ฉินหลิวซีแง้มประตูยื่นหน้าออกไป ห้องนอนของนางอยู่ไม่ห่างจากห้องใช้งานส่วนอื่น ๆ ของบ้านเท่าไรนัก จึงได้ยินเสียงป้ากับมารดาพูดคุยกันชัดเจน
“ผ้า เป็นหน้าที่ของเจ้าต้องซัก ทำไมจึงไม่ยอมเอาเสื้อผ้าของข้าไปซัก!” “แต่พี่หญิงไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาให้ข้านี่เจ้าคะ” “ไม่ได้เอามาก็ไม่รู้จักถามอย่างนั้นหรือ เป็นหน้าที่ของเจ้าแท้ ๆ” ชิวย่าหนานถูกตะคอกใส่ก็ยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสู้ ที่ตรงนั้นยังมีท่านย่าของนางอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย อยู่ต่อหน้าแม่สามีชิวย่าหนานยิ่งไม่กล้ามีปากมีเสียง เพราะรู้ว่าแม่สามีไม่ชอบตนเป็นทุนเดิม “ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ นางไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง” ป้าสะใภ้เดินเข้าไปเอาอกเอาใจท่านย่าเขา บีบนวดไปพลาง ฟ้องเรื่องมารดาของนางไปด้วย ประจบประแจงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ขั้นเซียนเลยนะนั่น “ท่านแม่ คนแบบนี้เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก หน้าที่ตัวเองไม่ยอมทำ ต้องให้คอยสั่งอยู่ตลอดทั้ง ๆ ที่ทำมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหารสำหรับพวกนางหรอก เจ้าค่ะ” “เดี๋ยวสิเจ้าคะ” ชิวย่าหนานได้ยินก็ตกใจมาก อาหารแต่ละวันก็แทบไม่พออิ่มอยู่แล้ว ถ้าต้องมาถูกงดข้าวอีกละก็แย่แน่ ฉินหลิวซีแอบฟังก็ได้แต่ขมวดคิ้ว การให้ครอบครัวหนึ่งกินแต่แป้งทั้งบ้านมันปกติที่ตรงไหน ครอบครัวใหญ่นี้ฐานะไม่ดีนางเข้าใจ แต่ในขณะที่คนอื่นมีเนื้อมีไข่มีไก่ให้กิน บ้านนางกลับได้กินแต่แผ่นแป้ง ไม่มีใครรู้สึกประหลาดบ้างเลยหรือ หรือเพราะท่านย่าเลี้ยงดูลูกมาเช่นนี้ ชุดความคิดอันตรายนี้จนดูเหมือนปกติภายในบ้าน “ท่านแม่เจ้าขา ดูสิเจ้าคะ คนอื่นทำงานหนักเหมือนกัน ทำไมพวกนางจึงได้ไม่ยอมทำงานส่วนของตัวเอง มีแต่น้องชายสามีที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง” จางอี้เชียนคะยั้นคะยอต่อเมื่อเห็นว่าแม่สามีไม่ยอมรับปากจะให้พวกนางอดข้าว เมื่อป้าสะใภ้เน้นย้ำเช่นนั้นท่านย่าของนางจึงเริ่มรู้สึกเห็นด้วยคล้อยตาม บวกกับความอยากเอาใจสะใภ้ใหญ่ที่ฐานะดีกว่า นางจึงยอมรับปากอย่างไม่คิดอะไร “นั่นสินะ เอาแบบนั้นก็แล้วกัน” ตัดสินใจเองเสร็จสรรพก็เดินจากไปไม่เหลียวหลัง ทิ้งชิวย่าหนานนั่งเคว้งคว้างอยู่คนเดียว ไม่นานบิดาของนางก็กลับมาจากการทำนา ฉินก่วงเป็นบุตรชายคนรองของบ้าน เอาการเอางาน ซื่อตรง และรักครอบครัว แต่ไม่เป็นที่รักของมารดา มีแต่บิดาคอยช่วยเหลือ เป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนว่า ท่านย่าไม่ชอบครอบครัวของนาง “ย่าหนาน เจ้ามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว” ชิวย่าหนานเงยหน้ามองสามี ทั้งรู้สึกผิดทั้งรู้สึกน้อยใจ แต่ไม่รู้จะบอกสามีได้อย่างไร เพราะเขาก็มีปากมีเสียงกับผู้เป็นแม่ไม่ได้เช่นกัน ถึงจะแข็งข้อไปก็ถูกทำให้ยอมในภายหลัง ชิวย่าหนานรู้ตัวว่าเป็นคนหัวอ่อนไม่สู้คน แต่จนป่านนี้แล้วนางจะไปเอาความกล้ามาจากไหน ลูกของนางกำลังเติบใหญ่ นางไม่อยากให้แม่สามีเอาความที่ไม่ชอบหน้านางไปลงที่ลูก อย่างน้อยให้พวกเขามีที่ซุกหัวนอนก็ยังดี “ไม่มีอะไรเจ้าคะท่านพี่ แค่ว่าวันนี้ท่านอาจจะต้องกินมื้อเย็นคนเดียว” “ทำไมเล่า” เขานั่งลงข้างภรรยาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เห็นท่าทีอึดอัดของนางและไม่ยอมตอบก็เดาได้ว่าคงเป็นคำสั่งมารดาของตนอีกเช่นเคย “เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ข้าไม่อยู่สินะ” “เจ้าค่ะ แต่ว่าท่านพี่อย่าได้พูดอะไรเลย ทุกวันนี้ พี่หญิงก็ไม่ชอบหน้าข้ามากพออยู่แล้ว หากไม่ชอบหน้าท่านเข้าไปด้วยอีกเพราะออกปากช่วยข้า ครอบครัวเราจะยิ่งลำบาก” ฉินก่วงขมวดคิ้วมุ่นรู้สึกไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นอย่างมาก ทว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลือกได้ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบา ๆ บีบมือภรรยาอย่างให้กำลังใจ เย็นวันนั้นสามแม่ลูกไม่ได้กินอาหาร ฉินก่วงเห็นภรรยากับลูกถูกสั่งอดข้าวก็รู้สึกสงสาร ตั้งใจว่าหลังกินเสร็จจะออกไปล่าสัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้พวกนางพอประทัง แต่ก็ถูกขัดเอาไว้ด้วยคำพูดของผู้เป็นแม่“นั่นเจ้าจะไปไหน เย็นป่านนี้แล้วยังจะออกไปอีกหรือ รีบนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องออกไปที่นาแต่เช้า อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
ได้ยินประโยคสุดท้ายนั่นพ่อนางก็ชะงักไป ฉินหลิวซีที่คอยจับสังเกตรอบด้านอยู่เสมอขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางของบิดา นางพอเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นึกความเป็นไปได้ออกว่า ทำไมบิดาถึงไม่ยอมตอบโต้หรือสู้เพื่อครอบครัว หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จแล้วแม่ของนางก็ยังต้องมาล้างจานชามที่เหลือ ระหว่างนั้นบิดาก็มาเล่นกับลูก ๆ “ท่านพ่อเจ้าคะ” เด็กหญิงยิ้มหวานเข้าไปหา บิดาไม่เห็นลูกเรียกหามานานก็ยิ้มดีใจ “ทำไมข้าถึงไม่ได้กินข้าวล่ะ” คำถามของนางเหมือนลิ่มเหล็กตอกเข้ากลางใจ ฉินก่วงรู้สึกสะอึกขึ้นมา “เพราะว่า...เอ่อ เพราะว่า...” ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เพราะตัวท่านเองก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข