สองพยัคฆ์หนึ่งเสือสาว อวิ๋นมู่หลันเข้าไปในประตูลับ ๆ ที่ซ่อนอยู่หลังแนวกำแพงเมือง นางรู้เส้นทางนี้ได้อย่างไร คงเริ่มจากพี่ชายนาง ซึ่งทราบมันจากฮูหยินเขา ด้วยครอบครัวฝ่ายนั้นทำการค้าขายมานานกับชาวภูเขาและคนเถื่อน บางครั้งใช้เส้นทางนี้ในการขนของยามค่ำคืนหรือช่วงเกิดภัยสงคราม นอกจากนั้นอวิ๋นมู่หลันยังได้แผนที่มาด้วย นางเป็นคนชอบศึกษาและอ่านหลายอย่างจนแตกฉาน อีกทั้งการวาดรูปเป็นเรื่องที่นางชอบอย่างที่สุด ฉะนั้นแผนที่ต่าง ๆ แม้ได้เห็นเพียงครั้งเดียวก็จดจำได้ รถม้าลากของนำหน้าไปก่อนแล้ว ยังมีกลุ่มคนงานอีกห้าหกคนที่รั้งท้ายอยู่ อวิ๋นมู่หลันมีลางสังหรณ์แปลก ๆ นางหันซ้ายแลขวา ซึ่งก่อนเข้ามาในอุโมงค์นางใช้ความรั้นของตัวเองดึงดันจะส่งของไปให้ผู้ยากไร้ และบอกกับแม่นมว่า “หากช้าไปหนึ่งวันชีวิตคนอาจล้มตาย พวกเขาหิว ดังนั้นควรได้รับอาหาร” แน่นอนไม่ใช่อวิ๋นมู่หลันคนเดียวที่มีจิตใจเมตตา ชาวเมืองซ่งต่างลักลอบคอยช่วยเหลือคนนอกกำแพงเมืองมากมาย ใช้วิธีโยนของข้ามกำแพง หรือส่งไปกับรถขนของเหล่าพ่อค้าเร่ ถึงแม่นมไม่เห็นด้วยอย่างไร หากเป็นคำสั่งคุณหนูใช่จะเพิกเฉยได
“แต่น้ำที่ถูกปล่อยเข้ามาในอุโมงค์ ย่อมมีแรงมหาศาล ไฉนเราจะไม่ถูกพัดไปตามสายน้ำ มันอันตรายเกินไปคุณหนู อย่างน้อยพวกบ่าวก็ไม่ขออยู่ตรงนี้เด็ดขาด!” สาวใช้อีกคนเอ่ยและสีหน้านางทั้งซีด แววตาตื่นกลัว “พวกเจ้าจะทำเช่นไร” อวิ๋นมู่หลันเอ่ยอีกหน และสาวใช้ต่างลนลานอย่างหนัก จากนั้นก็ออกไปวิ่งไปตามทางที่รถม้ามุ่งหน้าไปก่อนหน้าโดยไม่ยอมเชื่อฟัง อวิ๋นมู่หลันไม่ได้ห้าม นางพยักหน้าบอกให้แม่นมก้าวมาหลบอีกฝั่ง กระทั่งใช้ความคิดอย่างเงียบ ๆ เพื่อนึกถึงภาพในหัวครั้งที่อ่านแผนที่ นางสัมผัสมือไปตามผนังช้า ๆ จนพบจุดหนึ่งที่แตกต่างจากพื้นที่อื่น พอลองเคาะ นางได้ยินเสียงก้องกังวานคล้ายเป็นแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ นางจึงออกแรงผลัก หากแต่ไม่เป็นผล “คุณหนู ตัดสินใจทำสักอย่างเถิดเจ้าค่ะ” แม่นมเร่งเร้า ขณะนั้นมวลน้ำเคลื่อนตัวมาแล้ว อีกไม่เกินช่วง เวลาชาพองตัว นางและแม่นมคงได้ลอยหายไปกับสายน้ำแน่ ๆ ดวงตากลมโตยังพินิจแผ่นหินที่มีเสียงดังก้อง ซึ่งนางเชื่อว่าเป็นประตูอย่างแน่นอน จวบจนเอื้อมมือไปสัมผัสรูปแกะสลักหินเป็นภาพนางฟ้าร่ายรำ เมื่อจับฝ่ามือรูปแกะสลักก็พบส
