ตึกตัก
ฉันแอบใจเต้นให้กับคำพูดของโหนก่อนจะหลบสายตาเขาแล้วเดินขึ้นไปนั่งบนรถมอเตอร์ไซค์แต่โดยดี ตั้งแต่คบกันมาก็รู้สึกได้ว่าฉันไม่เคยตามโหนทันเลย เขาคิดอะไรอยู่ฉันก็ไม่รู้ เขาแอบรักฉันมาหลายปีฉันก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าฉันซื่อบื้อเกินไปหรือเพราะเขาซ่อนความในใจเนียนไป
เป็นครั้งแรกที่ฉันมองเขาเป็นมากกว่า... เพื่อน
แต่ไม่ได้เป็นคนรักหรืออะไรทั้งนั้นอ่ะ ก็แค่มองเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่คิดจะจีบฉัน
แค่นั้นจริงๆ นะ
“ว่าง่ายดีนะ” เขาฉีกยิ้มตอนที่เอาหมวกกันน็อคมาสวมศีรษะตัวเองบ้าง ท่าทางที่ดูเท่ดีไม่เหมาะกับโหนที่ฉันเคยมองเป็นแค่เพื่อนทำให้ฉันเผลอมองตาม ก่อนที่จะ “น่ารัก”
โอ้ย
ฉันหน้าร้อนวูบไปกับประโยคนั้น แล้วรีบเอาฝาหมวกกันน็อคปิดหน้าที่แดงก่ำของตัวเองเอาไว้ไม่ให้เขาเห็น
อะ ไอ้โหนบ้า
พอเห็นว่าฉันเมินไม่ยอมพูดอะไร โหนได้แต่ยิ้มมุมปาก เขาเดินมาตรงหน้าฉัน จ้องหน้าฉันผ่านหมวกกันน็อค แต่เชื่อเถอะ เขาจะไม่มีทางได้เห็นสีหน้าฉันแน่นอน ฉันจะไม่เปิดให้เขาดูเด็ดขาดว่าฉัน...!
หมับ
“... โหน!” ฉันร้องออกมา เมื่อแทนที่โหนที่เดินมาหยุดตรงหน้าฉันกับมอเตอร์ไซค์จะเดินไปคร่อมตรงที่นั่งหน้าคนขับ เขากลับกวาดขาข้ามที่นั่งข้างหลังฉันเพื่อซ้อนหลังฉันขับอีกที
“นั่งหน้าไม่ค่อยถนัด” เขาพูดหน้ามึนๆ พร้อมกับเอื้อมมือยาวๆ ไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ดังครืน เด็กแพทย์และคณะต่างๆ ที่เดินกันขวั่กไขว่ในมหาลัยเริ่มหันมาให้ความสนใจเราทั้งคู่ ประมาณว่าเป็นแฟนกันเหรอไง
มันจะไม่แปลกเลย ถ้าฉันไม่ได้เป็นดาวมหาลัยคณะแพทย์ ฮือ
“โหน นี่มันลวนลามเราชัดๆ ไปนั่งหน้าเลย!” ฉันกระซิบเสียงหนักกับเขาที่เริ่มเข้ามาแนบชิดอย่างอายๆ โหนหัวเราะลั่น
“ทุกคนมันเข้าใจตั้งนานแล้วว่าเราเป็นแฟนเธอ ก็ชูใจแม่งเรียกเรามารับส่งเธอบ่อยซะขนาดนั้นอ่ะ” เขาเอียงหน้ามาข้างแก้มฉัน “หรือไม่จริง?”
