อันตรายืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ไม่กล้าเดินตามเขาเข้าไป แต่ภาวิชญ์เปิดประตูค้างเอาไว้ หันมายิ้มแบบกวน ๆ ให้เธอ และผงกหัวไปด้านข้างเชิงบอกว่า “เข้าไปสิยัยเฉิ่ม” ยิ่งทำให้อันตรารู้สึกอายมากขึ้น
“อ้าว…นั่นหนูอันใช่ไหม”
เมื่อนิลญาหันเป็นเห็นอันตรา ก็รีบเรียกให้เดินเข้ามา เธอจึงต้องรีบเดินมานั่งข้าง ๆ แม่ และทักทายคุณภาษิตและวิชุดา ซึ่งอีกฝ่ายดูพอใจมากที่เจอเธอในวันนี้ แต่ภาวิชญ์ที่นั่งข้าง ๆ แม่ของเขา แสดงอาการน่าเบื่อออกมาชัดเจน
“นี่ภีมอย่าลืมทักทายคุณอาสิ”
“อ้อ ครับ ๆ สวัสดีครับคุณอาเสกสรรค์ ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลย เดี๋ยวนี้ยังชอบท้าแข่งความเร็วอยู่หรือเปล่า”
“โธ่คุณอาก็ชอบแซวผมอยู่เรื่อยเลย ก็เพราะคุณอาเปิดโลกให้ผมนั่นแหละครับ”
“ฮ่า ๆ เด็กหนุ่มนี่ดีจริง ๆ”
“ครับ ผมชงเหล้าให้คุณอาดีกว่า”
“ได้เลย จัดมารู้ใจอยู่แล้วนี่”
ภาวิชญ์กับเสกสรรชอบแข่งรถ พวกเขาจึงคุยกันถูกคอ และก่อนหน้านี้ก็เป็นเสกสรรค์ ที่ชักชวนเขาไปลองแข่งรถที่สนาม ซึ่งหลังจากนั้นภาวิชญ์ก็ค้นพบความชอบของเขาเอง เรื่องนี้เขาจึงขอบคุณเสกสรรค์มาก
“หนูอันตรา แหมตายจริงไม่เจอกันไม่ถึงปี หนูสวยขึ้นมากเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า อันก็เหมือนเดิมค่ะ”
“เหมือนเดิมอะไร วันนี้หนูสวยมาก จริงไหมภีม”
ภาวิชญ์ที่นั่งคุยกับเสกสรรอยู่ หันมามองอันตรา เธอไม่ชอบสายตาเขาเสียเลย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยิ้มสู้แบบนักธุรกิจ อย่างที่แม่เธอสอน
“ครับ ๆ สวยครับ ถ้าไม่พยายามฝืนยิ้มจนปากสั่นขนาดนั้น”
“ภีม! ทำไมพูดกับน้องแบบนั้นล่ะ”
“คุณอาครับ เมื่อวันก่อนผมไปลอง…”
แต่เขาไม่สนใจ และหันไปคุยกับเสกสรรค์เรื่องแข่งรถต่อ อันตราหน้าแดงจัดเพราะความอาย นิลญาและวิชุดาแทบจะทำตัวไม่ถูก เมื่อภาวิชญ์พูดแบบนั้นออกมา
“หนูอันอย่าไปถือสาเลยนะ ลูกชายป้าคนนี้ปากร้ายเอาเรื่อง แต่ไม่ได้คิดอะไรหรอก”