ชาตินี้ไม่มีสิ่งใดติดค้าง! ร่างของบุรุษผู้นั้นสร้างความฉงนให้อวิ๋นมู่หลัน และด้วยเป็นแม่นางน้อยอายุเพียงสิบสี่ปี แม่นมจึงกันตัวนางถอยห่างพร้อมดุเสียงเข้มสักหน่อย “คุณหนูถอยไป ให้ข้าดูเขาเอง ไม่แน่ใจว่าเป็นโจรหรือไม่” อวิ๋นมู่หลันไม่เห็นหน้าชายคนดังกล่าว เขาปกปิดตนเองด้วยหน้า กากซึ่งทำขึ้นจากเปลือกไม้ “ถึงอย่างไร คุณหนูควรถอยให้ห่างเขาที่ดี่สุด” “แต่เขาได้รับบาดเจ็บ เหตุใดเราถึงไม่คิดช่วยเล่า” แม่นมส่ายหน้าช้า ๆ และกล่าวถึงความจริงอย่างชัดแจ้ง “การแต่งตัวนี้ และกลิ่นน้ำมันดอกหญ้า (ลาเวนเดอร์) ทั้งถักผมเปียห้อยลูกปัดสี อย่างไรคงเป็นชาวหนานหยาง!” เมื่อได้ยินอย่างนั้นนางจึงสนใจชายคนนี้เป็นอย่างมาก เขาสูงที เดียว และแม้จะเห็นเพียงดวงตาสีน้ำตาลเข้ม แต่ทำให้คาดเดาได้ว่าเป็นคนที่อ่อนโยน เช่นนี้การถูกทำร้ายน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด ขณะนั้นก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวในอกเสื้อเขา ก่อนที่ทั้งอวิ๋นมู่หลันกับแม่นมต้องอ้าปากค้าง สิ่งมีชีวิตนั้นคือ แมลงสีทอง! ที่กางปีกสยายกว้าง ก่อนจ
สองกายหนึ่งใจ ยามนั้นกวนเฉินหลางอยู่ในอ่างอาบน้ำไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งได้หลิวอู้หลิวตง กับทหารอีกสองคนช่วยดูแล แน่นอนเขาไม่อยากให้ลูกน้องมารับใช้ใกล้ชิด ทั้งพยายามลุกจากเตียงด้วยตนเอง หากแต่พอก้าวขาก็พลาดในตอนแรกด้วยทรงตัวยังไม่ดี เขาเกือบล้มและทำให้อวิ๋นมู่หลันดุเสียงเข้ม ทั้งยังวางสีหน้าราวกับนางเสือ เห็นเช่นนั้นคนตัวโตย่อมต้องยอมให้ผู้อื่นช่วยเหลือ หาไม่แล้ว อวิ๋นมู่หลันคงไม่ยอมตามใจเขา เหนืออื่นใด หลังจากพิษถูกขจัดออกจากร่างกาย นางก็สรรหาเรื่องต่อว่าเขาให้คันที่หัวใจ และเขาชอบฟังเสียงนางเหลือเกิน รื่นหู มันสูง ๆ ต่ำ ๆ สตรีคนนี้โชคร้ายถูกทำให้เป็นใบ้ทั้งที่นางมีรูปโฉมงดงามและน้ำเสียงไพเราะ เขามองนาง และหัวใจไหวโอนต่อเรือนกายเย้ายวน “อาหลัน เป็นนางสิงห์จอมเผด็จการ” แม่ทัพหนุ่มปั้นสีหน้ายิ้มแย้มทั้งที่ริมฝีปากเขาซีด เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผาก เขาเพิ่งฟื้นไข้แต่ยังทำอวดดีอวดเก่งด้วยการตอแยนาง “หากข้าใจอ่อนและไม่ใช้ไม้แข็งกับท่าน สตรีตัวเล็กเท่านี้ไยจะควบคุมปีศาจกินคนได้” “หึ ๆ ๆ ได้เป็นปีศาจตัวจริงเสียที ครั้งนี้นับว่าคุ้มค
เรียวลิ้นเขาอุ่นซ่านสยิวทรวง และนางเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เขาส่งความเร่าร้อนเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง จูบเขานำทางสู่โลกที่อวิ๋นมู่หลันอยากไปให้ถึง มันสวยงาม มากด้วยไฟราคะระหว่างชายหญิง! อวิ๋นมู่หลันปรารถนาความรู้สึกลึกซึ้งจากกวนเฉินหลาง เรื่องนี้นางไม่อาจปฏิเสธได้ หัวใจนางไหวระส่ำ ในจุดที่อุ่นชื้นก็มีความหวานล้ำแทรกซึมอยู่จนนางต้องบีบสองขาแนบชิด กลัวเหลือเกินว่าเขาจะจับได้ว่านาง... เป็นสตรีที่ละโมบในเรื่องลึกซึ้งทางร่างกาย ทั้งคู่ตวัดลิ้นเย้าหยอกดูดสลับการรับรุกแลกเปลี่ยนความสิเน่หาถึงกันอย่างใจปรารถนา มือเรียวบีบเนื้อตัวเขาและส่งเสียงอู้อี้ไม่หยุด เมื่อสองขาคล้ายลอยเหนือพื้นนางก็เผลอร้องตกใจ กระทั่งได้ยินเสียงน้ำในอ่างไม้แตกกระจายจึงรู้ว่ากวนเฉินหลางกำลังจะเดินหน้าทำสิ่งใด อวิ๋นมู่หลันปล่อยใจเป็นอิสระ นางไม่ตื่นตระหนก ไร้ความกลัวต่อกวนเฉินหลาง ในทางกลับกัน นางอยากแนบเนื้อผสานใจกับบุรุษผู้นี้ หลังจากอยู่ในอ่างไม้กับเขา สิ่งที่นางเขินอายในเวลาต่อมาก็คือเสื้อผ้าถูกกวนเฉินหลางปลุกปล้ำถอดมันออก ดูเหมือนเขาชำนาญเรื่องนี้ยิ่งกว
น้องสาวบุญธรรม “พร้อมให้ข้าส่งความเข้มข้นหรือไม่... ปากสวาทของเจ้าร้อนฉ่าแล้ว ทั้งยังรัดข้าจนแทบขาดใจตาย อาหลัน... ช่างเป็นสตรีเจ้าเล่ห์” อวิ๋นมู่หลันเสียวซ่านจับใจ เมื่อเขาเอ่ยถ้อยคำแสนจั๊กจี้ ก็ชวนให้สะเทิ้นอาย นางจึงปล่อยมือเขา หยุดดูดเลียนิ้วยาวใหญ่ “ขืนยังพูดอีก ขะ… ข้าจะหยุดการรักษาท่านเดี๋ยวนี้ คนลามก!” ทั้งที่อวิ๋นมู่หลันเอ่ยไปอย่างนั้น แต่นางกลับเล่นสนุกตามกวนเฉินหลางประหนึ่งตนเป็นหมอหญิงจริง ๆ สะโพกนางขยับขึ้นลง ความใหญ่ที่ซึ่งเต้นตุบ ๆ ในร่างกายเหมือนจะขยายตัวใหญ่กว่าเดิม มันแข็งแรงเปี่ยมด้วยพลังแห่งชีวิต “อ๊ะ... ท่านยิ้มด้วยเหตุใด” รอยยิ้มเขากรุ้มกริ่ม ดวงตาทอแสงละมุน จนหัวใจนางคล้ายถูกหลอมละลาย “เมื่อมีความสุข ข้าย่อมต้องแสดงออก...” “ฮึ ดูเหมือนแม่ทัพกวนจะยิ้มได้ก็ต่อเมื่อได้รังแกข้าจนสมใจ” “อาหลัน ข้าหาได้รังแกเจ้า แต่เป็นเจ้าที่กำลังรักษาคนไข้ต่าง หาก... ยอดหมอหญิงของข้า” เขาว่าจบจึงขยับร่างกายเบื้องล่างยามนั้นสิ่งที่เคลื่อนไหวในร่างกายสาวถลำลึกจนนางเผลอครางเสียงกร
กวนเฉินหลางหัวเราะและมองคนงามของเขา นางพิเศษเสียจริง ไม่เหมือนใครจนเขาอดชื่นชมไม่ได้ “กุนซือโจว อยากพบข้าจริง ๆ ท่านจะไม่อนุญาตหรือ” “หากเขามีเหตุผลเพียงพอ ข้าถึงจะให้บัณฑิตอ่อนแอได้ยลโฉมหญิงอัปลักษณ์ของอาหลันสักเล็กน้อย” “แม่ทัพกวน!” “เสียงดังเช่นนี้ หรือว่าอาหลัน... อยากให้ข้าเอาใจเจ้าหนัก ๆ อย่างเช่นในอ่างอาบน้ำอีก!” อวิ๋นมู่หลันหน้าแดงระเรื่อ ถึงเขายังบาดเจ็บอยู่ แต่นางจะไม่ยั้งมือแล้วจึงตบตีทั้งกัดใบหูเขาอย่างหมั่นไส้ “อาหลัน ๆ ๆ เจ้าอย่าเอานิสัยเสี่ยวเฮยมาใช้!” เขาส่งเสียงดุไม่จริงจังและหัวเราะเสียงห้าวใหญ่ ฟังดูก็รู้ว่าขบขันที่นางล้อเล่นกับเขาแรง ๆ “ฮึ เป็นท่านที่สอนให้ข้าทำเช่นนี้!” นางเอ่ยจบจึงหยิกเนื้อตัวเขาจนพอใจ กระทั่งเผลอหัวเราะเสียงคิกคักและเขาพลอยมีความสุขไปด้วย จากนั้นด้านนอกก็มีเสียงตงหลิวแจ้งว่าโจวจื่อเว่ยมาขอพบกวนเฉินหลางกับอวิ๋นมู่หลัน “ฮึ ดูเหมือนกุนซือโจวอยากให้ข้าเฉือนซี่โครงของเขาออกแล้วมาโรยเกลือย่างกินกับนารีแดง!” อวิ๋นมู่หล
