ ข้าไม่ทำแล้วก็ได้เจ้าค่ะ"
หลี่จื่อเวยทำท่าทีน่าสงสารพลางยกถ้วยชาขึ้นดื่มแก้เก้อ ยามนี้นางหัวเดียวกระเทียมลีบต้องประจบเอาใจแม่สามีไว้ก่อน เพื่อให้อยู่รอดปลอดภัย
แต่ทว่าประโยคถัดมา ทำเอาหลี่จื่อเวยแทบจะสำลักน้ำชาที่กำลังยกขึ้นดื่ม
"ท่านเทพช่างมาช้านัก เหตุใดเพิ่งจะมาปรากฏตัวเอายามนี้ น่าจะมาตั้งนานแล้ว เจ้าจะได้ทุบตีเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ดีเลย แม่จะไปขอพรเทพเจ้าที่วัดบนเขาเพื่อให้ท่านมอบโชคให้ ส่วนเจ้าก็ทุบตีเขาต่อไปเถิด ทุบไปแรงๆ ไม่ต้องกลัวนะ หากเขาทุบตีเจ้าคืน เจ้าก็รีบมาบอกข้า ข้าจะช่วยเจ้าทุบเขาอีกแรงเอง"
หลี่จื่อเวย "..."
หลี่จื่อเวยฟื้นกลับมา ทุกคนดีใจไม่น้อยเลย ด้านท่านหมอจ้าวและจ้าวจิ้นเองก็ไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ คนฟื้นขึ้นมาแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี จ้าวจิ้นนำยาบำรุงมามอบให้หลี่จื่อเวยหลายอย่าง บอกนางว่าขอเพียงตั้งใจบำรุงอย่างเต็มที่ย่อมหายดีในไม่ช้า หลี่จื่อเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองบุตรชายฝาแฝดของตนที่ยามนี้กำลังนอนหลับอยู่มู่หรงซานกอดนางเอาไว้ ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากเขาอีกยี่สิบห้าปีต่อมา"นั่นแหละดี เจ้าเทระวังหน่อยสิ สุรานี้ซื้อมาแพงนัก!!!"เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากศาลาริมสระน้ำ มู่หรงซานที่กำลังเดินออกมาหลังจากตรวจตราบัญชีสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาปรายตามองไปยังศาลาริมน้ำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่งนับแต่วันนั้นหลี่จื่อเวยก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ร่างกายของนางอ่อนแอเกินไป แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ยามนี้บุตรชายสองคนเติบโตแล้ว อายุก็ยี่สิบต้นๆ นามว่า มู่หรงเสวียน และมู่หรงชางมู่หรงเสวียนนั้นนับว่าเอาการเอางาน ชอบอ่านตำรา สนใจการค้าขาย ถอดแบบหลี่จื่อเวยมาไม่มีผิดเพี้ยน ต่างจากมู่หรงชางที่วันๆ เอาแต่ดื่มสุรา เที่ยวหอนางโลม เล่นการพนัน ถอดแบบเขามาราวกับจับวาง เขาเตือนเท่าใดมันก็เถีย
สองปีผ่านไป"ฮูหยินน้อย ออกแรงอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อีกหน่อย""อื้อ"เสียงร้องดังออกมาจากห้องเป็นระยะ สร้างความไม่สบายใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก มู่หรงซานเดินวนเวียนไปมาหน้าห้องนอนอย่างไม่สบายใจ จนมู่หรงฮูหยินต้องเอ่ยปากเตือนขึ้นมา"ซานเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นหน่อยเถิด สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเดินวนไปเวียนมาข้าเวียนหัวหมดแล้ว""ท่านแม่ ข้าร้อนใจนี่ขอรับ นางเป็นเช่นไรบ้าง นี่ก็ข้ามวันข้ามคืนแล้วยังไม่คลอดอีก"เขาเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองเฉินหลิ่น จ้าวจิ้นและหวังเจี้ยนที่กำลังเดินเข้ามา จ้าวจิ้นเอ่ยถามมู่หรงซานทันที"จือจือเล่าเป็นเช่นไรบ้าง ข้านำโสมอย่างดีติดมือมาด้วย เอาไว้ให้นางบำรุงร่างกาย""ขอบใจจ้าวมากนะอาจิ้น""อืม"ด้านเฉินหลิ่นก็เดินเข้ามาหามู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกัน"ใจเย็นเถิด