“ค่ะ หนูเข้าใจค่ะคุณป้า ถ้าคุณป้ามีลูกสาวก็คงจะไม่เป็นแบบนี้แน่ แต่หนูชินแล้วค่ะ ที่มหาลัยใครจะไม่รู้บ้างว่าพวกพี่ ๆ คณะวิศวะปากหมา…อุ๊ย หมายถึงปากเสียแค่ไหนน่ะค่ะ”
เสกสรรค์ลุกไปคุยกับภาษิตแล้ว ภาวิชญ์จึงได้ยินที่เธอพูด เขาหันมามองหน้าอันตรา ที่เอาคืนเขาได้เร็วกว่าที่คิด นานแล้วที่ไม่มีผู้หญิงคนไหน กล้าต่อว่าเขาตรง ๆ แบบนี้
“จริงสิคะคุณนิล เรื่องที่ฉันเสนอไป คุณคิดว่ายังไงคะ”
“เรื่อง เอ่อ… เรื่องนี้”
“เอาสิ! หมั้นไปก่อนเลย แล้วหลังจากอันตราเรียนจบค่อยว่ากัน”
""อะไรนะ หมั้นเหรอคะ / ครับ""
ทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน และหันไปมองหน้าพ่อทันที แม่ทั้งสองได้แต่นั่งนิ่ง เพราะคิดไม่ถึงว่า จู่ ๆ คุณภาษิตจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเร็วแบบนี้
“เอ่อ คุณคะฉันว่าเรื่องนี้ เอาไว้ให้เด็ก ๆ รู้จักกันมากกว่านี้อีกหน่อย แล้วค่อยว่ากันดีไหม คุณดื่มมากไปแล้วมั้งคืนนี้”
“นั่นสิคะคุณภาษิต อีกอย่างอันก็ยังเรียนอยู่”
“ผมไม่ได้ใจร้อนเกินไปหรอก ที่จริงเรื่องนี้เราคุยกันมานานแล้ว ใช่ไหมเสกสรรค์ คุณเองก็เห็นด้วยกับผม อีกอย่างคุณกับภีม ก็ชอบแข่งรถเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“พ่อครับ แต่เรื่องนี้”
“หนูไม่เห็นด้วยค่ะ”
อันตราลุกขึ้นเป็นครั้งแรก สีหน้าจริงจังของเธอ และใบหูที่แดงจัดเพราะความโกรธ ที่วันนี้เหมือนกับถูกหลอกมาให้คุยเรื่องนี้ ภาวิชญ์ไม่เคยเห็นเธอจริงจังแบบนี้ ก็นึกตกใจและทึ่งอยู่ไม่น้อย
“น้องอัน พี่ว่า…”
“พี่จะยอมเหรอคะ ถึงพี่จะยอม แต่ฉันไม่ยอม พี่เป็นคนแบบไหนทำไมทั้งมหาลัยจะไม่มีใครรู้”
“พี่…”
“เจ้าชู้ กินไม่เลือกที่ สำส่อนแล้วยังไม่ได้เรื่อง ที่เรียนมาได้ขนาดนี้เพราะมีเพื่อน ๆ ช่วยกันผลักดัน ไม่ใช่เหรอคะ”
“นี่! จะดูถูกกันมากเกินไปแล้วนะ”
“แล้วฉันพูดผิดเหรอ วันนั้น...”
“อันตรา!”
อันตราน้ำตาคลอ เธอรับไม่ได้ กับการที่ต้องถูกคลุมถุงชนแบบโบราณแบบนี้ แต่พอถูกภาวิชญ์ตะคอก เธอก็เริ่มนิ่งไป น้ำตาเริ่มรื้นและหายใจติดขัด
“อัน… อัน!”
