เข้าสู่ระบบ“พี่สาม...ท่านไปหอนางโลมมาหรือเจ้าคะ”
“แค่กๆๆ เจ้า...เจ้า เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็กพูดอะไรออกมา” เจียงเจิ้งหย่วนหน้าแดงก่ำแต่แสร้งขึงตาดุใส่น้องสาว
กลิ่นแป้งหอมชนิดนี้ นางย่อมคุ้นเคยดี ใช้ชีวิตในหอนางโลมมากว่าสิบปีย่อมจำได้ แต่เขาเป็นบุรุษไปหอนางโลมก็ไม่แปลกอันใด หญิงสาวจ้องมองเจิ้งหย่วนพลันรู้สึกคุ้นหน้าเขาอยู่ไม่น้อย คล้ายเคยพบเจอมาก่อน ทว่ายาสงบใจของเจียงเจิ้งฮ่าวได้ผลเร็วเกิดคาด นางเริ่มง่วงจนฝืนตาไม่ไหวในที่สุดก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ท่ามกลางความห่วงใยของพี่ชายทั้งสาม
เมื่อเห็นว่าชิงหว่านหลับไปแล้วจริงๆ บุรุษสามคนจึงเดินออกมาสนทนากันด้านนอก
เจียงเจิ้งเหวินยกมือขึ้นใช้ข้อนิ้วเคาะศีรษะน้องสามไปไม่แรงนัก แต่ก็ทำให้เจียงเจิ้งหย่วนยกมือขึ้นลูบศีรษะป้อยๆ แสร้งทำสีหน้าเจ็บปวด
“อายุเจ้าก็ไม่น้อยแล้วเอาแต่หมกมุ่นเรื่องไม่เป็นเรื่อง ใช้ได้ที่ไหน” เจียงเจิ้งเหวินนอกจากเป็นพี่ใหญ่แล้วยังเป็นบิดาคนที่สอง น้องๆ ไม่กล้าพูดบางเรื่องกับบิดามารดาก็ล้วนมาสารภาพกับเขา “นี่อย่าบอกนะว่า เจ้ายังตามหานางโลมที่ชื่อไป๋ลู่นั้นอยู่อีก”
“นางไม่ใช่หญิงนางโลมทั่วไป นางเป็นคณิกาที่ขายศิลปะ” เจียงเจิ้งหย่วนแก้ตัวแทนสตรีที่เขาเทิดทูน ถูกต้อง ใช้คำว่าเทิดทูนได้ไม่ผิด เพราะเขาชื่นชมฝีมือด้านการเล่นพิณเจ็ดสายและยังบรรเลงผีผาได้ยอดเยี่ยม ได้ยินว่านางมีฝีมือเดินหมากที่ไม่ธรรมดา เขายังอยากลองประลองหมากกระดานกับนางสักกระดานด้วยซ้ำไป ทว่ากลับเกิดเรื่องกับนางเสียก่อน
เจียงเจิ้งฮ่าวส่ายหน้าระอาใจ น้องสามชื่นชมศาสตร์ศิลป์ทุกแขนง เขารู้ว่าเจิ้งหย่วนไม่ออกนอกลู่นอกทาง แต่อยู่หอนางโลมทั้งกลางวันแสกๆ ทำเช่นนี้ก็ถูกผู้อื่นมองว่าเป็นคุณชายเสเพลเอาได้
“จู่ๆ นางหายตัวไป ไม่มีผู้ใดตามหา ข้าคิดว่านางอาจได้รับอันตรายเป็นแน่ นางไม่มีญาติพี่น้องที่ใด ไม่มีใครเป็นห่วงนางเลย”
“เจ้าก็พูดเองว่านางเป็นคณิกา ปีนี้นางอายุเท่าใดแล้วนะ...ยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้า สตรีอายุขนาดนี้ล้วนออกเรือนไปหมดแล้ว บางทีคงมีคนไถ่ตัวนางไปแล้วก็ได้”
เจียงเจิ้งเหวินถอนหายใจหนักหน่วง แรกๆ ที่เขารู้ว่าน้องสามติดพันหญิงนางโลมก็กรุ่นโกรธไม่น้อย แต่เมื่อรู้ว่าเจิ้งหย่วนเพียงสนใจศิลปะและเหมือนได้คุยกับสหายที่ถูกคอจึงไม่ได้ห้ามปราม แต่เมื่อสองเดือนก่อนคณิกาไป๋ลู่ผู้นั้นหายตัวไป ทำให้น้องชายของเขาแอบติดตามสืบหา เรื่องนี้เห็นที่จะเป็นการกระทำที่เกินเลยไปจริงๆ