ฉันหน้าร้อนจนชา เพราะมันก็เป็นเรื่องจริง
แต่ตอนนั้นเพราะฉันไว้ใจเขา คิดว่าเขาเป็นเพื่อนที่ฉันเชื่อใจได้ต่างหาก
“... ก็ไม่คิดว่าจะไว้ใจไม่ได้แบบตอนนี้” ฉันพูดเสียงอ้อมแอ้ม และดูเหมือนโหนจะจุกกับคำพูดนั้น
“ก็ใช่ ถ้าหมายถึงเรื่องคืนนั้น” เขาโพล่งขึ้นมาเหมือนอ่านความคิดฉันได้ ขับรถออกไปจากรั้วมหาลัยราวกับรู้ว่าฉันอยากออกไปให้พ้นสายตาของทุกคนที่นี่
ฉันเงียบ เพราะฉันเองก็อยากรู้คำตอบ อยากรู้ว่าคืนนั้นเราไปถึงไหนกัน โหนได้ทำอะไรฉันลงไปมั้ย มันเป็นความรู้สึกสับสนมึนงงมากกว่า แต่มันไม่ได้อยากร้องไห้ฟูมฟาย เพราะยังไม่แน่ชัดว่าเราเป็นอะไรกันไปแล้ว
“แต่เรื่องคืนนั้น”
“...”
“เราจะรับผิดชอบเธอเอง”
ฉันเบิกตาโตออกมาทันทีหลังจากได้ยินประโยคนั้น
นั่นหรือว่าเขาจะ...
[พาร์ท : โหน]
เพราะผมใช้คำพูดคลุมเครือ ชูใจถึงได้โกรธผมเป็นฟืนเป็นไฟ
“โหนบ้า!” เธอตีหลังผมดังอั่กตอนที่เธอพยายามจะให้ผมหยุดรถเพราะเธอเข้าใจว่าผมพลั้งทำไรเธอไปจริงๆ พอผมไม่หยุดเธอเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากลงมือตี คำด่าของเธอไม่สะทกสะท้านหนังหน้าหนาๆ ของผม แต่แรงที่เธอตี แม่งก็ไม่ได้เจ็บ “โหนทำแบบนั้นลงได้ยังไง เราเป็นเพื่อนกันนะ แล้วชูใจก็บอกแล้วว่าชูใจยังไม่อยากทำอะไรกับใคร ถึงจะเป็นแฟน!”
แต่ก็แอบจุกดีเหมือนกัน
ผมทนให้เธอตี จนมาถึงหอพักเธอ ผมก็หยุดรถแล้วเบี่ยงตัวไปคว้าข้อมือเธอเอาไว้เพราะเริ่มแสบหลัง
“ฟังก่อนได้มั้ยวะ”
“ไม่อ่ะ นี่เหรอเพื่อนที่เราไว้ใจ โหนก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายคนอื่นที่หวังแค่จะมากินเรา!” ชูใจพูดคำว่ากินออกมาได้น่ารักมาก แต่ความโกรธผมกลบหมด ผมตั้งขาตั้งมอเตอร์ไซค์แล้วลงมา ก่อนที่จะดึงข้อมือเธอข้างนึง อีกมือรั้งเอวให้เธอลงตามมาจากรถ
“เหมือนผู้ชายคนอื่น?” ผมทวนคำ ก่อนที่จะแค่นหัวเราะ “พูดผิดพูดใหม่ได้นะชูใจ”
“...”
“เราไม่ได้เป็นเหมือนผู้ชายคนอื่นที่เธอเคยเจอ” ผมพูด ก่อนที่จะช้อนบั้นท้ายเธอขึ้นอุ้มในท่าแบกกระสอบทรายในทันที “แต่เราจะเป็นได้มากกว่าผู้ชายคนอื่นที่เธอเคยเจอ”
“โหน!”