แม่ของอันตรารีบวิ่งเข้าไป แต่ภาวิชญ์ที่อยู่ใกล้ เห็นถึงความผิดปกติของอันตราแล้ว เขาเข้าไปโอบตัวเธอก่อนจะล้มลง อันตราตาค้างและเริ่มหายใจหอบ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“อัน! คุณคะ! วันนี้เราอย่าพึ่งคุยเรื่องนี้กันเลยนะคะ อันเป็นหอบหืด อาการพึ่งจะดีขึ้นไม่นาน หมอบอกว่าถึงจะไม่เสี่ยงแล้ว แต่ก็ต้องดูแลให้ดี”
“เอ่อ นี่หนูอัน… ต้องไปโรงพยาบาลไหม”
“ไปสูดอากาศข้างนอกกับพี่ก่อน อย่าพึ่งพูดอะไรมากเลยครับ ผมขอพาน้องออกไปสูดอากาศหน่อย นะครับแม่”
“จ้ะ ๆ รีบไปเถอะ ดูแลน้องด้วยนะภีม”
“ไม่ต้องห่วงนะครับคุณน้า”
“น้าฝากน้องด้วยนะ”
อันตราไม่ทันได้ปฏิเสธ ภาวิชญ์ก็รีบพาเธอ เดินออกไปจากห้องทันที เขาไม่คิดว่า เด็กสาวรุ่นน้องจะมีโรคประจำตัวแบบนี้ วันนี้เธอคงตกใจมาก สีหน้าของเธอ ทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรง ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เต้นแบบนี้มานานแล้ว
ระเบียงด้านนอก
“เป็นยังไงบ้าง หายใจโล่งขึ้นไหม”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณมาก”
ภาวิชญ์เองก็เดินไปเกาะที่ระเบียง และเริ่มหายใจลึก ๆ เข้าไปอีกครั้ง เขาเองก็ตกใจไม่ต่างกับเธอ ที่จู่ ๆ พ่อของเขาก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพียงแต่ว่าเขาชินแล้ว เพราะพ่อแม่ของเขาเคยพูดเรื่องนี้ แต่ไม่นึกว่า อีกฝ่ายจะเป็นอันตรา เมื่อเห็นว่าเธอรู้สึกดีขึ้นแล้ว จึงเดินมานั่งข้าง ๆ อันตรารู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอไม่ร้องไห้แล้ว
“ทำไมผู้หญิงถึงชอบรัดผมเอาไว้แบบนั้นจังเลย ไม่ปวดหัวบ้างเหรอ ไว้ผมยาวน่าจะปล่อยแท้ ๆ”
“มันรุ่มร่ามค่ะ ฉันไม่ชอบ”
“แล้วทำไมไม่ตัดสั้นไปเลยล่ะ”
“มันชอบจี้คอ ฉันไม่ชอบ”
“เรื่องมากกว่าที่คิดแฮะ ว่าแต่ทำไมใส่ความพี่ขนาดนั้นล่ะ รู้จักพี่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ อะไรนะ สำส่อน กินไม่เลือกที่… แล้วยัง…”
“ระ เรื่องนั้นฉันขอโทษรุ่นพี่ด้วยค่ะ ที่จริงฉันไม่ได้รู้จักรุ่นพี่ขนาดนั้น เพียงแต่ว่าข่าวลือในมหาลัย…”
"เข้าใจล่ะ ว่าแต่... คิดยังไง"
“คิดยังไง อะไรคะ”
“เรื่องที่พ่อพี่พูดเมื่อกี้ โกรธมากเลยไม่ใช่เหรอ หรือว่าไม่ชอบขี้หน้าพี่ขนาดนั้นเชียว”
อันตราบอกได้ไม่เต็มปาก ว่าเธอไม่ชอบขี้หน้าเขา ก็ภาวิชญ์หล่อขนาดนี้ เธอเห็นเขาครั้งแรก ถ้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ก็คงชอบเขาเหมือนกัน
“เรื่องนั้น…”
"เพราะเคยได้ยินข่าวลือมา หรือว่า…เกี่ยวกับเรื่องที่ไปแอบฟัง ที่คณะวิศวะวันนั้น"
“ฉันไม่ได้แอบฟังนะคะ!”
“นั่นยังไง น้องอันโกหกไม่เก่งเลยนะ”
เขาหันไปดู ใบหูที่เริ่มแดงจัดของเธออีกครั้ง แต่เธอก้มหน้าลงแล้วเพราะความอาย เขาไม่ค่อยเจอผู้หญิงที่เงียบ และเรียบร้อยแบบนี้มานานแล้ว อีกอย่างอันตรา เป็นคนที่ไกลกว่าคำว่า “สเปก” ของเขามากจริง ๆ
“เรื่องนี้เอาไว้พี่จะคุยกับพ่อเอง ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ก็ไม่ชอบบังคับใจใคร อีกอย่างเราก็พึ่งเจอกันด้วย”
อันตรารู้สึกหัวใจของเธอหล่นวูบลง เมื่อภาวิชญ์พูดแบบนั้นขึ้นมา ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขาก็จริง แต่พอเขามาคุยด้วยแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าภาวิชญ์ ก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายแบบนั้น
“เอาล่ะ เรากลับเข้าไปคุยกับพวกเขาอีกทีดีไหม พี่ว่าพ่อแม่ก็คงจะยอมรับฟังความเห็นของเราบ้างล่ะ”
“ค่ะ”
ทั้งสองคนกำลังจะกลับเข้าไป แต่ยังไม่ทันได้ออกจากระเบียง ก็พบกับเค้ก ซึ่งมากับพี่สาว ทั้งคู่เหมือนจะมาทานข้าวที่โรงแรม เมื่อภาวิชญ์เห็น “ระรินทิพย์” หรือ “ครีม” เดินเข้ามา เขาก็นิ่งทันที จนอันตราหันไปมอง และทั้งสองก็เดินมาทักทาย
“พี่ภีม ทำไมถึงมาที่นี่ได้ละค่ะ แล้วผู้หญิงคนนี้คือใคร”
ภาวิชญ์หันมาดึงอันตราเข้ามาโอบกอด อันตราตกใจ และหันไปจนแก้มของเธอ ชนเข้ากับจมูกของเขา สองคนพี่น้องถึงกับตกตะลึง และนิ่งไปแต่สีหน้า บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ภาวิชญ์จึงใช้โอกาสนี้พูดออกไป
“น้องอัน นี่รุ่นน้องคณะพยาบาลชื่อเค้ก กับพี่สาวของเธอ ส่วนคนนี้คืออันตรา เธอเป็น “คู่หมั้น” ของผม ที่นี่ลมค่อนข้างแรง อากาศก็ไม่ค่อยดี รีบเข้าไปในห้องดีกว่า ขอตัวก่อนนะครับ”
อันตราถูกเขาพาเข้ามา จับถอดเสื้อผ้าและอาบน้ำใต้ฝักบัว แปรงฟันและสระผมให้เรียบร้อย กระทั่งเป่าผมให้แห้ง เขาแทบจะเปลี่ยนเป็นพ่อคนได้อยู่แล้ว เมื่ออยู่กับอันตรา นานวันเข้าสิ่งเหล่านี้ ภาวิชญ์ก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เธอเปลี่ยนมาเป่าผมให้เขาอยู่“แห้งแล้วค่ะ”“พี่ชอบเวลาอันใส่เสื้อเชิ้ตของพี่แบบนี้มากเลยรู้ไหม มันเซ็กซี่มาก”“อันรู้ค่ะ ถึงได้ยั่วพี่แบบนี้ไงล่ะคะ”“รู้ใจแบบนี้ คืนนี้คงต้องคุยกันยาวแล้วล่ะ”“อ๊ะ พึ่งจะอาบน้ำมา เบา ๆ หน่อย อุ๊ย พี่ภีม เสียว อาาา”เขาปลดกระดุมออกไม่กี่เม็ด และเริ่มใช้ลิ้นดุนดันที่หน้าอกอวบตรงหน้า