“เรื่องข้านั้นช่างเถิด” เจียงเจิ้งหย่วนรีบเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องน้องเล็กจะทำอย่างไร มิใช่ว่าหว่านวานสนใจใต้เท้าซ่งแล้วรึ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” เจียงเจิ้งฮ่าวผู้เป็นหมอส่ายหน้าไปมา ดูท่าทางน้องสาวจะสนใจผู้บัญชาการซ่งเข้าให้แล้ว แม้รู้ดีว่าเป็นธรรมดาของเด็กสาว แต่เขาก็ไม่ต้องให้ชิงหว่านไปพัวพันกับคนเหล่านั้น
“วีรบุรุษช่วยหญิงงาม ดูท่าทางหว่านวานก็สนใจไม่น้อย”
“สถานการณ์พาไป อย่างเราครอบครัวเราเป็นตระกูลพ่อค้า ขุนนางเหล่านั้นไม่ชายตามองด้วยซ้ำ” พี่ใหญ่ถอนหายใจหนักหน่วง “เรื่องที่ทำก็ควรทำ แต่เรื่องบางเรื่องก็ระวังไว้”
“แต่ข้าว่า...ที่น้องเล็กเป็นเช่นนี้ก็ดี นางไม่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้เช่นแต่ก่อน กล้าเผชิญหน้ากับความกลัวของตนเองได้ หากเราเอาแต่ปกป้องนางเกรงว่าวันข้างหน้า นางจะยืนด้วยตนเองมิได้”
“เจ้าสามพูดก็มีเหตุผล เจ้ากับหว่านวานอายุห่างกันแค่สามปี นางสนิทกับเจ้าที่สุด ห้ามละเลยนางเด็ดขาด” เจียงเจิ้งเหวินตำหนิน้องชายคนเล็ก อีกฝ่ายอ้าปากจะพูดแต่พี่ใหญ่ยกมือห้ามไว้ก่อน “เจ้าสนใจเรื่องขีดเขียนอะไรก็เรื่องของเจ้าเถอะ”
“ข้ารู้ๆ ครั้งนี้ข้าผิดไปแล้วจริงๆ”
เจียงเจิ้งหย่วนก้มหน้ารับความผิดแต่โดยดี พี่ใหญ่ของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าบิดาเสียอีก แต่เพราะพี่ใหญ่ทำให้เขาไม่ต้องฝืนใจเรียนรู้ด้านการค้า เขายืนรอส่งพี่ชายทั้งสองเดินจากไปแล้วก็หมุนตัวกลับเข้ามาในห้องเพื่อดูน้องเล็ก เผื่อว่านางสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย
ชายหนุ่มสะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลงที่เก้าอี้กลมข้างเตียง สองปีก่อนเขาเพิ่งเคยย่างเท้าเข้าไปหอนางโลมครั้งแรก เหล่าสหายในสำนักศึกษาต่างชักชวนกันไปตามประสาเด็กหนุ่ม นั้นทำให้เขาได้พบคณิกาไป๋ลู่เป็นครั้งแรก นางงดงามราวเทพธิดา กิริยาอ่อนหวาน คำพูดจาล้วนไพเราะ แม้เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มแต่ก็พูดให้เกียรติ ยิ่งรู้ว่าเขาชื่นชอบการเขียนโคลนกลอนก็สนทนาด้วยอย่างใส่ใจ นางทำให้เขาเห็นว่านางนั้นเปี่ยมด้วยความรู้มิใช่แค่ฉาบฉวยเพื่อเอาใจบุรุษ เขาไม่ได้พบนางบ่อยนักเพราะที่บ้านเกรงว่าเขาจะหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้มากเกินไป และนางไม่ได้ออกมารับแขกบ่อยๆ คนที่จะพบนางได้นั้นล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์ ส่วนเขานั้น นานๆ ครั้งจึงได้เข้าไปฟังนางเล่นพิณหรือผีผาสักครั้ง แต่จู่ๆ เขาก็ได้ยินข่าวว่านางฟหายตัวไป เมื่อไปหาที่หอระบำจันทร์ก็ไม่พบ เขาจึงพยายามสืบข่าวเรื่องนาง แต่ก็ยังไร้ร่องรอย
หากนางมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เขาก็สบายใจ แต่หากนางได้รับความทุกข์ใจ เขายินดีไถ่ตัวนางออกมา เพื่อมอบอิสระให้นางหาได้ต้องการครอบครองแต่อย่างใด
ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบาแล้วมองหน้าน้องสาวที่หลับใหล พี่ใหญ่กับพี่รองกังวลเกินเหตุไปแล้ว น้องเล็กของเขาแสนดีจิตใจงดงาม ใครทำดีด้วยย่อมต้องตอบแทนบุญคุณ น้องสาวของเขาคงไม่...ไม่ชื่นชอบบุรุษที่แก่กว่าตั้งเก้าปีขนาดนั้นหรอกกระมัง
สวรรค์! ขอให้พวกเขาคิดมากไปเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องจริง
“เรื่องที่ควรทำก็ควรทำ เรื่องที่ควรรู้ก็ควรศึกษา ผู้น้อยไม่นับว่าเก่งกาจอะไร หลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายมา ผู้น้อยเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้นเจ้าค่ะ”สารถีวางบันไดเรียบร้อยแล้ว ชิงหว่านจึงยุติบทสนทนา มือเรียวยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อก้าวขึ้นบันไดอย่างสะดวก ทว่าเท้าเล็กๆของนางเกิดพลิกอย่างไม่ทันตั้งตัว ซ่งอวี้หานหูตาไวยืนมือไปโอบแผ่นหลังไว้ได้ทันก่อนที่ร่างของนางจะหล่นลงมา ร่างสูงใหญ่ประชิดหญิงสาวรวดเร็ว การใกล้ชิดที่ไม่ได้ตั้งใจทำชิงหว่านสัมผัสได้ถึงฝ่ามือแข็งแกร่งที่ประคองแผ่นหลังของนางไว้ เดิมทีนางเก็บสีหน้าตนเองได้มิดชิด แต่เหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมนี้ทำให้ใบหน้าหวานแดงเรื่อ ดวงตากลมเบิกกว้างและแทบลืมหายใจเมื่อใบหน้าของเขาอยู่ใกล้นางมาก ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะเรียกสายตาของคนในบริเวณนั้นให้หันไปมอง ตั้งแต่สถานที่เฝ้าประตูไปอย่างคนที่สัญจรไปมา แน่นอนว่าทุกคนรู้จักผู้บัญชาการซ่งเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมีใจช่วยเหลือสตรี เช่นนี้ ทำให้ทุกคนสนใจหญิงสาวเป็นอย่างมาก“ไม่น่าเชื่อว่าพญายมซ่งจะใส่ใจสตรีเช่นกัน”เสียงหยอกล้อนั้นทำให้ชิงหว่านได้สติ นางรีบทรงตัวให้ยื
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเรื่องนี้” ซ่งอวี้หานเอ่ยถาม ดวงตาคมกริบจ้องมองไม่ปรานี น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความคาดคั้น ผู้อื่นได้ยินก็คงถึงกับเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้นแล้ว ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับไม่หลบสายตาและยังมองเขากลับด้วยท่าทีสงบนิ่ง “แม้ผู้น้อยจะจดจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งช่วยชีวิตผู้น้อยไว้ ทำให้ได้กลับมาท่านพ่อพ่อท่านแม่พี่และพี่ชายทั้งสามอีกครั้ง” ชิงหว่านไม่หลบตาเพราะไม่คิดว่าตนเองโกหก สำหรับนางแล้ว ‘เจียงชิงหว่าน’ คือผู้มีพระคุณของนางที่ทำให้นางได้ใช้ชีวิตใหม่ที่ดีในชาตินี้ และจากที่นางลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอาการหวาดกลัวขั้นรุนแรงทุกครั้งที่พบเจอรัชทายาทเฟยเยี่ยนหลง