เข้าสู่ระบบเจียงเจิ้งเหวินไม่เคยขัดใจน้องสาวได้เลยสักครั้ง เมื่อนางอยากติดตามมาด้วย เขาก็พานางมา เพียงแค่ชิงหว่านนั่งรอในรถม้า
“รอพี่สักประเดี๋ยว”
“เจ้าค่ะ เสร็จธุระแล้ว เราไปหาพี่รองกันนะเจ้าคะ หว่านวานอยากเห็นเวลาพี่รองทำงานจะเป็นอย่างไร”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ บางทีอาจเป็นเขาที่คิดมากไปเอง น้องเล็กก็ยังคงเป็นน้องสาวคนเดิมของเขา แม้บางคราวเขาจะรู้สึกเหมือนนางไม่ใช่คนเดิม เขาลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปที่จวนสกุลซ่ง เจียงเจิ้งเหวินคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีนัก ด้วยเคยได้ยินมาไม่น้อยว่าผู้บัญชาการซ่งถือตนไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ ทว่าเขากลับคาดการณ์ผิด เมื่อแจ้งชื่อตนกับคนเฝ้าประตู พวกเขากลับเชิญให้เขาเข้าไปด้านใน
ปลายนิ้วเรียวงามแหวกผ้าม่านรถม้ามองไปด้านนอกอย่างสนใจ ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อยๆ พลางคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา บุรุษผู้นั้นระแวงทุกฝีก้าว ก็แน่ล่ะ กว่าจะไต่เต้ามาเป็นผู้บัญชาการสำนักประจิมมิใช่เรื่องง่าย ต่อให้บุรุษสกุลซ่งก็ต้องใช้ฝีมือจึงเข้ารับตำแหน่งนี้ได้ สำนักประจิมรับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้ เป็นหน่วยที่ตั้งขึ้นเพิ่มเติมเพื่อคอยตรวจสอบและสอดส่ององครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาอีกทอดหนึ่ง มีอำนาจในการสังหารผู้ที่เป็นภัยได้ทันที
ซ่งอวี้หานไม่สนใจหญิงงามนางบำเรอ ในเรือนไม่มีฮูหยินหรือแม้แต่อนุ ไม่มีความชื่นชอบใดเป็นพิเศษ ไม่ว่าผู้ใดเสนอสิ่งใดให้เขาล้วนปฏิเสธหมดสิ้น นั้นเป็นเหตุผลที่นางให้พี่ใหญ่ส่งส้มไปเพียงแค่แปดผล แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการแสดงความจริงใจและเป็นพันธมิตร
ผู้คนเกรงกลัวเขาก็มากแต่ต้องการสังหารเขาก็ไม่น้อย และคณิกาไป๋ลู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตามจริงแล้วนางไม่ได้มีความแค้นใดกับผู้บัญชาการซ่ง แต่นางทำตามคำสั่งของเฟิงเยี่ยนหลง อ่อ...ตอนนี้เขาคือรัชทายาทเฟิงเยี่ยนหลง มิใช่แค่องค์ชายปลายแถวอีกแล้ว
รอยยิ้มเยาะเย้ยตัวเองปรากฏขึ้น ในชาติก่อนองค์ชายเฟิงเยี่ยนหลงเข้ามาพัวพันกับนาง คุณชายในชุดขาวที่พูดจาให้เกียรติและคอยเป็นห่วงเป็นใย จิตใจของหญิงสาวในคราวนั้นย่อมหวั่นไหว เขาไม่เหมือนบุรุษผู้อื่นจนกระทั่งหัวใจของนางอยู่ในอุ้งมือของเขา ทั้งที่นางควรดูเขาออกแต่แรก แต่เพราะความไร้เดียงสาในความรักทำให้นางคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง นางไม่ได้คาดหวังจะเป็นชายา ขอเพียงมีฐานะในใจเขาก็พอ ไม่ว่าสิ่งใดที่เขาสั่งนางพร้อมทำเพื่อเขา แม้สุดท้ายเขามอบความตายให้นางก็ตาม
ชีวิตใหม่นี้...นางจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้อีกแล้ว นางแค่ต้องการชดใช้ความผิดที่นางก่อไว้ในชาติก่อน แล้วเริ่มต้นใหม่กับครอบครัวที่แสนดีอย่างนี้ เป้าหมายของนางตอนนี้คือต้องหาทางเอายาถอนพิษที่ซ่อนไว้กลับมาแล้วมอบให้ผู้บัญชาการซ่ง จากนั้นนางจะหาทางไปจากเมืองหลวงนี้ อยู่ให้ห่างไกลความวุ่นวายให้มากที่สุด
เด็กๆ กลุ่มหนึ่งเดินบ้างวิ่งบ้างผ่านรถม้าของนาง หญิงสาวมองด้วยรอยยิ้ม เด็กหญิงตัวน้อยเดินเร็วๆ ตามหลังคนอื่นๆ จู่ๆ ก็สะดุดก้อนหินล้มลง ชิงหว่านตกใจแล้วรีบลงจากรถม้าตรงไปยังเด็กน้อย นางประคองเด็กขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นออกตามตัว
“เด็กดี เจ็บหรือไม่”
เด็กน้อยเนื้อกายมอมแมมเห็นหญิงสาวเบื้องหน้าก็บื้อใบ้ไปทันที เด็กน้อยเขินอายจนดวงหน้าแดงก่ำ ชิงหว่านหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนมาซับรอยเลือดที่ว่ามือน้อยๆ เมื่อครู่คงใช้มือยันพื้นเลยเป็นแผลถลอกเช่นนี้
“พวกเจ้ารีบร้อนจะไปไหนกันรึ”
“ตรงนั้นมีนักเล่านิทาน” เสียงเด็กชายตอบแล้วเข้ามาจูงมือเด็กหญิง
“ระวังหน่อย” ชิงหว่านดุเด็กชายไม่จริงจังนักแล้วนึกขึ้นได้ว่ามียาสมานแผลที่พี่รองให้มาติดตัวอยู่ มิรู้ว่าใช้แทนกันได้หรือไม่แต่นางก็ยื่นให้เด็กหญิง “นี่เป็นยาสมานแผลเจ้าล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทาบางๆ เช้าและเย็นจะได้หายเร็วขึ้น”
“ขอบคุณเทพธิดา”
“หือ?” ชิงหว่านทำหน้างุนงงแล้วชี้ที่หน้าตัวเอง “หมายถึงข้ารึ”
เด็กน้อยต่างรีบพยักหน้ายืนยัน “พี่สาวสวยขนาดนี้และยังใจดีด้วย ต้องเป็นเทพธิดาแน่นอน”
“ปากหวาน” ชิงหว่านหัวเราะเสียงใส ถูกเด็กๆป้อยอก็อดไม่ได้หยิบพวงเงินส่งให้อีก “เอาไว้กินขนม แบ่งกันนะ”
“ขอบคุณเทพธิดา”
“พอแล้ว” นางโบกมือไปมา “ไปได้แล้ว ประเดี๋ยวไม่ทันนักเล่านิทาน”
หญิงสาวยืนยิ้มขบขันมองเด็กกลุ่มนั้นไปไกลแล้วจึงเดินกลับมาเตรียมขึ้นรถม้า ทว่าเท้าของนางก็ชะงักไปเมื่อรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ ชิงหว่านอยู่ในร่างเด็กสาวอายุสิบห้าแต่วิญญาณของนางอายุยี่สิบสี่ นางจึงหันไปมองอย่างไร้ความเขินอายหรือหวาดกลัว ดวงตาคู่นั้นสงบนิ่งจนชายผู้นั้นเป็นฝ่ายประหลาดใจ ทั้งที่นางเป็นเพียงดรุณีน้อยผู้หนึ่ง เมื่อครู่ยังยิ้มหัวกับเด็กกลุ่มหนึ่ง เพียงพริบตากลับวางท่าสูงส่งไว้ตัวเช่นนี้
น่าสนใจนัก
ชิงหว่านซ่อนมือไว้ในชายเสื้อนางกำมือแน่นสะกดอารมณ์ของตนแล้วดึงสายตากลับมา ก้าวขึ้นรถม้าไร้ความหวาดกลัว เมื่อเข้ามานั่งในรถม้าแล้วนางก็ก้มมองดูฝ่ามือของตน นางเผลอจิกเล็บลงกลางฝ่ามือ
คนที่ไม่อยากเจอกลับมาเจอกันง่ายดายถึงเพียงนี้
สวรรค์จะไม่เปิดโอกาสให้ข้าใช้ชีวิตดีๆ บ้างหรือ?
มือเรียวเล็กยังสั่นอยู่ ใครจะคิดว่านางจะได้พบองค์ชาย เอ่อ ไม่สิ รัชทายาทเฟิงเยี่ยนหลง กลางถนนเช่นนี้ เขาสวมชุดผ้าไหมเรียบง่ายซ่อนความร้ายกาจไว้ภายใต้ใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยน หากเป็นหญิงสาวอ่อนโลกคงต้องเขินอายไปแล้ว แต่ไม่ใช่นาง...
“หว่านวานเป็นอะไรไปรึ”
เสียงพี่ใหญ่ดังขึ้นทำให้นางได้สติ หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นแล้วซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อ ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนหวานกลบเกลื่อนสิ่งที่เกิดขึ้น
“เมื่อครู่เห็นเด็กหกล้มเลยลงรถไปช่วยเจ้าค่ะ พวกเด็กๆ จะรีบไปฟังนักเล่านิทานเล่าเรื่องสนุก หว่านวานเห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อไรบ้านเราจะมีเด็กๆ เช่นนั้นบ้าง”
“เมื่อก่อนก็มีเจ้าเป็นเด็กน้อยคนเดียวของบ้าน ตอนนี้เจ้าไม่ใช่เด็กแล้วนี่นะ”
“พี่ใหญ่อย่ามาเฉไฉ ข้าหมายถึงพี่ๆ ทั้งสามคนนั้นแหละ” หญิงสาวโล่งใจที่เจียงเจิ้งเหวินไม่เห็นสิ่งผิดปกติในตัวนาง “เข้าไปในจวนใต้เท้าซ่งเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ไม่ได้เป็นอะไร พ่อบ้านถามโน้นนี้นิดหน่อยแล้วพี่ก็กลับออกมา”
“ถามเรื่องใดรึเจ้าคะ” นางประหลาดใจนัก เท่าที่รู้ พ่อบ้านถนัดขับไล่แขกมากกว่าต้อนรับ
“ถามเรื่องทำการของเรา พี่ไม่มีเรื่องต้องปิดบังจึงตอบไปตามตรง”
“คงสอบถามทั่วไปเท่านั้น” นางพยักหน้ารับแล้วเอนตัวพิงต้นแขนของพี่ชาย “เมื่อครู่หว่านวานให้ยาสมานแผลเด็กน้อยไปแล้ว ตอนนี้เราไปขอยาพี่รองกันเถิดเจ้าค่ะ”
“เรื่องที่ควรทำก็ควรทำ เรื่องที่ควรรู้ก็ควรศึกษา ผู้น้อยไม่นับว่าเก่งกาจอะไร หลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายมา ผู้น้อยเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้นเจ้าค่ะ”สารถีวางบันไดเรียบร้อยแล้ว ชิงหว่านจึงยุติบทสนทนา มือเรียวยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อก้าวขึ้นบันไดอย่างสะดวก ทว่าเท้าเล็กๆของนางเกิดพลิกอย่างไม่ทันตั้งตัว ซ่งอวี้หานหูตาไวยืนมือไปโอบแผ่นหลังไว้ได้ทันก่อนที่ร่างของนางจะหล่นลงมา ร่างสูงใหญ่ประชิดหญิงสาวรวดเร็ว การใกล้ชิดที่ไม่ได้ตั้งใจทำชิงหว่านสัมผัสได้ถึงฝ่ามือแข็งแกร่งที่ประคองแผ่นหลังของนางไว้ เดิมทีนางเก็บสีหน้าตนเองได้มิดชิด แต่เหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมนี้ทำให้ใบหน้าหวานแดงเรื่อ ดวงตากลมเบิกกว้างและแทบลืมหายใจเมื่อใบหน้าของเขาอยู่ใกล้นางมาก ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะเรียกสายตาของคนในบริเวณนั้นให้หันไปมอง ตั้งแต่สถานที่เฝ้าประตูไปอย่างคนที่สัญจรไปมา แน่นอนว่าทุกคนรู้จักผู้บัญชาการซ่งเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมีใจช่วยเหลือสตรี เช่นนี้ ทำให้ทุกคนสนใจหญิงสาวเป็นอย่างมาก“ไม่น่าเชื่อว่าพญายมซ่งจะใส่ใจสตรีเช่นกัน”เสียงหยอกล้อนั้นทำให้ชิงหว่านได้สติ นางรีบทรงตัวให้ยื
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเรื่องนี้” ซ่งอวี้หานเอ่ยถาม ดวงตาคมกริบจ้องมองไม่ปรานี น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความคาดคั้น ผู้อื่นได้ยินก็คงถึงกับเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้นแล้ว ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับไม่หลบสายตาและยังมองเขากลับด้วยท่าทีสงบนิ่ง “แม้ผู้น้อยจะจดจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งช่วยชีวิตผู้น้อยไว้ ทำให้ได้กลับมาท่านพ่อพ่อท่านแม่พี่และพี่ชายทั้งสามอีกครั้ง” ชิงหว่านไม่หลบตาเพราะไม่คิดว่าตนเองโกหก สำหรับนางแล้ว ‘เจียงชิงหว่าน’ คือผู้มีพระคุณของนางที่ทำให้นางได้ใช้ชีวิตใหม่ที่ดีในชาตินี้ และจากที่นางลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอาการหวาดกลัวขั้นรุนแรงทุกครั้งที่พบเจอรัชทายาทเฟยเยี่ยนหลง นางเชื่อสุดใจว่าการที่เจียงชิงหว่านถูกลักพาตัวไปในครั้งนั้นย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเฟยเยี่ยนหลงอย่างแน่นอน ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกแล้วพยักหน้าเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดไว้เหมือนกัน เขาไม่คิดว่าหญิงสาวจะวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ได้ “ข้าเคยพูดแล้วว่า ข้าไม่สามารถพูดเรื่องคดีนี้กับเจ้าได้หรือแ
หลินอีฉู่เห็นสายตาขององค์รัชทายาททอดมองเพียงเจียงชิงหว่านก็ทำให้หัวใจน้อยๆ ของนางร้อนรุ่มขึ้นมาทันที แม้นางถูกวางตัวให้เป็นว่าที่พระชายา แม้รู้ดีว่าตำแหน่งนี้ต้องแลกกับสิ่งใด และในอนาคตนางต้องปกครองวังหลังต้องสู้รบกับสตรีอีกนับไม่ถ้วน ทว่าตอนนี้แค่เห็นเฟยเยี่ยนหลงสนใจสตรีอื่น นางก็อยากฉีกคนสตรีนางนั้นแล้ว โดยเฉพาะสตรีที่ชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นเจียงชิงหว่าน นางรึตั้งใจฉีกหน้าทำให้สตรีชั้นต่ำนั้นรู้ว่ามาอยู่ผิดที่ แม้เพลงที่นางบรรเลงไม่ได้โดดเด่นแต่ก็ทำให้ผู้อื่นรู้ว่าก็มิได้อ่อนด้อยให้เยาะเย้ย“ฮ่องเต้ทรงพระราชทานชาเข็มเงิน อย่างไรก็ร่วมชิมชากันสักหน่อยเถิด” ลี่กุ้ยเฟยเชื้อเชิญทุกคน แม้นางประหลาดใจที่เห็นผู้บัญชาการซ่งในที่นี่ด้วย เพราะเคยส่งเทียบเชิญให้คนผู้นั้นนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยมาร่วมงานเลยสักครั้ง“เกรงว่ากระหม่อมจะอยู่ร่วมมิได้แล้ว มีภารกิจต้องไปทำพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งอวี้หานเอ่ยเพื่อขอตัวออกมา อย่างไรเขาก็ไม่คุ้นชินกับงานเหล่านี้ และไม่ได้มีแผนจะมาร่วมงานตั้งแต่แรก“ใจ้เท้าซ่งจะกลับแล้วรึเจ้าคะ” ชิงหว่านถามขึ้นมาทันที เรียกสายตาของผู้อื่นในให้จ้องมองมาทางนางซ่งอว
เพียงได้ยินบทเพลงที่หลินอีฉู่บรรเลงก็ทำให้สีหน้าของชิงหว่านเปลี่ยนไป วาจาเรียกพี่สาวน้องสาวแต่บรรเลงบทเพลงที่ต้องใช้ความชำนาญมากเป็นพิเศษนั้น เท่ากับตั้งใจสังหารในดาบเดียว หญิงสาวจ้องมองไปยังหลินอีฉู่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม แม้ใบหน้าแย้มยิ้มแต่แววตาเยาะเย้ย ชิวหว่านเข้าใจจุดประสงค์ของหลินอีฉู่ นางลอบมองไปยังลี่กุ้ยเฟยที่แสดงสีหน้าพอใจเต็มเปี่ยม ตำแหน่งว่าที่พระชายาคงเป็นสกุลหลินที่หมายตาเช่นเดียวกับตระกูลอื่น งานชมบุปผาครั้งนี้เหล่าหญิงงามจึงงัดทุกความสามารถออกมาประชันกัน ชิงหว่านไม่ได้ต้องการตำแหน่งนี้ ทว่าจะแสร้งทำเป็นเล่นไม่เป็นก็เกรงว่าจะเสียหน้าไปถึงตระกูลเจียงของตน อย่างน้อยก็อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนว่าเป็นเพียงบุตรสาววาณิชไร้ความสามารถ อย่างน้อยผู้อื่นก็รู้ว่าคุณชายสามสกุลเจียงเลื่องชื่อศาสตร์ศิลป์ หญิงสาวตั้งสติแล้วหลุบตาลงมองพิณเจ็ดสายตรงหน้า พลันภาพเก่าๆ หวนคืน บุรุษผู้หนึ่งวาดลงแขนคล้ายอ้อมกอด คล้ายกักขังแล้วร่วมบรรเลงพิณเดียวกับนาง กลิ่นไม้กฤษณาอันเป็นเอกลักษณ์ ผสานกับกลิ่นกายบุรุษเพศ ทำให้จิตใจปั่นปวนยากจะสงบใจได้ ‘เหตุใดวันนี้ลูกศิษย์ข้าจึงไ
