จากเลี้ยงอาหารมื้อเย็นเพื่อเป็นการขอบคุณที่หมอกรัณย์กรช่วยเขียนประวัติให้ในครั้งนั้น ตอนนี้หมอกรัณย์กรก็ได้กลายเป็น แขกประจำที่มักจะแวะเวียนมาทานอาหารที่บ้านของปิ่นปินัทธ์บ่อยๆ จนคุณยายละมัยเริ่มสงสัยว่าทั้งสองคนกำลังคบกัน
“เขาก็แค่มากินข้าวเองค่ะยาย ไม่มีอะไรหรอก” ปิ่นปินัทธ์ตอบเมื่อถูกถามว่าตอนนี้กำลังคบกับหมอกรัณย์กรหรือเปล่า
“แต่ปกติยายไม่เห็นหนูพาเพื่อนที่ไหนมากินข้าวที่บ้านนะ”
“ก็เพื่อนส่วนใหญ่เขาเป็นคนแถวนี้นี่คะยาย เลิกงานเขาก็กลับบ้าน แต่หมอเขาเป็นคนกรุงเทพไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่เท่าไหร่”
“แต่ยายว่าหมอเขาต้องจีบหลานสาวของยายแน่ๆ เลยนะ”
“ไม่หรอกค่ะยายปิ่นก็แค่ครูธรรมดาคนหนึ่งคนอย่างหมอเขาต้องมีแฟนเป็นหมอด้วยกันสิคะ”
“ทำไมเป็นคิดแบบนั้นล่ะลูก”
“ก็มันจริงนี่คะส่วนใหญ่หมอก็จะเป็นแฟนกับหมอหรือไม่ก็เป็นแฟนกับเภสัชหรือพยาบาล พวกเขาทำงานลักษณะเดียวกันคุยกันรู้เรื่องมากกว่าค่ะ”
“เท่าที่ยายสังเกตยายว่าหมอรัณย์เขาต้องชอบหลานสาวของยายแน่ แล้วถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นจริงปิ่นคิดว่ายังไงล่ะ”
“ปิ่นไม่กล้าคิดหรอกค่ะยาย”
“ปิ่นตอบว่าไม่กล้าคิดแสดงว่าเคยคิดใช่ไหมล่ะ”
“มันก็มีนิดหน่อยค่ะยาย หมอเขาเป็นคนหน้าตาดีพูดจาสุภาพ เวลาที่ปิ่นคุยกับเขาแล้วรู้สึกดี รู้สึกสบายใจดีค่ะ”
“แสดงว่าปิ่นจะไม่ปิดกั้นตัวเองถ้าหากเขาจะขอเป็นแฟนใช่ไหมลูก”
“ปิ่นว่าเราอย่าคิดไปไกลเลยค่ะ ปิ่นกับเขาต่างกันมากแค่ได้เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้วค่ะ”
“แต่ยายว่าตอนนี้ปิ่นก็โตพอที่จะมีแฟนแล้วนะ เท่าที่ดูก็เห็นว่าหมอเขาเป็นคนนิสัยดีคนหนึ่ง เขามาบ้านยายไม่ใช่จะคุยกับปิ่นแค่คนเดียวเหมือนคนที่เคยมาจีบเป็นคนก่อนๆ แต่หมอเขาถามสารทุกข์สุกดิบของยายด้วยมันเลยทำให้ยายรู้สึกว่าเขาใส่ใจปิ่นและคนรอบข้างดี”
“เขาอาจจะถามแบบนั้นเพราะเขามีอาชีพเป็นหมอหรือเปล่าคะ”
“ยายก็ไม่รู้นะ แต่เท่าที่สังเกตยายว่าเขาน่าจะชอบหลานสาวของยายบ้างล่ะ”
“ปิ่นก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ และไม่อยากคิดอะไรมากด้วยค่ะ”
“แล้วเสาร์นี้เขาจะมากินข้าวที่บ้านเราอีกไหม”
“ไม่ค่ะ วันเสาร์เขามีงานค่ะ แต่วันอาทิตย์เขาชวนปิ่นเข้ากรุงเทพค่ะ ปิ่นขอไปกับเขาได้ไหมคะ”
“ได้สิ ปิ่นโตแล้วไม่ต้องขออนุญาตยายก็ได้ ว่าแต่ปิ่นจะไปค้างด้วยไหม”
“ไม่หรอกค่ะ เราไปเช้าเย็นก็กลับ”
“จะกินข้าวเช้าก่อนไปไหมละยายจะได้ทำกับข้าวให้”
“ขอเป็นแค่ข้าวเหนียวหมูทอดก็พอค่ะยาย ง่ายดี”
“ได้จ้ะปิ่นอย่าลืมเตือนยายอีกทีหนึ่งนะ ยายจะได้หมักหมูไว้ตั้งแต่คืนวันเสาร์เช้ามาจะได้ทอดเลย”
“ค่ะยาย ถ้ายังงั้นปิ่นขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ยายดูละครจบแล้วก็รีบเข้านอนนะคะ”
เมื่อเข้ามาในห้องนอนแล้วปิ่นปินัทธ์ก็นึกถึงคำพูดที่ตัวเองคุยกับยายเธอไม่รู้ว่าสถานะตัวเองกับหมอกรัณย์กรตอนนี้คืออะไรแต่ถ้าถามหัวใจตัวเองก็รู้สึกหวั่นไหวเวลาที่อยู่ใกล้เขา
หมอกรัณย์กรเป็นผู้ชายที่สุภาพอ่อนโยนคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจเอามากๆ อีกทั้งการแสดงออกของเขาเธอก็พอจะมองออกอยู่บ้างว่าชายหนุ่มเข้ามาจีบ เพราะการขอบคุณที่ช่วยเรื่องออมสินมันน่าจะจบไปตั้งแต่การทานอาหารครั้งแรกแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็ยังโทรมาคุยอยู่เกือบทุกวัน หรือเสาร์ไหนว่างเขาก็จะมาทานข้าวที่บ้านและบางครั้งก็ยังจะมาทานอาหารด้วยในตอนเย็น ซึ่งถือว่ามันค่อนข้างผิดปกติมากสำหรับคนที่งานยุ่งอย่างเขา แล้ววันอาทิตย์นี้เขาชวนเธอเข้าไปเที่ยวในกรุงเทพ ซึ่งปกติแล้วปิ่นปินัทธ์ไม่ค่อยเข้าไปกรุงเทพเท่าไหร่ถึงแม้ระยะทางจากสุพรรณบุรีไปกรุงเทพจะไม่ไกลแต่ที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองก็มีครบทุกอย่างเธอก็ไม่มีความจำเป็นเข้าไปในเมืองที่วุ่นวาย
หญิงสาวนั่งทำใบงานและมองโทรศัพท์ไปด้วย เธอกำลังรอให้กรัณย์กรโทรมาหาซึ่งปกติแล้วถ้าคืนไหนเขาไม่เข้าเวรก็จะโทรมาคุยกับเธอประมาณสี่ทุ่ม ปิ่นปินัทธ์ไม่เคยคิดจะโทรหาเขาก่อนเพราะไม่รู้ว่าโทรไปแล้วจะเป็นการรบกวนทำงานของเขาหรือเปล่าทั้งที่ใจจริงก็อยากจะเป็นฝ่ายโทรหาชายหนุ่มบ้าง
เธอนั่งมองโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ก็มีเสียงเรียกเข้าจากกรัณย์กรพอดี
“ขอโทษทีนะปิ่นที่โทรช้าไปให้หน่อยพอดีเมื่อกี้มีเคสฉุกเฉินเข้ามาติดๆ กันเลย” เขายุ่งตั้งแต่หัวค่ำกว่าจะได้พักก็เกือบห้าทุ่ม
“ถ้าคุณหมองานยุ่งไม่ต้องโทรหาปิ่นทุกวันก็ได้ ปิ่นเข้าใจค่ะ”
“แต่ผมอยากโทรหาหรือปิ่นรำคาญที่ผมโทรหาบ่อยๆ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ปิ่นไม่ได้รำคาญแต่ปิ่นรู้ว่าหมอไม่ค่อยมีเวลาค่ะ”
“ปิ่นว่าเราคุยกันแบบนี้ทุกวันมันดีไหม”
“ค่ะ”
“ผมว่าปิ่นน่าจะรู้ว่าผมโทรหาปิ่น มาทานข้าวกับปิ่นก็หลายครั้งเพราะอะไร”
“แล้วมันเพราะอะไรล่ะคะ หมอไม่บอกปิ่นก็ไม่รู้หรอกค่ะ”
“ผมพูดตรงๆ เลยได้ไหม”
“หมอจะพูดอะไรล่ะคะ” หญิงสาวกำลังใจเต้นแรงเพราะอยากจะรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันเป็นสิ่งเดียวกับที่เธอกำลังคิดอยู่หรือเปล่า
