LOGINตึกตัก
ฉันแอบใจเต้นให้กับคำพูดของโหนก่อนจะหลบสายตาเขาแล้วเดินขึ้นไปนั่งบนรถมอเตอร์ไซค์แต่โดยดี ตั้งแต่คบกันมาก็รู้สึกได้ว่าฉันไม่เคยตามโหนทันเลย เขาคิดอะไรอยู่ฉันก็ไม่รู้ เขาแอบรักฉันมาหลายปีฉันก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าฉันซื่อบื้อเกินไปหรือเพราะเขาซ่อนความในใจเนียนไป
เป็นครั้งแรกที่ฉันมองเขาเป็นมากกว่า... เพื่อน
แต่ไม่ได้เป็นคนรักหรืออะไรทั้งนั้นอ่ะ ก็แค่มองเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่คิดจะจีบฉัน
แค่นั้นจริงๆ นะ
“ว่าง่ายดีนะ” เขาฉีกยิ้มตอนที่เอาหมวกกันน็อคมาสวมศีรษะตัวเองบ้าง ท่าทางที่ดูเท่ดีไม่เหมาะกับโหนที่ฉันเคยมองเป็นแค่เพื่อนทำให้ฉันเผลอมองตาม ก่อนที่จะ “น่ารัก”
โอ้ย
ฉันหน้าร้อนวูบไปกับประโยคนั้น แล้วรีบเอาฝาหมวกกันน็อคปิดหน้าที่แดงก่ำของตัวเองเอาไว้ไม่ให้เขาเห็น
อะ ไอ้โหนบ้า
พอเห็นว่าฉันเมินไม่ยอมพูดอะไร โหนได้แต่ยิ้มมุมปาก เขาเดินมาตรงหน้าฉัน จ้องหน้าฉันผ่านหมวกกันน็อค แต่เชื่อเถอะ เขาจะไม่มีทางได้เห็นสีหน้าฉันแน่นอน ฉันจะไม่เปิดให้เขาดูเด็ดขาดว่าฉัน...!
หมับ
“... โหน!” ฉันร้องออกมา เมื่อแทนที่โหนที่เดินมาหยุดตรงหน้าฉันกับมอเตอร์ไซค์จะเดินไปคร่อมตรงที่นั่งหน้าคนขับ เขากลับกวาดขาข้ามที่นั่งข้างหลังฉันเพื่อซ้อนหลังฉันขับอีกที
“นั่งหน้าไม่ค่อยถนัด” เขาพูดหน้ามึนๆ พร้อมกับเอื้อมมือยาวๆ ไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ดังครืน เด็กแพทย์และคณะต่างๆ ที่เดินกันขวั่กไขว่ในมหาลัยเริ่มหันมาให้ความสนใจเราทั้งคู่ ประมาณว่าเป็นแฟนกันเหรอไง
มันจะไม่แปลกเลย ถ้าฉันไม่ได้เป็นดาวมหาลัยคณะแพทย์ ฮือ
“โหน นี่มันลวนลามเราชัดๆ ไปนั่งหน้าเลย!” ฉันกระซิบเสียงหนักกับเขาที่เริ่มเข้ามาแนบชิดอย่างอายๆ โหนหัวเราะลั่น
“ทุกคนมันเข้าใจตั้งนานแล้วว่าเราเป็นแฟนเธอ ก็ชูใจแม่งเรียกเรามารับส่งเธอบ่อยซะขนาดนั้นอ่ะ” เขาเอียงหน้ามาข้างแก้มฉัน “หรือไม่จริง?”
ฉันหน้าร้อนจนชา เพราะมันก็เป็นเรื่องจริง
แต่ตอนนั้นเพราะฉันไว้ใจเขา คิดว่าเขาเป็นเพื่อนที่ฉันเชื่อใจได้ต่างหาก
“... ก็ไม่คิดว่าจะไว้ใจไม่ได้แบบตอนนี้” ฉันพูดเสียงอ้อมแอ้ม และดูเหมือนโหนจะจุกกับคำพูดนั้น
“ก็ใช่ ถ้าหมายถึงเรื่องคืนนั้น” เขาโพล่งขึ้นมาเหมือนอ่านความคิดฉันได้ ขับรถออกไปจากรั้วมหาลัยราวกับรู้ว่าฉันอยากออกไปให้พ้นสายตาของทุกคนที่นี่
ฉันเงียบ เพราะฉันเองก็อยากรู้คำตอบ อยากรู้ว่าคืนนั้นเราไปถึงไหนกัน โหนได้ทำอะไรฉันลงไปมั้ย มันเป็นความรู้สึกสับสนมึนงงมากกว่า แต่มันไม่ได้อยากร้องไห้ฟูมฟาย เพราะยังไม่แน่ชัดว่าเราเป็นอะไรกันไปแล้ว
“แต่เรื่องคืนนั้น”
“...”
“เราจะรับผิดชอบเธอเอง”
ฉันเบิกตาโตออกมาทันทีหลังจากได้ยินประโยคนั้น
นั่นหรือว่าเขาจะ...
[พาร์ท : โหน]
เพราะผมใช้คำพูดคลุมเครือ ชูใจถึงได้โกรธผมเป็นฟืนเป็นไฟ
“โหนบ้า!” เธอตีหลังผมดังอั่กตอนที่เธอพยายามจะให้ผมหยุดรถเพราะเธอเข้าใจว่าผมพลั้งทำไรเธอไปจริงๆ พอผมไม่หยุดเธอเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากลงมือตี คำด่าของเธอไม่สะทกสะท้านหนังหน้าหนาๆ ของผม แต่แรงที่เธอตี แม่งก็ไม่ได้เจ็บ “โหนทำแบบนั้นลงได้ยังไง เราเป็นเพื่อนกันนะ แล้วชูใจก็บอกแล้วว่าชูใจยังไม่อยากทำอะไรกับใคร ถึงจะเป็นแฟน!”
แต่ก็แอบจุกดีเหมือนกัน
ผมทนให้เธอตี จนมาถึงหอพักเธอ ผมก็หยุดรถแล้วเบี่ยงตัวไปคว้าข้อมือเธอเอาไว้เพราะเริ่มแสบหลัง
“ฟังก่อนได้มั้ยวะ”
“ไม่อ่ะ นี่เหรอเพื่อนที่เราไว้ใจ โหนก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายคนอื่นที่หวังแค่จะมากินเรา!” ชูใจพูดคำว่ากินออกมาได้น่ารักมาก แต่ความโกรธผมกลบหมด ผมตั้งขาตั้งมอเตอร์ไซค์แล้วลงมา ก่อนที่จะดึงข้อมือเธอข้างนึง อีกมือรั้งเอวให้เธอลงตามมาจากรถ
“เหมือนผู้ชายคนอื่น?” ผมทวนคำ ก่อนที่จะแค่นหัวเราะ “พูดผิดพูดใหม่ได้นะชูใจ”
“...”
“เราไม่ได้เป็นเหมือนผู้ชายคนอื่นที่เธอเคยเจอ” ผมพูด ก่อนที่จะช้อนบั้นท้ายเธอขึ้นอุ้มในท่าแบกกระสอบทรายในทันที “แต่เราจะเป็นได้มากกว่าผู้ชายคนอื่นที่เธอเคยเจอ”
“โหน!”