ชูใจตีหลังผม ดีดตัวไปมาตอนที่ผมเดินเข้าไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่หน้าตึก ผมไม่ได้แคร์ ทั้งที่ใจกำลังจุกที่เธอคิดว่าผมแม่งก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ชายคนอื่น
ผมยกเธอเข้าลิฟต์ วางตัวชูใจลงบนพื้นลิฟต์
เธอตบหน้าผมทันที
“ไม่ชอบนะ โหนทำแบบนี้กับเรา” เธอพูดขึ้นมา น้ำตาคลอ หน้าแดงไปหมด เหมือนคนกำลังผิดหวังในตัวเพื่อนที่เธอเคยสนิทอย่างผม
ผมหันหน้ากลับไปมองเธอ แรงตบเธอมันไม่ได้แรงเลย แล้วนั่นก็ทำให้ผมแอบผิดหวังนิดๆ
“แค่หยอกเล่นเอง” ผมลูบหน้าตัวเอง ฉีกยิ้มออกมา “จริงๆ เรายั้งตัวเองไว้ได้”
ชูใจชะงักไป เมื่อมันไม่ได้เป็นแบบที่คิด
“... อะไรนะ”
“แค่อยากให้เธอตบเราสักทีอ่ะ ที่เราพลั้งมือเกือบทำไรเธอวันนั้น” ผมพิงหลังกับผนังลิฟต์ที่เป็นกระจก หันไปมองเธอตอนที่ล้วงกระเป๋ากางเกง “ไม่รู้ดิ เธอไม่ชอบถูกปะ”
“...”
“ก็แค่ไม่อยากเป็นผู้ชายที่เธอไม่ชอบ”
ประตูลิฟต์เปิดออกทันทีที่ผมพูดจบประโยคนั้น ผมเห็นชูใจมองผมอย่างอึ้งๆ ผมเลยเอียงคอส่งให้เธอเดินออกไปจากลิฟต์
“ถึงชั้นห้องเธอแล้ว”
“...”
“เรามารับพรุ่งนี้นะ” ผมสบตาเธอ ดันไหล่ชูใจให้ออกไปจากลิฟต์ตอนที่มันทำท่าว่าจะปิด ผมเลยกดเปิดไว้ให้เธอออกไปได้ ก่อนจะโบกมือลา “บาย ชูใจ”
ชูใจยืนมองผม พอเห็นว่าเธอเอาแต่มองผมก็กดปิดลิฟต์
แต่ก่อนที่มันจะปิด
“เดี๋ยวก่อน โหน!” ชูใจเอื้อมมือมากันประตูลิฟต์ไว้ แล้วมันเกือบหนีบมือเธอถ้าผมกดเปิดให้ไม่ทัน
“ทำบ้าอะไร...!” ผมเบิกตากว้าง เมื่อเธอเสือกตัวเข้ามาในลิฟต์ข้างๆ ผม ชูใจมองหน้าผม เธอเม้มปากแน่น
“ชะ... ช่วยเล่าให้เราฟังทีได้มั้ย” เธอโพล่งออกมาอย่างอายๆ ในขณะที่ผมอึ้งไปที่เธอนึกอยากฟังมันขึ้นมา
“...”
“คืนนั้น... โหนทำอะไรกับเราลงไปบ้างเหรอ?”
ผมไม่รู้ว่าชูใจคิดไรอยู่เลยว่ะ เอาจริงๆ
ผมเงียบไปนาน นานจนชูใจเริ่มตัวสั่นเพราะความประหม่า แววตาที่ผมมองเธอตอนนี้... มันไม่ใช่แววตาของไอ้โหนคนที่เป็นแค่เพื่อนเธออีกแล้ว
“แน่ใจเหรอ” ผมแค่นหัวเราะเบาๆ “ว่าเธออยากจะฟัง?”
เรานั่งอยู่ด้วยกันในห้องของชูใจ ผมนั่งอยู่ตรงเก้าอี้เขียนหนังสือของเธอ ประสานมือวางลงบนตักในขณะที่นั่งสั่นขายิกๆ อย่างเครียดๆ ในขณะที่ชูใจนั่งอยู่บนเตียง เธอจ้องมาที่ผมอย่างลุ้นฟังคำตอบ
หลังจากชูใจบอกว่า ใช่ เธออยากฟัง ผมก็ล้วงกระเป๋าเดินตามเธอไปที่ห้อง
ชูใจที่เชิญชวนผมเข้าห้อง ดูเหมือนเธอจะอยากรู้มันจริงๆ
“ถ้าเราเล่าเธอจะรับได้เหรอวะ” ชูใจกลืนน้ำลายลงคอ เธอสบตาผมตาปริบๆ
“ยะ... ยังไงก็ทำไปแล้วนี่ ใช่มั้ยล่ะ?” เธออึกอัก เหมือนกับใจกำลังสับสน “เราแค่อยากรู้เท่านั้นจริงๆ”
“เราจูบเธอก่อน” ผมพูดแทรกขึ้นมาโดยเลือกที่จะพูดออกมาให้ไว ให้ชัดที่สุดเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ขลาดอายไปมากกว่านี้ ชูใจสะดุ้งโหยง เธอเบิกตาโต ก่อนที่จะหน้าแดงก่ำเมื่อผมแค่นหัวเราะตอนที่เล่าต่ออย่างกระดาก “แล้วก็ผลักเธอลงเตียง แล้วก็จับหน้าอกเธอ แล้ว...”
“พอ!” เธอโพล่งขึ้นมา ยกมือขึ้นห้าม “พอเลยนะ น่าอายอ่ะ”
“ก็เราเมาทั้งคู่” ผมเองก็ลูบท้ายทอยตัวเองแรงๆ “เราเองก็ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน ก่อนที่จะทำไรลงไป”
“ละ” ชูใจไม่กล้าสบตาผม เธอถามคำถามต่อไปเหมือนเด็กๆ “แล้วได้... เห็นรึเปล่า”
“...”
“เห็นรึเปล่า หน้าอกของชูใจอ่ะ” เธอพูดพร้อมกับมุดหน้าลงกับมือตัวเอง ในขณะที่ผมเองก็กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก คำที่เธอแทนตัวว่าชูใจทำเอาผมอยากลงไปดิ้นตายซะเดี๋ยวนั้น
อะ อายชิบหาย
“... เห็นหมดเลย”
[พาร์ท : โหน]รู้สึกแปลกๆ นะว่ามั้ยรู้สึกเหมือนวันนี้ชูใจอ้อนผมแปลกๆ“ยังไม่ได้ถูสบู่ตรงนี้ให้เค้าเลย” เธอพูดตอนที่ยื่นแขนมาต่อหน้าผมที่เปลือยล่อนจ้อน สายตาผมไม่ได้มองไปที่แขนเธอ แต่มองต่ำกว่านั้น “โหน”“วันนี้เป็นอะไรรึเปล่าวะชูใจ” ผมถามเธอตอนที่ถูกดึงสติ ตอนนั้นคว้าแขนเธอขึ้นมาถูสบู่เรียบๆ ปกปิดความคิดเหี้ยๆ ของตัวเอง “อาบน้ำเองไม่ได้เหรอ ต้องให้เค้าอาบให้อ่ะ”“ทายดูสิ” ใบหน้าเล็กทำหน้าทะเล้นออกมา“ดูดนม?” ผมเลิกคิ้วถามโดยไม่ต้องคิด เธอหน้าตึงขึ้นมาทันที ผมเลยแค่นหัวเราะออกมา “ชอบให้ดูดนมจริงๆ ว่ะเธออ่ะ ไอ้ทะลึ่ง”ชูใจสาดน้ำใส่ตัวผมทันที“ไม่ใช่นะ!” เธอโวยวาย “ก็แบบว่า... วันนี้โหนจะค้างที่นี่รึเปล่า”“...” ผมชะงักไป