“ผมก็ไม่อยากอ้อมค้อมหรอกนะ เพราะเราต่างก็โตกันแล้ว แต่ก็กลัวปิ่นจะตกใจ”
“จะพูดอะไรเหรอคะ ไหนบอกจะไม่อ้อมค้อม ปิ่นรอฟังอยู่ตั้งนาน หมอยังไม่เห็นพูดสักที”
“ปิ่นก็อย่าเร่งผมสิ ผมตื่นเต้นไปหมด” แล้วกรัณย์กรรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่บอกกับหญิงสาวจริงๆ เพราะมันนานมาแล้วที่เขาไม่เคยรู้สึกใจเต้นแรงเวลาคุยกับใครหรืออยู่ใกล้ใครเหมือนกับคุณครู ปิ่นปินัทธ์มาก่อน
“ถ้าคุณหมอลำบากใจไม่ต้องพูดก็ได้ค่ะ ปิ่นแค่แซว วันนี้หมอทำงานหนักมาทั้งวันแล้วไปพักผ่อนก็ได้ค่ะ”
“เดี๋ยวสิปิ่น ไม่ใช่ว่าผมจะไม่พูดสักหน่อยผมแค่กำลังรวบรวมคำพูดอยู่”
หญิงสาวได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“คือแบบนี้นะ ผมชอบปิ่นเราเป็นแฟนกันไหม” กรัณย์กรพูดออกไปแล้วก็เป็นกังวลกลัวเธอจะไม่ตอบตกลง
“อะไรนะคะ”
“ก็ปิ่นให้ผมพูดตรงๆ ไงเพราะผมพูดตรงแล้ว ผมรู้สึกชอบปิ่นและอยากขอเป็นแฟน ผมว่าปิ่นก็น่าจะรู้นะว่าผมมีความรู้สึกดีๆ ให้”
“ปิ่นไม่แน่ใจเท่าไหร่ ปิ่นคิดว่าหมออาจจะรู้สึกดีกับปิ่น แต่ไม่คิดว่าหมอจะขอเป็นแฟน”
“ทำไมล่ะ”
“ปิ่นว่ามันเร็วไปหรือเปล่า”
“เร็วที่ไหนล่ะปิ่น เรารู้จักกันมาสองเดือนแล้วนะครับ ผมเข้านอกออกในบ้านคุณก็บ่อยบางคนอาจจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันแล้วด้วยซ้ำ ปิ่นตกลงไหมล่ะ หรือว่าปิ่นคบกับใครอยู่ แต่ผมว่าปิ่นน่าจะยังโสดนะ”
“หมอรู้ได้ยังไงคะว่าปิ่นยังโสด”
“เอาเป็นว่าผมรู้ก็แล้วกัน ตกลงเราเป็นแฟนกันแล้วนะ”
“ปิ่นตอบตกลงไปตอนไหม”
“ก็ปิ่นไม่ปฏิเสธผมก็ถือว่าปิ่นตกลง เพราะฉะนั้นวันอาทิตย์นี้จะเป็นเดตแรกของเรานะ ผมต้องวางสายแล้วมีคนไข้เข้ามาบ๊ายบายนะครับปิ่นฝันดีครับ”
คุณหมอหนุ่มพูดเสร็จแล้วก็ตัดสายไปทิ้งให้ปิ่นปินัทธ์มองโทรศัพท์ด้วยความสับสน เธอรู้ว่าเขาชอบรู้ว่าเขารู้สึกดีๆ ด้วยแต่ไม่คิดว่าเขาจะขอเธอเป็นแฟนแบบนี้ หญิงสาวอยากจะบอกเรื่องนี้กับคุณยายแต่เมื่อมองนาฬิกาแล้วก็คิดว่าป่านนี้ท่านคงจะเข้านอนไปแล้วแต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้เธอยังมีเวลาคุยกับท่านในตอนเช้าก่อนไปทำงาน
วันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปของคุณยายละมัยหนึ่งปี กรัณย์กรพาปิ่นปินัทธ์มาทำบุญให้คุณยายที่วัดกับญาติคนอื่นๆตอนนี้สถานะของทั้งสองคนคือคนที่กำลังศึกษากันอยู่ปิ่นปินัทธ์ไม่ใช้คำว่าแฟนหรือคนรักกับกรัณย์กรเพราะเธอกลัวว่าเหตุการณ์แบบเดิมจะกลับมาอีก แต่ชายหนุ่มก็พยายามจะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าตอนนี้เขาสามารถบาลานซ์เรื่องงานและเรื่องการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวตลอดเวลาที่ยายของหญิงสาวป่วยและรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูเกือบหนึ่งเดือน กรัณย์กรคอยดูแลเธออีกทั้งยังคอยช่วยดูแลคุณยายจนคุณลุงกับคุณป้าเห็นใจชายหนุ่มมากๆ และบอกให้ปิ่นปินัทธ์เปิดใจเพราะรู้สึกว่ากรัณย์กรจะจริงใจกับหลานสาวของตนเองมากหลังจากทำบุญให้กับคุณยายแล้วทุกคนก็มาทานข้าวกันที่บ้านของป้าก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ส่วนกรัณย์และปิ่นปินัทธ์ยังอยู่ต่อเพราะป้าสาขอคุยกับชายหนุ่มเป็นการส่วนตัวส่วน“ป้าสามีอะไรกับผมครับ”“ป้าอยากจะถามว่าหมอรัณย์จริงใจกับปิ่นมากใช่ไหม”“ใช่ครับ ความรักครั้งนี้ผมจริงจังมาก ก่อนหน้านี้ผมยอมรับว่าตัวเองแบ่งเวลาไม่ดีทำให้ปิ่นต้องเสียใจ ผมทำให้เป็นรอนานถึงห้าปีแล้วถึงตอนนี้ถ้าปิ่นจะให้ผมรอนานแบบนั้นมั่งมันก็ไม่มีปัญหาเลย”“ป้า
ตลอดทั้งคืนปิ่นปินัทธ์นั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องไอซียูโดยมีกรัณย์กรนั่งอยู่ข้างๆกรัณย์กรเดินเข้าไปดูคุณยายเกือบจะทุกชั่วโมงอาการของท่านยังคงที่แต่ดูแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่เขาไม่รู้จะพูดกับปิ่นปินัทธ์ไงว่าอาการของคุณยายเธอมันค่อนข้างหนักการจะให้คุณยายกลับมาหายดีมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ชายหนุ่มเดินเข้าออกห้องไอซียูอยู่หลายรอบจนกระทั่งเผลอหลับในเวลาตีสี่และตกใจตื่นในเวลาเกือบจะหกโมงเช้า“ผมว่าปิ่นกลับไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่าไหม ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก”“อาการของคุณยายเป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวรู้ว่าเขาเดินเข้าออกอยู่หลายหลายครั้ง“ก็ยังคงที่ครับวันนี้อาจจะต้องตรวจหลายหลายอย่างเพิ่ม ผมไม่ได้เป็นหมอที่ดูแลเคสของยายหรอกนะครับ ผมให้รุ่นพี่อีกท่านเป็นคนช่วยดูให้”“ทำไมละคะ”“เมื่อวานเป็นเวรของเขาครับ อีกอย่างการรักษาคนรู้จักหรือคนใกล้ชิดมันจะค่อนข้างกดดันเพราะเราจะเอาอารมณ์เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย มันจะทำให้การตัดสินใจบางอย่างคลาดเคลื่อนได้ อีกอย่างผมก็อยากจะช่วยประสานงานให้มากกว่า”“ขอบคุณนะคะ ถ้าเมื่อคืนไม่ได้คุณคงแย่”“ไม่หรอกครับ หมอและพยาบาลรวมถึงเจ้าหน้าที่คนอื่นทำงานกันอย่างเต
“เกิดอะไรขึ้นเหรอปิ่น” กรัณย์กรถามหลังจากเธอวางสายและดูท่าทางรีบร้อน“ป้าสาโทรมาบอกว่าคุณยายเหนื่อยมากและเหมือนจะหายใจไม่ค่อยออกเลยกำลังพาไปโรงพยาบาลค่ะ”“โรงพยาบาลที่ทำงานใช่ไหม ปิ่นไปกับผมนะน่าจะไวกว่า”นาทีนี้หญิงสาวไม่ได้คิดอะไรอีกแล้วเพราะอยากจะรีบไปหายายให้เร็วที่สุด“ทำใจดีๆ ไว้นะปิ่นไม่น่าจะเป็นอะไรมากหรอก เมื่อตอนกลางวันผมคุยกับคุณยายท่านก็ดูปกติดี แต่ระหว่างทางเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”“หมอจะถามอะไรคะ”“ผมจะถามว่าช่วงนี้ยายมีอาการผิดปกติอะไรหรือเปล่า หรือมีโรคประจำตัวอะไรไหม”“ไม่มีค่ะยายแข็งแรงดี”“แล้วในครอบครัวล่ะมีเป็นโรคอะไรไหม เช่นเบาหวาน ความดันหัวใจหรือโรคมะเร็ง”“ปิ่นรู้แค่ป้าสาเป็นความดันโลหิตสูงค่ะ ส่วนเบาหวานไม่เคยได้ยินว่าใครเป็น”“ปิ่นลองนึกหน่อยนะว่าช่วงนี้ยายร่างกายเป็นยังไงบ้าง มีอะไรผิดปกติไหม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้” กรัณย์กรไม่อยากเสียเวลาไปซักประวัติคุณยายที่โรงพยาบาล“ยายเป็นหวัดค่ะ”“แล้วได้กินยาอะไรไหม”“ไม่ค่ะ ยายแค่ไอแห้งๆ ปิ่นจะพาไปหาหมอยายก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่จิบน้ำอุ่นก็น่าจะหาย”“แล้วมีอย่างอื่นไหม มีไข้หรือเปล่า”“
“เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อยสิปิ่น”“เป็นเราคุยกันแล้วนี่คะ ว่าหมอจะมาเฉพาะเวลาราชการเท่านั้นนี่มันค่ำแล้วนะ ที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่หมอกลับไปก่อนเถอะค่ะถ้าอยากจะมาหาคุณยายค่อยมาเวลากลางวัน”“แต่ผมอยากคุยกับปิ่นจริงๆ นะผมคุยกับคุณยายแล้วคุณยายอนุญาตให้ผมมาหาคุณได้”“หมายความว่ายังไงคะ”“ขอเข้าไปคุยกันข้างในได้มั้ย ยืนคุยอยู่แบบนี้คนอื่นมาเห็นคงไม่ดีเท่าไหร่”“มันไม่ดีทั้งแต่หมอเข้าออกบ้านของปิ่นห้าปีก่อนแล้วล่ะค่ะ”“ปิ่นอย่าพึ่งโมโหสิ ถ้าปิ่นไม่ให้ผมเข้าไปผมก็จะยืนอยู่แบบนี้แหละแล้วผมจะบีบแต่รถให้ชาวบ้านเขาออกมาดูด้วย”“ทำไมหมอเป็นคนเข้าใจอะไรจะยากแบบนี้นะ”“ผมเข้าใจยากที่ไหน ปิ่นต่างหากที่เข้าใจยาก เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อยนะปิ่น”เพราะกลัวว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริงๆปิ่นปินัทธ์เลยยอมเปิดประตูให้จากนั้นหญิงสาวเดินนำเขามายังห้องรับแขก“เอาล่ะคะจะพูดอะไรก็พูดปิ่นมีเวลาให้คุณไม่มากหรอกนะปิ่นยังต้องทำใบงานอีกเยอะ”“ให้ผมช่วยทำไหมล่ะ”“ปิ่นไม่รบกวนเวลาคุณหมอขนาดนั้นหรอกค่ะ เวลาทุกนาทีของหมอมันมีค่าอย่าเสียเวลามาทำใบงานเล็กๆ น้อยๆ เลย”“ปิ่นอย่าพึ่งประชดได้ไหม”“หมอจะพูดอะไรก็พูดสิคะ”“ผมอยากขอโอ