นางมองไปยังหลิวตง อีกฝ่ายเองมีสีหน้าไม่สู้ดี ปกติไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้นัก แต่พอได้ยินว่าอาหารชั้นเลวกำลังจะถูกนำไปให้เชลยศึกชาวหนานหยางนางจึงรู้สึกว่าหัวใจหดเกร็ง “พวกมันทำให้พี่น้องอยู่อย่างลำบาก รองแม่ทัพเหนี่ยวถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง และข้าได้ยินว่ามันคือองค์ชายไร้แผ่นดิน สมควรแล้วที่จะได้กิน หิน ทราย ที่ปนอยู่ในโจ๊ก ถึงไม่ใช่ยาพิษ แต่มันคงปวดท้องจนตาย และถ่ายออกมาเป็นเลือด ห้า ๆ ๆ” ลูกมือคนหนึ่งเอ่ย พลางเติมหลายสิ่งที่สกปรกลงไป กระนั้นมีคนไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง ทว่าไม่กล้าขัดใจนาง เพราะสตรีผู้นี้มีพ่อครัวหนุนหลัง อวิ๋นมู่หลันสูดลมหายใจลึก นางจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้หรือ ในเมื่อคนซึ่งถูกกล่าวถึงคือเมิ่งถู และถึงจะเป็นคนอื่นนางก็ให้กินของที่เป็นอันตรายเช่นนี้ไม่ได้! “แม่นางหลัน มิใช่หน้าที่ของท่าน” เนื่องจากกวนเฉินหลางต้อง การปกปิดฐานะที่แท้จริงของหญิงสาว เขาจึงให้ลูกน้องเรียกนางว่าแม่นางหลัน อวิ๋นมู่หลันถลึงตาใส่อีกฝ่าย เมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าอาหารสำหรับนักโทษแย่ยิ่งกว่าของเสียที่เททิ้งเช่นนี้ นอกจากนั้นงานครัวที่นี่ยังไม
หยวนจื่อบอกให้คนของตนเตรียมส่งคนเข้ามาตรวจร่างกายของเถียนลู่ฟาง นี่คือสิ่งที่จะเชื่อมโยงกับหลักฐานที่นางให้คนไปจัดฉากไว้ ทั้งเสื้อผ้าบุรุษ และพยานบุคคลที่บอกว่าเห็นผู้ชายออกจากห้องหอเรือนของหนันเฉินเทียน ทั้งที่อีกฝ่ายพักในเรือนหลักไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเถียนลู่ฟางเนื่องจากการแต่งครั้งนี้เป็นเพียงการแก้เคล็ด “การแต่งงานของเจ้ากับเทียนเอ๋อร์ ล้วนเป็นพิธีซึ่งทำเพื่อเสริมดวงให้เขา และสิ่งสำคัญที่ข้าอยากรู้ เจ้ายังเป็นสตรีที่บริสุทธิ์หรือไม่” หยวนจื่อโพล่งขึ้น “แล้ว หนันฮูหยินต้องการทำเช่นไรกัน ข้าแต่งเข้าบ้านท่านแล้ว ใยต้องทนให้ผู้อื่นเหยียดหยาม” เถียนลู่ฟางส่งเสียงดัง และนางไม่พอใจเป็นอย่างมากให้ยามนี้ “เพียงแต่ตรวจร่างกาย หากยังไม่พบร่องรอยถูกข่มเหง ข้าก็ยินดีให้เจ้าอยู่ในเรือนต่อไป” หยวนจื่อกล่าว “ฮึ อย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินผู้หนึ่งของสกุลหนัน และได้เข้าหอแล้ว เรื่องนี้ให้คนเป็นสามีตรวจสอบจะไม่ดีกว่าหรือ” หยวนจื่อหัวเราะเสียงดังทีเดียว และเอ่ยอย่างหยามหมิ่นเถียนลู่ฟาง “เจ้ายังมีสติดีหรือไม่ แน่นอนเจ้าเข้าหอกับเทียนเอ๋อร์ แต่นั่นเป็นเพ