ชูใจตีหลังผม ดีดตัวไปมาตอนที่ผมเดินเข้าไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่หน้าตึก ผมไม่ได้แคร์ ทั้งที่ใจกำลังจุกที่เธอคิดว่าผมแม่งก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ชายคนอื่น
ผมยกเธอเข้าลิฟต์ วางตัวชูใจลงบนพื้นลิฟต์
เธอตบหน้าผมทันที
“ไม่ชอบนะ โหนทำแบบนี้กับเรา” เธอพูดขึ้นมา น้ำตาคลอ หน้าแดงไปหมด เหมือนคนกำลังผิดหวังในตัวเพื่อนที่เธอเคยสนิทอย่างผม
ผมหันหน้ากลับไปมองเธอ แรงตบเธอมันไม่ได้แรงเลย แล้วนั่นก็ทำให้ผมแอบผิดหวังนิดๆ
“แค่หยอกเล่นเอง” ผมลูบหน้าตัวเอง ฉีกยิ้มออกมา “จริงๆ เรายั้งตัวเองไว้ได้”
ชูใจชะงักไป เมื่อมันไม่ได้เป็นแบบที่คิด
“... อะไรนะ”
“แค่อยากให้เธอตบเราสักทีอ่ะ ที่เราพลั้งมือเกือบทำไรเธอวันนั้น” ผมพิงหลังกับผนังลิฟต์ที่เป็นกระจก หันไปมองเธอตอนที่ล้วงกระเป๋ากางเกง “ไม่รู้ดิ เธอไม่ชอบถูกปะ”
“...”
“ก็แค่ไม่อยากเป็นผู้ชายที่เธอไม่ชอบ”
ประตูลิฟต์เปิดออกทันทีที่ผมพูดจบประโยคนั้น ผมเห็นชูใจมองผมอย่างอึ้งๆ ผมเลยเอียงคอส่งให้เธอเดินออกไปจากลิฟต์
“ถึงชั้นห้องเธอแล้ว”
“...”
“เรามารับพรุ่งนี้นะ” ผมสบตาเธอ ดันไหล่ชูใจให้ออกไปจากลิฟต์ตอนที่มันทำท่าว่าจะปิด ผมเลยกดเปิดไว้ให้เธอออกไปได้ ก่อนจะโบกมือลา “บาย ชูใจ”
ชูใจยืนมองผม พอเห็นว่าเธอเอาแต่มองผมก็กดปิดลิฟต์
แต่ก่อนที่มันจะปิด
“เดี๋ยวก่อน โหน!” ชูใจเอื้อมมือมากันประตูลิฟต์ไว้ แล้วมันเกือบหนีบมือเธอถ้าผมกดเปิดให้ไม่ทัน
“ทำบ้าอะไร...!” ผมเบิกตากว้าง เมื่อเธอเสือกตัวเข้ามาในลิฟต์ข้างๆ ผม ชูใจมองหน้าผม เธอเม้มปากแน่น
“ชะ... ช่วยเล่าให้เราฟังทีได้มั้ย” เธอโพล่งออกมาอย่างอายๆ ในขณะที่ผมอึ้งไปที่เธอนึกอยากฟังมันขึ้นมา
“...”
“คืนนั้น... โหนทำอะไรกับเราลงไปบ้างเหรอ?”
ผมไม่รู้ว่าชูใจคิดไรอยู่เลยว่ะ เอาจริงๆ
ผมเงียบไปนาน นานจนชูใจเริ่มตัวสั่นเพราะความประหม่า แววตาที่ผมมองเธอตอนนี้... มันไม่ใช่แววตาของไอ้โหนคนที่เป็นแค่เพื่อนเธออีกแล้ว
“แน่ใจเหรอ” ผมแค่นหัวเราะเบาๆ “ว่าเธออยากจะฟัง?”
เรานั่งอยู่ด้วยกันในห้องของชูใจ ผมนั่งอยู่ตรงเก้าอี้เขียนหนังสือของเธอ ประสานมือวางลงบนตักในขณะที่นั่งสั่นขายิกๆ อย่างเครียดๆ ในขณะที่ชูใจนั่งอยู่บนเตียง เธอจ้องมาที่ผมอย่างลุ้นฟังคำตอบ
หลังจากชูใจบอกว่า ใช่ เธออยากฟัง ผมก็ล้วงกระเป๋าเดินตามเธอไปที่ห้อง
ชูใจที่เชิญชวนผมเข้าห้อง ดูเหมือนเธอจะอยากรู้มันจริงๆ
“ถ้าเราเล่าเธอจะรับได้เหรอวะ” ชูใจกลืนน้ำลายลงคอ เธอสบตาผมตาปริบๆ
“ยะ... ยังไงก็ทำไปแล้วนี่ ใช่มั้ยล่ะ?” เธออึกอัก เหมือนกับใจกำลังสับสน “เราแค่อยากรู้เท่านั้นจริงๆ”
“เราจูบเธอก่อน” ผมพูดแทรกขึ้นมาโดยเลือกที่จะพูดออกมาให้ไว ให้ชัดที่สุดเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ขลาดอายไปมากกว่านี้ ชูใจสะดุ้งโหยง เธอเบิกตาโต ก่อนที่จะหน้าแดงก่ำเมื่อผมแค่นหัวเราะตอนที่เล่าต่ออย่างกระดาก “แล้วก็ผลักเธอลงเตียง แล้วก็จับหน้าอกเธอ แล้ว...”
“พอ!” เธอโพล่งขึ้นมา ยกมือขึ้นห้าม “พอเลยนะ น่าอายอ่ะ”
“ก็เราเมาทั้งคู่” ผมเองก็ลูบท้ายทอยตัวเองแรงๆ “เราเองก็ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน ก่อนที่จะทำไรลงไป”
“ละ” ชูใจไม่กล้าสบตาผม เธอถามคำถามต่อไปเหมือนเด็กๆ “แล้วได้... เห็นรึเปล่า”
“...”
“เห็นรึเปล่า หน้าอกของชูใจอ่ะ” เธอพูดพร้อมกับมุดหน้าลงกับมือตัวเอง ในขณะที่ผมเองก็กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก คำที่เธอแทนตัวว่าชูใจทำเอาผมอยากลงไปดิ้นตายซะเดี๋ยวนั้น
อะ อายชิบหาย
“... เห็นหมดเลย”
“อะ!” เธอหลุดครางเสียงดังนิดหน่อยเมื่อผมดูดดึงหน้าอกเธอผ่านผ้า ผมไม่อยากถอดอะไรในตัวเธอออก เพราะตอนนี้ถึงมันจะมืดมาก แต่ก็เป็นที่สาธารณะ แม้ว่าผมจะแทบทนไม่ไหวแล้วก็ตามผมดูดจนผ้าเธอเปียกน้ำลาย เห็นรอยยอดอกสีชมพูเข้มจางๆ ที่ดูเหมือนจะเข้มกว่าตอนที่เป็นแฟนกันเพราะเธอมีลูกแล้ว ผมจูบปากชูใจอย่างดูดดื่ม แลกลิ้นให้กัน ในขณะที่จะกัดปากเธอจนห้อเลือด“อื้อ โหน” เธอครางแล้วเริ่มจูบผมตอบกลับมา ผมถูกเธอผลักจนกึ่งนั่งกึ่งนอน ชูใจที่ถูกเลิกเสื้อจนเห็นชั้นในถอดเสื้อผ่าหลังออกทางศีรษะ แล้วขึ้นคร่อมผมอย่างใจกล้า “... จะไม่ให้ไปไหนแล้วนะ”เธอพูดแบบนั้น ผมจ้องหน้าเธอ เวลาผ่านไปเกือบปีชูใจเปลี่ยนไปขนาดนี้เชียวเหรอวะ ทั้งเซ็กซี่ ทั้งร้อน...“... อึก” ผมครางออกมาเบาๆ ในลำคอเมื่อถูกไล้ปลายนิ้วไปตามช่วงท้อง ชูใจเลิกเสื้อผมขึ้น ในขณะที่ใบหน้าจิ้มลิ้มก็เลื่อนมาดูดปากผมอย่างแนบแน่นเธอจูบเก่งจังวะ เคลิ้มเลยเนี่ย“อื้อ” แต่มือผมก็ไม่ปล่อยให้ว่าง ผมขยำหน้าอกเธอแรงๆ จนชูใจกระตุกนิดๆ เธอถูกผมต้อนจนมุมเหมือนอย่างเคย ในขณะที่ผมจะจงใจย้ำฝ่ามือลงหนักขึ้นแต่ใช่ เธอเองก็ร้ายใช่ย่อยมือเล็กๆ ของชูใจเลื่อนไปขยุ้มที่ใจกลาง
ฉันกลับมาแล้วล่ะจริงๆ ก็เพิ่งบินลงมาที่กรุงเทพเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี่เอง ฉันกลับมาพร้อมกับลูก อุ้มลูกบินข้ามน้ำข้ามทะเลจากญี่ปุ่นมาที่ไทย เพื่อกลับมาสู่ชีวิตเดิมๆ ที่เคยเป็นอยู่พ่อแม่ดูดีใจที่เห็นหลาน แม้ว่าเวลาเกือบปีจะทำให้พวกเขาแทบไม่ค่อยเปลี่ยนไปก็ตาม แต่ไม่ได้บังคับอะไรฉันมากมายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกอย่างตอนที่ฉันตัดสินใจบินไปที่ญี่ปุ่นกับพี่ชาย ฉันเข้าร่วมงานการ์ตูน ออกบู้ทมากมายเพื่อปรับปรุงฝีมือตัวเองที่ทิ้งหายไปนาน โดยมีพี่ชุนคอยดูแลบำรุงฉันที่ท้องโตขึ้นเรื่อยๆ อยู่เสมอฉันไม่ใช่นักวาดการ์ตูนที่ดังที่สุดในญี่ปุ่น แต่ก็พอมีคนรู้จักทั้งต่างประเทศ ญี่ปุ่น และประเทศไทย นามแฝงของฉันคือ ‘Peach’ฉันเริ่มทำงานด้วยการวาดสีน้ำขาย ก่อนที่จะปรับปรุงมาซื้ออุปกรณ์สำหรับวาดภาพในคอมพิวเตอร์ เม้าท์ปากกา โปรแกรมวาดรูปอะไรต่างๆ ที่ต้องซื้อมาอ้อ ฉันสักแบบมินิมอลเล็กๆ ตามจุดต่างๆ ของร่างกายด้วยนะ ขออนุญาตพี่ชายแล้วล่ะ มันก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน มุมมองของฉันที่เคยมีต่อคนสักเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลย ตั้งแต่มาคบกับโหน ฉันก็สนใจอะไรที่ตัวเองไม่ค่อยจะได้สัมผัสมากขึ้นอีกอย่างได้เรียนรู้แฟชั่นของญี่ปุ่
[พาร์ท : โหน]เป็นเกือบปีที่โคตรทรมานใช้ได้ถามว่าทำไมก็ตั้งแต่ที่ไปเคลียร์กับไอ้ลูกโชนวันนั้น มันก็ถอนหมั้นชูใจทันที แต่สาเหตุก็คงเพราะชูใจยังตั้งท้องกับผม ผมไม่รู้ว่ามันได้สารภาพเรื่องที่มันคบซ้อนหรือไม่ แต่ผมไม่สนเท่าไหร่ ขอแค่มันถอนหมั้นก็เป็นพอจะบอกว่าลูกทำให้ผมมีแรงผลักดันโง่ๆ ในเฮือกสุดท้ายก็ได้ และแม่งก็คงโง่จริงๆ เพราะหลังจากที่พ่อแม่เรียกชูใจมาคุยเรื่องที่ไอ้ลูกโชนถอนหมั้น ชูใจก็ตัดสินใจกลับต่างประเทศไปกับพี่ชายเธอ เห็นสายเพื่อนผมมันบอกมาว่าเธอจะอยู่ที่นั่นเป็นปีๆ จนกว่าจะคลอดลูก... ไม่รู้เธอจะกลับมาอีกมั้ยผมกระดกเหล้าลงคอ หลังจากวันนั้นก็ขอมาทำงานในร้านเหล้ากับพ่อ ทำมาได้เกินเกือบปีแล้วว่ะ แต่เป็นเกือบปีที่ผ่านไปได้อย่างยากลำบากผมไม่ได้เหนื่อยกับการรอคนที่ผมรัก เพราะตอนที่แอบรักเธอตอนสมัยเรียน ผมก็ทนมันได้เป็นปีๆแต่ความคิดถึงนี่ดิ มันผ่านยากมากว่ะผมนั่งคิดถึงเธอทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเวลาทำงาน เวลานอน ทุกวินาทีลมหายใจผมมีแต่ชูใจคนเดียวเท่านั้น ผมตัดสินใจเลิกยุ่งกับใครๆ เพราะผมจะกลับมาหาเธออย่างเด็ดขาดแต่เธอหายไปในที่ที่ไกลเกินเอื้อมถึง เอาตรงๆ ก็ไม่มีเงินตามเธอไปด้วย ไม
ผมมาดักรอไอ้ลูกโชนที่ร้านเหล้าเดิมๆ มาเพื่อจะคุยกับมัน เพราะถ้ามันยังคิดจะยื้อชูใจไว้ต่อไป ผมก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกันผมเห็นว่ามันโอบเอวแฟนตัวจริงมาด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่ผมค่อนข้างไม่คุ้นตา เธอสวย แต่คงไม่เท่าชูใจของกูผมยืนดูดบุหรี่รอ พวกมันเดินไปเต้นที่โต๊ะด้วยกัน ท่าทางกระหนุงกระหนิงทำให้ผมรู้สึกเดือดดาล เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากต่อยหน้ามันให้เละ แม้ว่าจากที่เคยสืบมา ตัวผมเองคงสู้กำลังมันไม่ได้ก็ตามจนมันย้ายมานัวเนียกันตรงจุดเดิม ผมเลยถือวิสาสะเดินไปขัด“ไอ้ลูกโชน” มันผละปากจากซอกคอของผู้หญิง ก่อนที่จะเลิกคิ้วมองผม ดูเหมือนไอ้ลูกโชนจะเมา“เหี้ยไร? มึงเป็นใคร” ผู้หญิงมองผมอย่างหวาดกลัว ผมแค่นหัวเราะที่มันเมามายจนจำหน้าผมไม่ได้ ก่อนที่จะผลักตัวหนาๆ ของมันจนเซไปทีนึง เพราะไอ้เวรนี่เมามากจนไม่มีสมรรถภาพจะพยุงร่างตัวเองได้เลย“กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“...”“ตัวต่อตัว”“มึงมีไรจะคุยกับกูวะไอ้ขี้ก้าง” ไอ้ลูกโชนพูดอย่างเหยียดหยาม มันมองหน้าผมที่จ้องหน้ามันกลับไปอย่างแน่วแน่ ผมเองก็พร้อมเหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าสุดท้ายผมอาจจะสู้มันไม่ได้ก็ตาม“เรื่องชูใจ” ผมตอบไปสั้นๆ มันแค่นหัวเราะทันที“
“เราทนใช้ชีวิตที่ไม่มีเธอไม่ได้ว่ะ” ผมกัดฟันแน่น เขย่าไหล่เธอเบาๆ อย่างออมแรง “ทั้งชูใจ ทั้งลูก เราต้องมีมันจริงๆ”“...”“ถ้าไปไม่ไหว ก็ขอให้คิดใหม่” ชูใจที่สบตาผมในระยะใกล้ ดวงตากลมโตของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา เธอมองหน้าผม ก่อนที่จะเม้มริมฝีปากแน่นและก่อนที่เธอจะได้อ้าปากตอบอะไรกลับมา ความใจร้อนของผมที่อยากได้เธอกลับมาก็ทำให้ผมเลื่อนหน้าเข้าไปจูบเธอหนักๆ ปากที่นุ่มละมุนของชูใจทำให้ผมกุมใบหน้าเธอไว้ ก้มหน้าลงอีกเมื่อรู้ตัวว่าตอนนี้ความสูงเรามันต่างกันเกินไปชูใจพยายามดันอกผมออก ทึ้งเสื้อผมจนมันยับ เธอพยายามดิ้นรนทุกทางที่จะทำให้เธอไม่ทรยศต่อความรักของไอ้ลูกโชน แต่ผมรู้ดี ความรักของแม่งมันเป็นของปลอมทั้งเพถ้าเธอยังเชื่อไอ้เหี้ยนั่นที่มันตอแหลสร้างภาพมาว่ารักหลงเธอนักหนาแบบนั้นลง ผมก็ขอยอมเป็นคนเลวซะดีกว่า ที่จะต้องพยายามทำให้เธอท้องอีกทีในคืนนี้สติผมเลือนราง พอๆ กับแรงผลักไสของชูใจที่เริ่มอ่อนลง ผมไล้ปากของผมไปตามปากเล็กๆ ของเธอ กัดปากล่างของร่างเล็กแล้วช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มตัวชูใจเล็กแถมเบาหวิว จนสงสัยว่าหลังจากเลิกกันเธอได้กินอะไรลงบ้างมั้ย ผมลืมตามองเธอระหว่างที่กำลังจูบซับน้ำตาให้เธอตอ
แกรกฉันรีบเปิดประตูออกไปอย่างลืมตัว ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ฉันเห็นว่าเป็นโหนในลุคที่ดูต่างไปจากเคย เกือบเดือนที่ไม่ได้เจอกัน เขาเปลี่ยนแปลงทั้งสีผม รอยสักที่เพิ่มมากขึ้น และการแต่งตัวโหนที่ยืนจ้องหน้าฉันอยู่ที่หน้าประตู ฉันจ้องตาเขากลับไปเช่นกันแต่สิ่งที่ปรากฏในแววตาของเขา ฉันเห็นว่ามันเต็มไปด้วยความ... โหยหา?“... มาทำไมเหรอ” ฉันถามยิ้มๆ พยายามทำตัวเป็นปกติที่สุดกับเขา ยังไงก็ยังอยากเป็นเพื่อนเขาอยู่นะ ถึงเขาจะเริ่มต้นใหม่ไปแล้วก็ตามฉันคงเหมือนผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่ง ที่ผลักเขาออกไป ทำเหมือนโกรธเขาซะมากมาย แต่สุดท้ายก็โกรธไม่ลง แถมยังขาดเขาไม่ได้อยู่แบบนี้อีกโหนมองหน้าฉัน เขาฉีกยิ้มบางๆ กลับมา“คิดถึงเฉยๆ”“...!”“ผิดมั้ย ถ้ายังคิดถึงเธอ”ฉันนิ่งค้างไป นึกคำพูดออกมาไม่ได้เลย กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวเขาบ่งบอกว่าโหนคงจะเมา เพราะเขาเมาใช่มั้ย... เขาถึงมาที่นี่แต่ก็เพราะเมาอีกนั่นล่ะ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลย“ผิดสิ” ฉันตอบกลับไป ทั้งๆ ที่ในใจสั่นไหวจนแทบบ้า นี่มันผ่านไปกี่วันแล้วนะ ที่ฉันไม่ได้ยินคำนี้จากเขา “เรามีแฟนแล้วนะ โหนก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน”“...”“ถ้าแฟนโหนรู้ว่าโหนมาหาเรา...