หลังจากไปเยี่ยมคุณยายของปิ่นปินัทธ์ที่บ้านแล้วกรัณย์กรก็รู้สึกว่าแปลกๆ เพราะที่บ้านของหญิงสาวไม่มีของเล่นเด็กเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ถ้าเด็กชายที่เขาเห็นเมื่อวันก่อนเป็นลูกของหญิงสาวจริงๆในบ้านหลังนั้นก็น่าจะต้องมีของเล่นสักชิ้นหนึ่งและดูเหมือนยายละมัยก็ไม่ได้บอกเขาว่าปิ่นปินัทธ์แต่งงานแล้วความจริงข้อนี้กรัณย์กรต้องหาทางพิสูจน์เพราะเขารู้ใจตัวเองแล้วว่ายังมีความรู้สึกดีๆ ให้กับปิ่นปินัทธ์และจะต้องพยายามเอาชนะใจของเธออีกครั้งครั้งนี้เขาจะเดินหน้าอย่างเต็มกำลังเพราะรักเธอมาก การห่างกันไปนานหลายปีไม่ได้ทำให้ความรักที่เขามีให้กับปิ่นปินัทธ์ลดน้อยลงเลย และตอนนี้เขาอยากขอโทษเธอที่ตนเองเห็นแก่ตัวเห็นงานสำคัญกว่าความรู้สึกของหญิงสาว แต่ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองจะมีเวลาให้เธอมากขึ้นกรัณย์กรอยากจะกลับมาคบกันปิ่นปินัทธ์อีกครั้งหนึ่ง เขาจะชดเชยเวลาทั้งหมดให้กับหญิงสาว การมาทำงานที่โรงพยาบาลนี้กรัณย์กรไม่ต้องอยู่เวรตลอด 24 ชั่วโมงเขาออกตรวจภายแผนกโอพีดี ราวน์คนไข้ และจะมีนัดคนไข้มาผ่าตัดหรือสวนหัวใจและทุกอย่างก็จะลงเวลานัดหมายเพราะการผ่าตัดประเภทนี้ต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายแผนก อีกทั้งห้องผ่าตัดและห้องสวนห
ปิ่นปินัทธ์ไม่ได้บอกยายของตนเองว่าเจอกับกรัณย์กรเพราะกลัวว่าคุณยายจะไม่สบายใจและหญิงสาวก็คิดว่าเขาไม่มีมีทางจะมาหาคุณยายอย่างที่บอกกับเธอแน่ๆแต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดผิดเพราะเย็นวันหนึ่งหลังจากเธอกลับมาจากโรงเรียนก็เห็นบริเวณห้องรับแขกมีกระเช้าผลไม้และนมสำหรับผู้สูงอายุวางอยู่“คุณยายไปซื้อของพวกนี้มาเหรอคะ”“เปล่าหรอกลูกวันนี้มีคนแวะมาเยี่ยมยาย”“ใช่พี่ทศกับพี่แพรหรือเปล่าคะ พี่ทศบอกว่าก่อนจะกรุงเทพจะแวะมาหาคุณยายอีกครั้งหนึ่ง”“ทศเขาแวะมาจริงๆ นั่นแหละแต่ของพวกนี้ไม่ใช่ของทศหรอกนะลูก”“อ้าว....แล้วของใครล่ะคะคุณยาย”“ปิ่นลองเดาดูสิว่าวันนี้มีใครมาหายาย”“ปิ่นเดาไม่ถูกหรอกค่ะยายบอกปิ่นมาเถอะค่ะ”“วันนี้หมอรัณย์เขามาหายายที่นี่”“อะไรนะคะ เขามาหายายจริงๆ เหรอคะ”“ปิ่นรู้ใช่ไหมว่าเขาจะมาหายาย”“ค่ะยาย ปิ่นบังเอิญเจอเขาเมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วเขาบอกว่าจะแวะมาหาคุณยายแต่ปิ่นไม่ได้บอกยายเพราะคิดว่ายังไงเขาก็คงไม่มาเวลาทำงานแน่ๆ”“เขามาหายายตอนเที่ยงจ้ะ”“ยายคุยอะไรกับเขาบ้างบอกเรื่องปิ่นไปหรือเปล่า”“ก็คุยเรื่องทั่วไป ยายไม่ได้บอกเรื่องอบปิ่นหรอกนะ ยายรู้ว่าปิ่นอยากให้เรื่องนี้มันเป็นความลับ”