เถียนลู่ฟางทั้งโมโห ทั้งฉุนเฉียว แต่แรกนางมั่นใจว่าคงเข้ามาที่หอบรรพชนเพียงสองสามชั่วยาม แต่ตอนนี้เกือบสามวันแล้วที่ถูกกักบริเวณ แต่หากกล่าวให้ถูกต้อง นางถูกขังเสียมากกว่า กระนั้นหนันฮูหยินยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ด้วยมีข้าวสวยกับน่องไก่ส่งมาให้ทางช่องเล็กๆ เพียงวันละหนึ่งครั้ง ภายในหอบรรพชนนี้อากาศเย็น ไม่ร้อน ทว่าบรรยากาศชวนให้นางหวาดกลัวมิน้อย ตกกลางคืนมีเสียงสุนัข และเงาแมวดำวิ่งไปมา แม้ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เถียนลู่ฟาง ทั้งเครียด และยากควบคุมตนไม่ให้คิดมากไม่ได้ เมื่ออยากออกไปข้างนอก เสียงของคนที่ยืนเฝ้าประตูก็ตอบว่า หากไม่มีคำสั่งหยวนจื่อ ให้ไฟไหม้หอบรรพชน เถียนลู่ฟางก็มิอาจก้าวออกไป “มารดาคนสกุลหนันเถิด... ข้าเป็นถึงฮูหยินห้า ไป ไปเชิญสามีข้า มารับกลับเรือนเดี๋ยวนี้” เถียนลู่ฟางร้องโวยวายอย่างคนขาดสติอยู่นานทีเดียว กระทั่งมีกลิ่นธูปหอมจัดลอยเข้าจมูก นางเลยผ่อนคลายลงก่อนจะค่อยๆ หมดสติไป กระทั่งนางรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ทั้งยังวิงเวียนศีรษะมาก ไป๋รั่วรั่วจึงเข้ามาด้านใน พร้อมกาน้ำชา “ฮูหยินห้า...” อีกฝ่ายเรียกนาง แล
หญิงสาวขยับร่างกายบนฟูกหนาหนุ่ม และยามนี้ละอายใจยิ่งนัก เนื้อตัวก็ปวดเมื่อยไปหมด พออยากขยับร่างกาย ก็รู้สึกว่าร้าวไปทั้งร่าง นางตกเป็นของหนันจิ้งโหย่ว...แน่นอน เขาไม่ใช่สามีที่นางแต่งเข้าสกุลหนัน “ท่านย่ำยีข้า หญิงสาวไม่ได้โวยวาย แต่เอ่ยอย่างเจ็บปวด” หนันจิ้งโหย่วมองนาง มองแล้วอมยิ้ม ไม่ได้ยั่วล้อ แต่มองอย่างชัดเจนว่าพึงใจที่ตนได้ร่วมรักกันอย่างสุดเหวี่ยงกับสตรีผู้นี้ “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าเป็นภรรยาข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนเสี่ยวเทียน ให้เขาเป็นน้องสามีจึงจะถูกต้องที่สุด มิอย่างนั้น เจ้าคงเป็นสตรีประหลาด ที่อยากให้เด็กน้อย ใช้มือ และลิ้นเล็กๆกับกลีบบุปผาหวานฉ่ำนั่น” ชายหนุ่มกล่าวจบประโยค นางก็ตบใบหน้าเขาไปเต็มแรง “สตรีแซ่เถียน บอกรักผู้อื่นเช่นนี้หรือ” “ทะ ท่านทำให้ข้าอับอาย จากนี้ ข้าจะสู้หน้าผู้อื่นได้อย่างไร” “หมายความถึง!” “ข้าเป็นสะใภ้เล็กคุณชายห้า หากทำเรื่องผิดศีลธรรม มิแคล้วต้องถูกลงโทษสถานหนักหรอกหรือ” “เสี่ยงฟาง หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูดแล้วใครจะรู้ว่า เราเป็นผัวเมียกัน” หญิงสาวเหลืออดแล้