เมื่อสบตาเธอแล้วก็เห็นว่ามันสื่อออกมาอย่างชัดเจน“ก็ถ้าจะค้างที่นี่... เผื่อเราจะได้ช่วยติวหนังสือให้ไง”เวรเอ้ยตั้งแต่ประโยคนั้นก็ทำใจให้มองเธอเป็นผู้หญิงใสซื่อไม่ได้อีกเลย นี่ผมแม่งไปปลุกอะไรในตัวชูใจเข้าวะ หรือเพราะเธอรู้สึกอะไรกับผม เธอถึงได้ยั่วใจผมได้ขนาดนี้ผมกุมใจที่เต้นแรงอยู่ในอก แม่งเต้นตั้งแต่ได้เห็นตัวเธอที่เปลือยด้วยกันในห้องน้ำ แต่ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ
“ค่ะแม่ หนูจะตั้งใจสอบค่ะ แต่หนูยังไม่มั่นใจว่าสอบครั้งนี้หนูจะได้มากน้อยแค่ไหน แต่หนูจะพยายามนะคะ”ติ๊ดฉันถอนหายใจหลังจากวางโทรศัพท์จากแม่ รู้สึกไม่ค่อยดีตั้งแต่เช้าเพราะว่ามันใกล้จะสอบแล้ว ฉันทบทวนหนังสือน้อยกว่าทุกวันเพราะช่วงนี้เอาแต่นอนเพราะความเพลีย มันเครียดๆ จนเพลียไปหมด ไม่อยากทำอะไรเลยฉันอยากเลิกเรียนหมอ แต่ไม่สามารถทำได้จริงๆ เพราะว่าไม่มีความกล้าพอที่จะเดินไปบอกพ่อกับแม่ว่าฉันอยากทำอะไรกันแน่“เฮ้อ” ฉันพ่นลมหายใจตอนที่กดโทรศัพท์เปิดดูหน้าไทม์ไลน์ของโหน ตั้งแต่วันนั้นที่เราทำอะไรกันมากมาย ถึงจะไม่ได้ถึงขั้นกลายเป็นของเขา แต่ฉันกลับรู้สึกคิดถึงโหนบ่อยขึ้นฉันส่องหน้าเฟสโหนตลอดถ้ามีโอกาส รู้สึกว่าโหนเริ่มลงรูปตัวเองในบางครั้ง แล้วก็มีผู้หญิงมาเม้นท์แซวและใช่ ฉันไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่... ฉันก็ไม่อยากงี่เง่าใส่เขาเลย สองอาทิตย์ที่ผ่านมาดูโหนเครียดๆ แถมยังไม่ค่อยให้ฉันตามไปคุมที่ร้านเหล้าเวลาเขาไปสังสรรค์กับเพื่อน เขาอ้างมาว่ามีปัญหากับเพื่อน ไม่อยากให้ฉันไปเห็นบรรยากาศมาคุก็ไม่รู้เนอะว่าเพื่อนคนไหน แต่ก็แอบเป็นห่วงนะติ๊งฉันชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนว่ามีคนทักมาในแช
“มึงคิดไงแดกน้ำผลไม้เนี่ย”ผมเงยหน้าขึ้นมาจากกล่องน้ำทิปโก้มองไปทางไอ้พัน มันนั่งดูดบุหรี่อยู่อีกทางนึง หลังจากค้างที่ห้องชูใจ วันต่อมาพอตื่นมาอาบน้ำกับเธอ (ก็เคยเห็นกันแล้วปะ) ไปส่งเธอที่มหาลัย ผมก็มานั่งที่ร้านเหล้าประจำเพราะพวกไอ้พันเรียก มันทักมาในแชทเฟสว่าจะชวนมาแดกเหล้าแต่... ก็อย่างว่า ผมจำได้ดีว่าเมื่อวานชูใจบอกว่าน้ำผมมันคาวแต่บอกให้พวกมันฟังไม่ได้“กูเบื่อเบลนด์” ผมตอบส่งๆ ตอนที่กระดกน้ำส้มลงคอ“เบื่อเหี้ยไร เห็นแดกอยู่ทุกวันกับพวกกู อยู่ดีๆ จะมาเบื่อได้ไงถ้าไม่มีเรื่อง” เพื่อนวิทยาลัยช่างที่แซวเรื่องสีหัวตอนนั้นผมโพล่งขึ้นมา มันคงไม่สบอารมณ์ที่คนคอแข็งอย่างผมพลาดการดวลกับมันในคืนนี้ เพราะนอกจากผมที่คอแข็งที่สุดในรุ่น ก็มีมันนี่แหละว่ะ เราเลยดวลคอทองแดงกันบ่อยๆ“บอกพวกมึงไปไม่ได้เหี้ยไรหรอก” ผมพูดแล้วใช้ไม้จิ้มสัปปะรดขึ้นมาเอาเข้าปากแล้วเคี้ยวลงคอ ก็เคยได้ยินกันว่าสัปปะรดเป็นผลไม้ที่ทำให้น้ำมันหวาน ไม่คาว ผมก็ซื้อมาแดกดิ ถูกปะ “สัปปะรดเปรี้ยวชิบหาย มึงไปซื้อมาจากร้านไหนวะ”“กูชวนมึงมาแดกเหล้าไอ้โหน ไม่ใช่มานั่งแดกผลไม้” ไอ้พันพูดแล้วพ่นควันบุหรี่ออกมา มันเป็นคนไปซื้อสัปปะร
ปะ... ปวดฉี่ฉันคิดในใจตอนที่โหนดูดดึงยอดอกแล้วปล่อยมันออกจนฉันกระตุกแรงๆ เพราะความเสียวซ่าน โหนไล้ริมฝีปากขึ้นมาที่คอฉัน เขาทำอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันช่างแบบ... จั๊กจี้มากเลยจั๊กจี้สุดๆ เลย แล้วก็แสบนิดๆ ด้วย“อื้อ” ฉันโดนโหนครอบครองริมฝีปากอย่างหนักหน่วง เขาเหมือนจะเขิน จะประหม่า แต่สิ่งที่เขาทำให้ฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากๆมือของโหนไล้ไปตามหน้าท้องของฉัน ก่อนที่จะเลื่อนมาที่ด้านหลัง ลูบไล้แผ่นหลังที่เปลือยเปล่า แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเขาทำอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังมันดัง กริ้กฉันรู้สึกเย็นวาบที่ใต้หน้าอกเมื่อเขารั้งมือที่วางอยู่บนแผ่นหลังเล็กๆ ของฉันให้ฉันหยัดกายขึ้นนั่ง ก่อนที่เขาจะกระซิบให้ฉันชูมือขึ้น ฉันยกมือขึ้นอย่างขลาดอาย ในขณะที่โหนจะถอดเสื้อฉันออกทางศีรษะพร้อมกับชั้นในสีฟ้าน้ำทะเล เขาโยนทิ้งไปที่พื้นข้างล่างอย่างไม่ใส่ใจนัก“อื้อ... ดูดอีกสิ” ฉันเผลออ้อนวอนออกไปอย่างลืมตัว เพราะชอบเวลาที่ลิ้นและปากอุ่นๆ ของเขาแตะลงที่จุดอ่อนไหวสีชมพูหวาน มันเสียวจนลืมตัวเลยโหนที่มีสีหน้าเหมือนเขากำลังควบคุมตัวเองอยู่เงยหน้าขึ้นสบตาฉัน แววตาของเขาแสดงออกว่าเขาจะทนไม่ไหว ฉั