รอยคิสมาร์คเริ่มหายไปแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ เขาให้เธอได้พักช่วงมีรอบเดือน ซึ่งอันตรารู้ว่าภาวิชญ์อัดอั้นแค่ไหน เพราะมือของเธอที่จับที่เป้ากางเกงของเขา รู้สึกได้ถึงความแข็งขืนของมังกรยักษ์ในนั้น“อูยย เบาหน่อยเมียจ๋า มันแข็งจนไม่ไหวแล้ว”“ก็อย่าเล้าโลมเยอะสิคะ รีบเข้ามา”“พี่กลัวอันเจ็บ ต้องทำให้พร้อมก่อน”เขาอ่อนโยนกับเธอเสมอ ทุกครั้งที่มีเซ็กซ์กัน ไม่มีครั้งไหนที่ภีมจะเร่งรีบและทำให้เธอเจ็บเลย อีกอย่างต่อให้เขาต้องการเธอมากแค่ไหน ถ้าอันตราบอกว่าไม่ เขาก็จะไม่รบกวนเธอ
ห้าวันถัดมา“อันครับ… ตื่นได้แล้วนะ”“อือ พี่ภีม อันไม่อยากไปแล้ว ฮืออ”“ไม่เอาน่าอย่างอแง เดี๋ยวพวกคุณแม่จะรอนาน วันนี้ไปดูอีกสองที่สุดท้ายแล้ว ถ้าอันไม่ชอบก็จบ ไม่ต้องไปอีกแล้วตกลงไหม แต่ตอนนี้ลุกขึ้นมาก่อน รีบไปอาบน้ำเร็ว”เขารู้ว่าแฟนสาวคงไม่อยากตื่น ในวันหยุดที่เธอมีรอบเดือนแบบนี้ แต่ทั้งคู่นัดกับคุณแม่ทั้งสองเอาไว้ ว่าจะไปดูสถานที่จัดงานหมั้น เพราะสองครอบครัวทำธุรกิจร่วมกัน ดังนั้นเรื่องการจัดงาน ก็จำเป็นต้องแจ้งอย่างเป็นทางการ แต่อันตราที่ถูกพาพวกแม่ ๆ ไปดูสถานที่มากว่าหลายวัน ก็ดูเหมือนจะไม่มีที่ไหนถูกใจเธอเลย“มาครับ รีบตื่นพี่จะอาบน้ำให้ เร็ว ๆ เข้า"“ไม่ได้! อันอาบเองพี่จะบ้าเหรอ อันมีรอบเดือน”“พี่ลืมไป เอาน่า เอาไว้หลังจากไปดูสถานที่เสร็จแล้ว จะพาไปกินไอศกรีมร้านโปรดของอัน ดีไหม”“พี่ภีมจะบ้าเหรอ เป็นประจำเดือนใครเขากินไอติมกันล่ะ ไม่เอา ขอกุ้ง ตัวโต ๆ น้ำจิ้มซีฟู๊ด”“ได้หมดเลย แต่ตอนนี้ลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อน เดี๋ยวพี่เตรียมชุดให้"“ฮือ…วันหยุดของฉัน”"เอาน่า หลังจากนี้ก็ไม่ยุ่งแล้วล่ะ เชื่อพี่"เชื่อกับผีน่ะสิ เธอคิดในใจ เพราะหลังจากไปดูสถานที่ สุดท้ายก็ลงเอยที่อันตราคิดว่า
รัชชานนท์ถึงกับหน้าเหวอไปทันที ช่วงหนึ่งปีนี้เขาถูกย้ายไปดูแลสาขาเชียงใหม่ และพึ่งได้มีโอกาสกลับมาที่กรุงเทพ ไม่คิดเลยว่าลูกสาวท่านประธานที่เขาหมายตาเอาไว้ จู่ ๆ จะมีคู่หมั้นไปแล้ว นี่เขาพลาดอะไรไป“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนนท์ ผมภาวิชญ์ ลูกชายคุณภาษิต”“คุณภาษิตเหรอ คุณหมายถึงท่านประธานภาษิต เจ้าของท่าเรือและเจ้าของโรงแรมนี้”“ครับ ดีใจที่ได้พบกันนะครับ”“ครับ ผมรัชชานนท์ ยินดีที่ได้รู้จัก เอ่อ วันนี้พี่ยังมีธุระ เอาไว้พี่โทรหานะอัน”“ค่ะพี่นนท์ สวัสดีค่ะ”“ไปก่อนนะครับคุณภาวิชญ์ เอาไว้พบกันใหม่”“ครับ จริงสิงานหมั้นของเรา อันก็เชิญคุณนนท์ไปด้วยใช่ไหม”“เอ่อ...”อันตราทำหน้าอึดอัดเล็กน้อย เพราะรู้ว่านนท์คิดยังไงกับเธอ แต่เรื่องนี้เธอยังไม่ทันได้คิด ก็เจอเขาเสียก่อน ภาวิชญ์ยืนยิ้มและหันไปมองนนท์ ซึ่งแทบจะยิ้มไม่ออก“ถ้ายังไงจะให้อันเชิญไปนะครับ หวังว่าจะได้พบกัน ในงานหมั้นของเราสองคน”“ครับ พี่ยินดีด้วยนะอัน”“ขอบคุณค่ะพี่นนท์ อันขอตัวก่อนนะคะ”อันตรารีบเดินกลับเข้าไปในห้อง เธอสังเกตว่าภาวิชญ์พูด และยิ้มน้อยลง จนกระทั่งนั่งฟังเรื่องที่พ่อแม่ของทั้งคู่ไปต่างประเทศ และซื้อของมาฝากทั้งคู
“หมั้นเหรอคะ เร็วขนาดนี้เลย”“ทำไมดูเหมือนไม่ดีใจเลยล่ะ หรือว่ามีแต่พี่ ที่ดีใจอยู่คนเดียว”“ไม่ใช่สักหน่อย ทำไมจู่ ๆ ถึงได้เร่งล่ะคะ”ภาวิชญ์ดึงเธอเข้ามาจนชิดอีกครั้ง “ก็เพราะพี่ใจร้อนน่ะสิ อีกอย่างไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้ว แต่อันยังต้องเรียนอีกตั้งสองปี ถ้าไม่หมั้นเอาไว้ก่อน พี่จะไปทำงานอย่างสบายใจได้ยังไง ต่อไปก็ไม่ได้มาเฝ้าที่มหาลัยแล้ว”“ดูทำหน้าเข้าสิ ทำไมคะ ไม่ไว้ใจอันเหรอ ตลอดเวลาไม่มีใครเข้ามาเลยนะคะ มีแต่ทางพี่ภีม”“ไม่ใช่สักหน่อย เรื่องแบบนี้มันบอกได้ด้วยเหรอ ว่าจะมาได้เมื่อไหร่ ไม่รู้แหละ วันเสาร์ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้กลับบ้านกันดีกว่า นะครับ”“แล้วรายงานล่ะคะ”“ก็เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ แก้อีกนิดเดียวเอง อันก็เอาหนังสือมาเก็บหมดแล้วนี่ เอาน่านี่ก็จะห้าโมงแล้ว กลับกันเถอะ รู้ไหมว่าพี่เมื่อยมากเลย ปวดหัวไปหมดแล้วเนี่ย”“ก็ได้ ๆ ไม่ต้องดัน ขอเก็บหนังสือก่อน”“เดี๋ยวก็มีคนมาเก็บเองแหละน่า ไปกันเถอะ รีบกลับบ้าน”อันตราถูกภาวิชญ์ดึงกลับบ้าน เขาแทบจะอุ้มเธออยู่แล้ว ช่วงนี้อันตราแทบจะไม่ได้เจอเพื่อน ๆ หลังเลิกเรียนเลย เพราะภาวิชญ์เรียนเสร็จ เป็นต้องมานั่งเฝ้าเธอหน้าคณะ ไม่กลับบ้านก็ต
หลังจากไปเยี่ยมเค้กกลับมาแล้ว อันตราก็กลับมาเก็บของเงียบ ๆ ที่ห้องพักของภาวิชญ์ ก่อนจะออกจากโรงพยาบาล วันนี้เขาให้กองทัพมาช่วยขับรถไปส่งให้ ก้องภพเองก็มาช่วยเขาด้วย เพราะวันนี้ตะวันมีนัดกับมะปราง ทั้งคู่เลยมาไม่ได้ เมื่อทั้งสองคนมาส่งทั้งคู่ที่คอนโด ก็รีบกลับทันที“ขอบใจนะไอ้ก้อง ไอ้กองทัพ”“ไม่เป็นไร มึงก็พักผ่อนให้ดี ไม่ต้องคิดมากหรอก เรื่องบางอย่าง พวกเราก็ทำเต็มที่แล้ว น้องอันก็ด้วยนะ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”“ขอบคุณค่ะพี่ก้อง”ก้องภพรู้ว่า อันตรารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยชีวิตเค้กเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นสภาพของรุ่นน้องที่เคยสวย ปากดีและคอยหาเรื่องเธอไม่หยุด ต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงคนป่วยแบบนั้น ก็ทำให้อันตรารู้สึกแย่ลงไปนิดหน่อยเธอเข้ามาในห้องที่คุ้นเคย ก็พอจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง ภาวิชญ์เดินเอาของไปเก็บ และหันมากอดเธอจากด้านหลัง อันตราจับเขาเอาไว้“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะครับ”หยดน้ำตาหล่นใส่หลังมือของภาวิชญ์ ทำให้เขาตกใจ และรีบหันมาจับตัวเธอหันมา แฟนสาวของเขากำลังร้องไห้ “อย่าร้องนะ อันไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น อย่าร้องอีกเลย”“อันขอโทษค่ะ…”ภาวิชญ์กอด
ครีมหันมายิ้ม และจับมืออันตราด้วยความรู้สึกขอบคุณจากหัวใจ หากวันนั้นอันตราไม่ช่วยบริจาคเลือดให้ เค้กก็คงยังไม่พ้นขีดอันตรายจนถึงวันนี้ “เค้กคงดีใจ ที่อันอยากไปเยี่ยมเธอ ขอบคุณมากเลยนะคะ”“เอาไว้อันจะชวนพี่ภีมไปเยี่ยมเธอนะคะ”“จ้ะ”ห้องพักของภาวิชญ์“ไม่ไปหรอก พวกเราก็ช่วยไปเยอะแล้ว อันบริจาคเลือดให้ นั่นก็มากไปแล้วนะ ต้องไปเยี่ยมด้วยเหรอ”“อะไรกันคะ เห็นรีบร้อนไปช่วยขนาดนั้น นึกว่าเป็นห่วงเสียอีก”“ไม่ต้องมาประชดเลยนะ เดี๋ยวพี่หายแล้วจะโดนไม่ใช่น้อย”“ใครกลัวกันล่ะคะ ตอนนี้อย่าพึ่งปากดี กินข้าวก่อน”“ป้อนหน่อยสิ นะครับ”อันตราได้แต่ส่ายหน้า และเดินมาแกะชามข้าวที่พึ่งมาส่ง เธอกำลังป้อนข้าวเขา ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตะวัน มะปรางและเพื่อน ๆ ก็เดินเข้ามา จนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัว ภาวิชญ์เกือบสำลักเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ๆ “โอ้โหไอ้วิชญ์ ป่วยแค่นี้ถึงกับแดกข้าวเองไม่ได้ พวกมึงดู ๆ อ้อนฉิบหายเลยว่ะ”“ไอ้เวร! เงียบไปเลย มาทำอะไรกันเยอะแยะ”“โธ่ไอ้เพื่อนเวร! กูกับปรางเป็นคนพามึงมาส่งโรงพยาบาล ยังไม่สำนึกอีก มีหน้ามาถามว่ามาทำไม ปรางดูสิ มันด่าพี่”ตะวันหันไปฟ้องมะปราง อันตราได้แต่ก้มหน้า เ