น้ำเสียงหวานใสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกระจ่างราวกับไม่เคยผ่านเรื่องทุกข์ใจแสนสาหัส หลิ่วอิงเองก็เคยได้ยินเรื่องที่พี่สาวน้องสาวพูดถึง เพราะช่วงนั้นทุกบ้านถึงกับปิดประตูลงกลอนแต่หัววันเพราะเกรงคนชั่วจะมาจับบุตรสาวในบ้านของตนไป นางเองก็ถูกจำกัดบริเวณทั้งที่ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด แต่นั้นก็เพราะความหวังดีของบิดามารดา “เหอะ! สมกับเป็นบุตรสาวพ่อค้า เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ยังกล้าพูดออกมาได้” “เหตุใดข้าต้องอับอายด้วยเล่า” ชิงหว่านเอียงคอเล็กน้อยแสร้งทำหน้าไร้เดียงสาก่อนจะค่อยๆ คืนสีหน้าสงบนิ่ง“คนที่ทำความผิดควรเป็นผู้ละลายต่อการกระทำของตน ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยต้องเป็นฝ่ายอับอาย ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาวบ้านหรือผู้สูงศักดิ์ก็ล้วนมีศักดิ์ศรีในตนเองทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่ความผิดของข้า หากข้าเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านทำตัวอ่อนแอก็ยิ่งเท่ากับว่าทำให้คนชั่วช้าได้ใจ พวกนั้นยิ่งเหิมเกริมย่ามใจลงมือกับสตรีที่ไร้ทางสู้ แม้สองมือของข้าไร้เรี่ยวแรงแต่ข้าก็จะสู้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งไม่ให้ผู้ใดมาย่ำยีได้เด็ดขาด” ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ฟังต่างนิ่งงันไป นางเป็นเพียง
ซ่งอวี้หานไม่สนใจสายตาผู้อื่น ใบหน้าของเขาสงบนิ่งเป็นทุนเดิม มีเพียงสายตาที่ทอดมองไปยังกลุ่มสตรีเหล่านั้น กวาดสายตามองหาครู่หนึ่งก็พบหญิงสาวรูปร่างอรชร นางแต่งกายเรียบง่ายแต่เป็นผ้าไหมเนื้อดีสีสันไม่โดดเด่นเน้นที่การตัดเย็บประณีตปักลายดอกท้องดงาม เจียงชิงหว่านยืนรวมกลุ่มกับสตรีผู้อื่น นางได้รับคำเชิญจากคุณหนูหลิ่วอิง หลายวันก่อนเสนอพี่ใหญ่มอบตัวอย่างผ้าและเครื่องประทินโฉมแก่คุณหนูบ้านต่างๆ พร้อมแนบเทียบเชิญเปิดร้าน “อวี้เหยียน ฟาง” ที่จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า แม้เป็นส่งเทียบเชิญที่ลงทุนไม่น้อยแต่เจียงเจิ้งเหรินเห็นดีด้วย เป็นการแนะนำร้านและสินค้าพร้อมกันทีเดียว แม้กลุ่มเป้าหมายมิใช่คุณหรูสูงศักดิ์ เป็นสินค้าที่คนทั่วไปสามารถจับจ่ายซื้อหาได้ แต่บนชั้นสองของร้านอวี้เยียนฟางก็จัดไว้สำหรับบรรดาคุณหนูตระกูลสูง ได้เลือกเครื่องประทินโฉมที่ถูกใจและยังสามารถนั่งจิบชาสนทนาตามประสาสตรีได้ด้วย สิ่งที่ชิงหว่านเสนอเจียงเจิ้งเหรินนั้น เป็นแนวการทำการค้าของบรรดาพ่อค้าที่เร่ขายสินค้าให้หญิงนางโลม ขายชิ้นหนึ่งแถมอีกชิ้น หรือซื้อสองชิ้นในราคาพิเศษทั้งที่เพิ่มราคาไปแล้ว