ไม่รู้ยังไง สุดท้ายเราก็มานั่งดูหนังอย่างว่าด้วยกันในห้องนอนของชูใจ... สองต่อสองเลยผมกลัวใจตัวเองว่ะ ตอนนี้กำลังจะเปิดหนัง AV ที่ผมดูประจำเพราะนางเอกหนังคล้ายชูใจ ร่างเล็กนั่งหน้าแดงจัดอยู่บนเตียงตอนที่ผมยกโน๊ตบุ้คเธอมาตั้งไว้บนพื้นเตียง ซิงค์โทรศัพท์เข้าดูประวัติการเข้าชมที่ผมเคยเข้าไปดู“... โหนทะลึ่ง” ชูใจพึมพำเสียงเบา ผมเองก็อายดิ ไม่อายได้ไง ปกติเคยทำอะไรทำนองนี้กับชูใจที่ไหน ก่อนหน้านี้ใครจะเชื่อว่าเราเป็นเพื่อนกันเออ ก็เคยนี่หว่าครั้งนั้นไง ที่เราเมาเบียร์กันทั้งคู่แล้วผมเผลอ... ช่างเหอะหนังเริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ เพราะผมเคยดูแล้วถึงได้แต่นั่งท้าวคางมองเฉยๆ ในขณะที่เหลือบไปสังเกตการณ์อาการของชูใจ แล้วก็เห็นว่าเธอนั่งตัวเกร็ง หน้าซีดจัดไอ้แก่พุงพลุ้ยเริ่มนัวเนียสาวญี่ปุ่นที่อยู่ในหนัง ถอดชั้นในเธอออกจนโนบรา ยอดอกสีชมพูโผล่ออกมาในขณะที่มันเริ่มดูดอย่างกระหาย ผมรู้สึกสยิวนิดๆ ตรงหว่างขา ในขณะที่เหลือบไปมองคนข้างๆ บ้างผมเห็นชูใจกัดปากตัวเอง อาการเธอเปลี่ยนไปพอเจอฉากนี้ ในขณะที่ผมก็นึกขึ้นได้ ตอนที่เมาเบียร์แล้วเผลอลวนลามเธอครั้งแรกเรื่องที่ว่าเธอชอบ... ให้ผมดูดนมให้ ใช่ปะนึกแ
สถานการณ์ระหว่างเราเริ่มตกอยู่ในความกระอั่กกระอ่วนนั่นก็เพราะหลังจากที่โหนคว้ามือฉันมาจับเป้ากางเกงของเขา ฉันก็กรี๊ดลั่นออกมาอย่างอับอายแล้วตบหน้าเขา พร้อมกับปิดประตูใส่หน้าเขาเสียงดังอีกด้วย“ก็ช่วยทำให้มันเบาลงหน่อยเหอะ เราตื่นเต้นนะ”ไอ้โหนบ้า!ที่บอกว่าอยากท้องก็แค่หลุดปากพูดออกไปเพราะเมามาก แต่ไม่ได้พร้อมจะโดนทำแบบนั้นจริงๆ หรอกนะฉันอ่ะ มีปมใหญ่เกี่ยวกับครอบครัวอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่เป็นหมอทั้งคู่ พี่ชายพี่สาวก็เรียนหมอ จบหมอออกมาหมด เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่พอลูกสาวคนสุดท้องอย่างฉันเกิดมาแล้ว พ่อกับแม่จะกวดขันเรื่องเรียนมากๆ และคาดหวังว่าฉันจะต้องจบมาเป็นหมอตามวงศ์ตระกูลตั้งแต่รุ่นทวดแต่เชื่อมั้ย จริงๆ อ่ะฉันชอบวาดรูป แต่พ่อกับแม่ไม่สนับสนุนอย่างแรง เพราะมันดูเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินกว่าจะเอามาทำเป็นอาชีพได้ฉันเคยคิดอยากหลุดพ้นจากความกดดันของพวกเขา แต่ทำไม่เคยได้ ด้วยนิสัยชอบตามใจพ่อแม่ของฉันด้วย ท่านอยากให้ทำอะไรฉันก็ทำ อยากให้เดินไปทางไหนฉันก็ไปเฮ้อ มันสะสมจนกดดันสุดๆ ตอนสอบฉันก็มีโรคประจำตัว คือคลื่นไส้อยากอ้วกทุกครั้งที่สอบเสร็จโหนรู้เรื่องพ่อแม่ฉันดีนะ แต่โ