ยามที่ภรรยาข้าคลอดบุตรชายก็เป็นเช่นนี้"มู่หรงซานหันมาพยักหน้าให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง เฉินหลิ่นได้แต่งงานกับองค์หญิงจากในวังหลวง พวกเขาทั้งสองรักใคร่ทะนุถนอมกันเป็นอย่างดี อีกทั้งภรรยาของเฉินหลิ่นก็สนิทสนมกับหลี่จื่อเวยมาก เพราะสองจวนมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง เพราะพบเจอกันบ่อยครั้ง"ภรรย
หลายวันต่อมา หลี่จื่อเวยที่กำลังกลับมาจากภัตตาคารจื่อซานก็ได้พบกับคนบ้านรอง ท่านอาของมู่หรงซาน ก็คือมู่หรงหยางนั่นเอง มู่หรงหยางมาพร้อมกับอาสะใภ้รองอวี้ซิน และลูกชายลูกสะใภ้ สภาพของคนทั้งหมดดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลี่จื่อเวยปรายตามองพวกเขาคราหนึ่ง ในใจพลันนึกถึงเรื่องราวในปีนั้นได้ ยามที่เกิดสงครามใหม่ๆ บ้านรองมารีดไถเงินจากบ้านหลักไปมากมาย ทำเป็นเก่งกล้าสามารถ แต่ท้ายที่สุดกลับไปไม่รอดอย่างเช่นวันนี้มู่หรงฮูหยินเองไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเชิญคนเข้ามาในจวนเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามมรรยาทมู่หรงหยางเล่าว่าหลังจากเดินทางไปที่บ้านเก่าของอวี้ซิน ฟางม่านม่านลูกสะใภ้ของเขาก็แท้งบุตร นับแต่นั้นก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก บุตรชายก็ไม่เอาไหน ดื่มแต่สุราทั้งยังเที่ยวสตรีหอนางโลมไม่เว้นวัน สามีภรรยาทุบตีกันจนมู่หรงเฉินบุตรชายเขาแขนพิการ ฟางม่านม่านก็ขาหัก กลายเป็นคนพิการทั้งคู่ส่วนมู่หรงหยางและภรรยานั้นสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกญาติพี่น้องฝั่งภรรยาคดโกงทรัพย์สินไปจนหมด จึงอดอยากจะมาหยิบยืมเงินจากคนบ้านหลัก เพราะรู้ว่ายามนี้คนบ้านหลักร่ำรวยมีเงินมากมายมู่หรงฮูหยินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับน้องชา
หลายวันต่อมามู่หรงซานและหลี่จื่อเวยก็เดินทางมาที่เมืองหลวงพร้อมกัน ระยะทางจากหมู่บ้านหลิงซีมาที่เมืองหลวงนั้นไม่ได้ไกลกันเท่าใดนัก ระยะเวลาการเดินทางจึงไม่ได้ล่าช้าอย่างที่คิด สองสามีภรรยามาถึงเมืองหลวงในช่วงสายๆ เมื่อหาโรงเตี๊ยมสำหรับนอนพักหนึ่งคืนเรียบร้อยแล้ว มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยจึงรีบไปดูจวนแห่งนั้นทันทีการเดินทางครั้งนี้มีลุงกู้ติดตามมาด้วย ลุงกู้พาเจ้านายไปดูที่ดินและจวนนั้นในทันที เมื่อหลี่จื่อเวยได้เห็นก็รู้สึกชอบมากเหลือเกิน จวนหลังนี้ขนาดพอดี ที่ดินก็เป็นทำเลเหมาะเจาะ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำด้วยเจ้าของที่ดินเก่าร้อนเงินและต้องการเดินทางไปอยู่กับลูกชายที่ต่างเมือง จึงตัดใจขายจวนหลังนี้ในราคาสองพันตำลึงราคาอาจจะสูงไปสักเล็กน้อย แต่หลี่จื่อเวยจำคำของเจ้าห่านตัวผู้นั้นได้ดี มันบอกว่าให้นางตัดใจซื้อเสียอย่าได้ลังเล เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่่จื่อเวยจึงตกลงซื้อในทันที ใช้เวลาครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยดี เจ้าของเดินรับเงินไปอย่างยินดีปรีดามู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็หันมาเอ่ยถามภรรยาตนทันที"ราคาไม่ได้น้อยเลย เจ้าตัดใจซื้อได้ลงจริงๆ หรือ""ดีกว่าเอาให้ท่านไปเล่นพนันก็แล้วกัน
เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส พืชผักที่ปลูกไว้ถูกเก็บเกี่ยวและนำไปขายจนหมดแล้ว ลุงกู้เองก็กลับมาพร้อมกับบอกว่าเขาขายผักได้หมด อีกทั้งยังขายได้ในราคาที่ดีมากอีกด้วย ตอนนี้เมืองหลวงคึกคักไม่น้อยเลย อีกทั้งยังได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีคนต้องการจะขายที่ดิน ซึ่งอยู่ติดกับตลาดพอดี หลี่จื่อเวยจึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปดูที่ทางเสียหน่อยการตายของหลี่อินและจุดจบของสามแม่ลูกไม่ได้ส่งผลใดต่อคนตระกูลมู่หรงเลยแม้แต่น้อย บิดาของนางเองก็เสียใจอยู่เพียงไม่กี่วันก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดอีก หลี่จื่อเวยกำลังล้างผักอยู่ในครัว วันนี้นางตั้งใจว่าจะทำข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัวเสียหน่อย เมื่อจัดการเตรียมทุกอย่างพร้อมจึงได้เริ่มทำอาหาร ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หลี่จื่อเวยจึงนำอาหารมาให้ห่านสองตัวนั้นต่อทันทีเมื่อเข้ามาก็พบว่าเจ้าห่านสองตัวกำลังกอดก่ายกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว หลี่จื่อเวยวางอาหารลงตรงหน้ามันก็กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อกินอิ่มแล้ว หลี่จื่อเวยจึงเอ่ยถามทันที"นี่เจ้าห่านตัวผู้ อีกไม่นานข้าคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว หากข้าอยากเปิดร้านอาหาร แล้วต้องการใช้บ่อน้ำวิเศษ แต่ไม่สามารถนำม
เมื่อสามแม่ลูกมหาประลัยย้ายออกจากบ้านสวนไปแล้ว ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่น้อย ด้านบิดาของหลี่จื่อเวยก็รู้สึกผิดไม่น้อย หลี่จื่อเวยเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เรื่องที่แล้วก็ให้แล้วไปเถิด นางไม่่ได้ติดใจอยากจะเอาความใดมากไปกว่านี้เช้าวันต่อมาหลังจากกินมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยและมู่หรงซานก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับห่านสองตัวนั้นให้แม่สามีได้ฟัง เพราะตอนนี้สามแม่ลูกนั่นออกจากบ้านสวนไปแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดน่าเป็นกังวลอีกแล้ว มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นเดิมทีก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เห็นตั๋วเงินมากมายที่เก็บเอาไว้ในห้องนอนของบุตรชายและสะใภ้ นางก็ถึงกับอ้าปากตาค้างเงินนี่มันมากมายเหลือเกินนางไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดหลี่จื่อเวยจึงคิดมาบอกนางเอาป่านนี้ นางเองเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมันหลี่จื่อเวยจับมือของมู่หรงฮูหยิน ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องขออภัยท่านแม่ที่ไม่ได้บอกกล่าวให้เร็วกว่านี้ เพราะข้าไม่ไว้ใจสามแม่ลูกนั้น ยามนี้พวกนางจากไปแล้ว ข้าจึงวางใจอยากบอกท่าน ท่านแม่เจ้าคะ ยามนี้เมืองหลวงเองก็เจริญมากแล้ว พวกเราไปหาที่ทางทำกินในเมืองหลวงกันดีห