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สุดวิสัย หาไม่แล้วก็เพราะโชคชะตาลิขิตไว้เช่นนั้นเอ ว่าแต่ หนันจิ้งโหย่วผู้นี้ เหตุใด ยิ่งมองหน้าเขา นางก็คุ้นเคยอย่างประหลาดเขาเป็นชายชั่วช้าจริงๆ หรือว่า เป็นนางที่ติดค้างบางอย่างต่อเขา จนเขามาไล่คิดดอกเบี้ยราคาสูงลิบกับนาง กล่าวถึงฝ่ายสกุลหนัน มีอิทธิพลทางด้านการค้าและยังเป็นสกุลขุนนางบู๊อีกด้วยและเป็นใต้เท้าหนันผู้ล่วงลับหาใช่คนที่ใครจะกล้าต่อกรด้วย เขาไม่ขาว และก็ไม่เป็นสีเทา กระนั้นกล่าวได้ว่า มือเขาเปื้อนเลือดไม่น้อยและยังมีลูกชายที่ไม่ได้เรื่องกับอดีตฮูหยินที่ล่วงลับผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นก็คือหนันจิ้งโหย่ว แต่เดิมหลังจากมารดาเสียชีวิต เขาก็ออกท่องยุทธภพ รับใช้ทางการบ้างเป็นครั้งคราว โดยตำแหน่งของเขาสูงถึงเป็นแมวหลวงฮ่องเต้ คอยทำงานสืบสวนลับๆ เกี่ยวกับคนในราชวงศ์ รวมถึงขุนนางกังฉิน และสืบข่าวต่างแคว้น ป้องกันการก่อกบฏ สุดท้ายเขาหายสาบสูญไป ซึ่งเชื่อกันว่า เขาถูกคนฝ่ายกฎบลอบสังหาร เนื่องจากสืบข่าวลับๆ หลายอย่างที่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อคนกลุ่มดังกล่าว และการหายตัวไปของเขา ได้เข้าทางหนันฮูหยิน นางใช้เรื่องนี้ฮุบสมบัติทั้งหมดให
บาปกรรม บาปกรรม... ลงมาจากเขา เดินทางไกลหลายร้อยลี้เพื่อหวังได้เงินสามร้อยตำลึงเปิดเหลาไว้ให้ชาวยุทธ์มาลิ้มรสชาติอาหาร โดยการเข้าไปเป็น สะใภ้สกุลหนันสักสามสี่เดือน จากนั้นนางก็จะใช้เล่ห์กลรีดไถเงินเพิ่มอีกสักหน่อย ก่อนหายสาบสูญไปจากสกุลหนันที่เป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทั้งยังงมงาย เรื่องไสยศาสตร์ มีความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายโชคชะตา จนเป็นเหตุให้เกิดงานแต่งของเด็กชายวัยแปดขวบ กับเจ้าสาวสุดสวยสกุลเถียน หากไม่ใช่เถียนหลิงหลิงโฉมงามแสนบอบบาง หากเป็นเถียนลู่ฟาง ผู้ที่เก่งกล้า แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเถียนลู่ฟาง ต้องอับอายอย่างหนัก จนอยากเอาหัวโม่งพื้นดินตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นางหลงกลผู้ชายที่หลงเหลือเพียงป้ายวิญญาณ อีกทั้งถูกเขาข่มขู่ ให้ทำเรื่องชั่วร้าย สิ่งนั้นก็คือ เล่นบทบาทคบชู้กับวิญญาณจอมปลอม พร้อมกับเปิดโปงความชั่วร้ายของหนันฮูหยิน และหากนางขัดขืน จะต้องรับโทษอันใด คำพูดอีกฝ่ายย้อนเข้ามาในหัว “ข้าจะลักหลับเจ้า และเรียกบุตรให้มาอยู่ในครรภ์สักสองสามคน!” วิญญาณจอมปลอมของหนันจิ้งโหย่วข่มขู่นางไว้อย่างนั้น ยามนี้ ส่วนที่นางรักษาเอาไว้เพื่อบุรุษที่คู่ควรกำ
โปรย....อ๊ะ! นางร้องเสียงหลงไฉนทวนเล็กสั้น ของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้แล้วลิ้นสากร้อนนั้นก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางจนซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตายด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ทั้งจั๊กจี้และสากร้อนนี้!แนะนำเรื่อง นางขึ้นเกี้ยวเพื่อแต่งงานกับเด็กแปดขวบ เพื่อหวังขโมยของล้ำค่าในสกุลสามี แต่ไฉนจึงหลงกลวิญญาณจอมปลอมของพี่สามี กระทั่งถูกตบตีด้วยมีดสั้น และทวนทอง อย่างเร้าร้อนซาบซ่านสยิวใจ “อ๊ะ! นางร้องเสียงหลง เหตุใด ทวนเล็กสั้นของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้ แล้วลิ้นสากร้อนก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางให้ซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้ บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตาย ด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ที่แสนจั๊กจี้และสากร้อนนี้ ! กระนั้น เถียนลู่ฟางก็มิใช่คนเบาปัญญา ในเมื่อเจ้าบ่าวนางเยาว์วัย เขาคงมิอาจพานางขึ้นสวรรค์ได้ แน่แล้ว คนผู้นี้ ย่อมเป็นหนันจิ้งโหย่ว บุรุษที่หลอกลวงผู้อื่น และเหลือเพียงป้าย
ระหว่างการเดินทางไปเยี่ยมพ่อตา หรือแม้แต่ไปเมืองหลวงเพื่อรายงานสิ่งต่าง ๆ กวนเฉินหลางอาศัยในรถม้ากับอวิ๋นมู่หลัน แทนการขี่ม้า และบ่อยครั้งที่เขาจะบอกให้รถม้าเคลื่อนตัวช้า ๆ มิหนำซ้ำชายหนุ่มยังหิวบ่อย ของที่เขาต้องการกินล้วนเป็นอาหารของเด็ก ๆ กับผลไม้รสหวานจัด “ถังหูลู่ข้าเบื่อแล้ว ขอเป็นน้ำตาลปั้น แล้วก็พุทราเชื่อม” เขาตะโกนบอกหลิวตงที่อยู่ด้านนอก พออีกฝ่ายเตรียมกลับเข้าไปในตลาดที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน กวนเฉินหลางก็ตะโกนขึ้นว่า “กลับรถม้า ข้าอยากได้ขนมเปี๊ยะแล้วก็ลูกอมบ๊วย หากไม่เลือกด้วยตัวเองไฉนจะถูกใจ!” อวิ๋นมู่หลันหัวเราะจนได้ นางเห็นสายตาสามีเมื่อเขาพูดถึงของหวานก็น่าชมและชวนให้หมั่นไส้ “เหตุใดฮูหยินถึงมองข้าเช่นนั้น” “ข้าอดดีใจไม่ได้ที่ท่านพี่เจริญอาหาร ทั้งยังชวนผู้อื่นกินไม่หยุดปาก หากเราไปถึงเมืองหลวง คงต้องตัดชุดใหม่ให้มากสักหน่อย ดูแล้วยามนี้ท่านพี่คงอึดอัดมิน้อย” “เอ ฮูหยินหมายความเยี่ยงไร” กวนเฉินหลางถาม มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบมะยมเชื่อมโรยน้ำตาลเข้าปาก “ก็... ตั้งแต่ออกจ
อวิ๋นมู่หลันนึกเสียดายเหลือเกิน ในขณะกวนเฉินหลางถูกเมิ่งถูจับตัวไว้หลังจากเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากปูม่วงก้ามหนาม เขาควรได้ รับการลงโทษให้หนักกว่านี้ และจะดีมากหากฝ่ายนั้นสามารถทำให้บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของนางตายด้าน ไม่ต้องมีพละกำลังล้นเหลือยามขึ้นเตียง “อา... ฮูหยิน ห่างกันหนึ่งปีเต็ม เหมือนข้าได้พบดรุณีน้อย แสนบริสุทธิ์ เจ้างามหมดจดทุกส่วน ผิวเนียนนุ่ม จุดหวานล้ำก็เป็นสีชมพู!” คำชื่นชมเขาแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย และอวิ๋นมู่หลันขัดเขินจนหน้าแดงระเรื่อ มือไม้นางอ่อนไปหมด และสามีนางเป็นแมวหรอกหรือ ไฉนเดี๋ยวใช้ลิ้นสาก ๆ โลมเลียกลีบฉ่ำหวาน สลับการส่งแรงดูดล้ำลึก จนนางดิ้นพล่านอย่างเผลอไผล ลิ้นของเขาช่ำชอง และดูเหมือนคลั่งรักนางหนักจนชวนให้ตื่นตระหนก! ส่วนมือใหญ่ ๆ นั้นนวดเฟ้นหน้าอกอวบสวยที่เด้งไหวรองรับสัมผัสที่ซ่านสยิว กวนเฉินหลางมีนิ้วมือยอดเยี่ยม ทั้งยังลงแรงสม่ำเสมอพลอยให้นางซ่านใจจนความหวานในแอ่งเนื้อนิ่มซึมเอ่อไม่หยุด “ฮูหยิน ไม่อยากลองกระทำสิ่งแปลกใหม่บางหรือ ขี่ม้าก็แล้ว ท่าสุนัขหรือให้ข้าอุ้มเจ้าก็ทำได้ยอดเยี่ยม เราจะได้ปลดปล่
อวิ๋นมู่หลันมองคนตัวโตในชุดเกราะ และมือหนึ่งนั้นอุ้มอี้เหยาเอาไว้ ท่าทางเขาเก้ ๆ กัง ๆ คงเพราะไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อน แต่แสดงให้เห็นว่าเอ็นดูและห่วงใยลูกชายคนเล็กของนางเพียงใด ฝ่ายอี้เหยาก็ช่างรู้ความ ปกติไม่ใช่คนมักคุ้นคนแปลกหน้า แต่เด็กน้อยในยามนี้อมยิ้มอยู่น้อย ๆ ดวงตามีประกายแจ่มใส คอยมองบิดาราวกับนิยมในความสง่างามและกล้าหาญ ทั้งที่ร่างกายกวนเฉินหลางแผ่ไอเย็นออกมา ผู้ใดเห็นแล้วไฉนจะไม่ครั่นคร้าม “ท่านพี่... เหยาเอ๋อร์ คงเพลียแล้ว ส่งมาให้ข้าเถิด” นางเอ่ยพร้อมพยายามจับตัวลูกชายอีกคนให้ออกมาพบผู้เป็นบิดา แต่อี้หยางเข้าไปหลบอยู่ในกระโปรงนาง พอจะจับตัวเขาก็ร้องโวยวายสลับการข่มขู่ นิสัยเช่นนี้นาน ๆ จะเกิดขึ้น “มะ… ไม่! ขะ… ไม่ไป!” “โอ้ ฮูหยิน เด็กอีกคนนั้น เจ้ายังไม่ได้คลอดเขาออกมาหรอกหรือ” กวนเฉินหลางถามแล้วจึงหัวเราะร่วน ลูกชายคนโตของเขาดูเหมือนไม่อยากพบหน้าคนเป็นบิดา ช่างพิลึกดีแท้ “ปกติก็ร่าเริง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หยางเอ๋อร์ถึงหลบหน้าท่านพี่เช่นนี้” กวนเฉินหลางมองภาพตรงหน้าและชอบใจ เขามีบุตรชายสองคน ต่อไปนี้คงมีหล