นางเชื่อสุดใจว่าการที่เจียงชิงหว่านถูกลักพาตัวไปในครั้งนั้นย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเฟยเยี่ยนหลงอย่างแน่นอน ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกแล้วพยักหน้าเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดไว้เหมือนกัน เขาไม่คิดว่าหญิงสาวจะวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ได้ “ข้าเคยพูดแล้วว่า ข้าไม่สามารถพูดเรื่องคดีนี้กับเจ้าได้หรือแ
หลินอีฉู่เห็นสายตาขององค์รัชทายาททอดมองเพียงเจียงชิงหว่านก็ทำให้หัวใจน้อยๆ ของนางร้อนรุ่มขึ้นมาทันที แม้นางถูกวางตัวให้เป็นว่าที่พระชายา แม้รู้ดีว่าตำแหน่งนี้ต้องแลกกับสิ่งใด และในอนาคตนางต้องปกครองวังหลังต้องสู้รบกับสตรีอีกนับไม่ถ้วน ทว่าตอนนี้แค่เห็นเฟยเยี่ยนหลงสนใจสตรีอื่น นางก็อยากฉีกคนสตรีนางนั้นแล้ว โดยเฉพาะสตรีที่ชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นเจียงชิงหว่าน นางรึตั้งใจฉีกหน้าทำให้สตรีชั้นต่ำนั้นรู้ว่ามาอยู่ผิดที่ แม้เพลงที่นางบรรเลงไม่ได้โดดเด่นแต่ก็ทำให้ผู้อื่นรู้ว่าก็มิได้อ่อนด้อยให้เยาะเย้ย“ฮ่องเต้ทรงพระราชทานชาเข็มเงิน อย่างไรก็ร่วมชิมชากันสักหน่อยเถิด” ลี่กุ้ยเฟยเชื้อเชิญทุกคน แม้นางประหลาดใจที่เห็นผู้บัญชาการซ่งในที่นี่ด้วย เพราะเคยส่งเทียบเชิญให้คนผู้นั้นนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยมาร่วมงานเลยสักครั้ง“เกรงว่ากระหม่อมจะอยู่ร่วมมิได้แล้ว มีภารกิจต้องไปทำพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งอวี้หานเอ่ยเพื่อขอตัวออกมา อย่างไรเขาก็ไม่คุ้นชินกับงานเหล่านี้ และไม่ได้มีแผนจะมาร่วมงานตั้งแต่แรก“ใจ้เท้าซ่งจะกลับแล้วรึเจ้าคะ” ชิงหว่านถามขึ้นมาทันที เรียกสายตาของผู้อื่นในให้จ้องมองมาทางนางซ่งอว
เพียงได้ยินบทเพลงที่หลินอีฉู่บรรเลงก็ทำให้สีหน้าของชิงหว่านเปลี่ยนไป วาจาเรียกพี่สาวน้องสาวแต่บรรเลงบทเพลงที่ต้องใช้ความชำนาญมากเป็นพิเศษนั้น เท่ากับตั้งใจสังหารในดาบเดียว หญิงสาวจ้องมองไปยังหลินอีฉู่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม แม้ใบหน้าแย้มยิ้มแต่แววตาเยาะเย้ย ชิวหว่านเข้าใจจุดประสงค์ของหลินอีฉู่ นางลอบมองไปยังลี่กุ้ยเฟยที่แสดงสีหน้าพอใจเต็มเปี่ยม ตำแหน่งว่าที่พระชายาคงเป็นสกุลหลินที่หมายตาเช่นเดียวกับตระกูลอื่น งานชมบุปผาครั้งนี้เหล่าหญิงงามจึงงัดทุกความสามารถออกมาประชันกัน ชิงหว่านไม่ได้ต้องการตำแหน่งนี้ ทว่าจะแสร้งทำเป็นเล่นไม่เป็นก็เกรงว่าจะเสียหน้าไปถึงตระกูลเจียงของตน อย่างน้อยก็อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนว่าเป็นเพียงบุตรสาววาณิชไร้ความสามารถ อย่างน้อยผู้อื่นก็รู้ว่าคุณชายสามสกุลเจียงเลื่องชื่อศาสตร์ศิลป์ หญิงสาวตั้งสติแล้วหลุบตาลงมองพิณเจ็ดสายตรงหน้า พลันภาพเก่าๆ หวนคืน บุรุษผู้หนึ่งวาดลงแขนคล้ายอ้อมกอด คล้ายกักขังแล้วร่วมบรรเลงพิณเดียวกับนาง กลิ่นไม้กฤษณาอันเป็นเอกลักษณ์ ผสานกับกลิ่นกายบุรุษเพศ ทำให้จิตใจปั่นปวนยากจะสงบใจได้ ‘เหตุใดวันนี้ลูกศิษย์ข้าจึงไ
น้ำเสียงหวานใสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกระจ่างราวกับไม่เคยผ่านเรื่องทุกข์ใจแสนสาหัส หลิ่วอิงเองก็เคยได้ยินเรื่องที่พี่สาวน้องสาวพูดถึง เพราะช่วงนั้นทุกบ้านถึงกับปิดประตูลงกลอนแต่หัววันเพราะเกรงคนชั่วจะมาจับบุตรสาวในบ้านของตนไป นางเองก็ถูกจำกัดบริเวณทั้งที่ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด แต่นั้นก็เพราะความหวังดีของบิดามารดา “เหอะ! สมกับเป็นบุตรสาวพ่อค้า เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ยังกล้าพูดออกมาได้” “เหตุใดข้าต้องอับอายด้วยเล่า” ชิงหว่านเอียงคอเล็กน้อยแสร้งทำหน้าไร้เดียงสาก่อนจะค่อยๆ คืนสีหน้าสงบนิ่ง“คนที่ทำความผิดควรเป็นผู้ละลายต่อการกระทำของตน ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยต้องเป็นฝ่ายอับอาย ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาวบ้านหรือผู้สูงศักดิ์ก็ล้วนมีศักดิ์ศรีในตนเองทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่ความผิดของข้า หากข้าเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านทำตัวอ่อนแอก็ยิ่งเท่ากับว่าทำให้คนชั่วช้าได้ใจ พวกนั้นยิ่งเหิมเกริมย่ามใจลงมือกับสตรีที่ไร้ทางสู้ แม้สองมือของข้าไร้เรี่ยวแรงแต่ข้าก็จะสู้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งไม่ให้ผู้ใดมาย่ำยีได้เด็ดขาด” ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ฟังต่างนิ่งงันไป นางเป็นเพียง
ซ่งอวี้หานไม่สนใจสายตาผู้อื่น ใบหน้าของเขาสงบนิ่งเป็นทุนเดิม มีเพียงสายตาที่ทอดมองไปยังกลุ่มสตรีเหล่านั้น กวาดสายตามองหาครู่หนึ่งก็พบหญิงสาวรูปร่างอรชร นางแต่งกายเรียบง่ายแต่เป็นผ้าไหมเนื้อดีสีสันไม่โดดเด่นเน้นที่การตัดเย็บประณีตปักลายดอกท้องดงาม เจียงชิงหว่านยืนรวมกลุ่มกับสตรีผู้อื่น นางได้รับคำเชิญจากคุณหนูหลิ่วอิง หลายวันก่อนเสนอพี่ใหญ่มอบตัวอย่างผ้าและเครื่องประทินโฉมแก่คุณหนูบ้านต่างๆ พร้อมแนบเทียบเชิญเปิดร้าน “อวี้เหยียน ฟาง” ที่จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า แม้เป็นส่งเทียบเชิญที่ลงทุนไม่น้อยแต่เจียงเจิ้งเหรินเห็นดีด้วย เป็นการแนะนำร้านและสินค้าพร้อมกันทีเดียว แม้กลุ่มเป้าหมายมิใช่คุณหรูสูงศักดิ์ เป็นสินค้าที่คนทั่วไปสามารถจับจ่ายซื้อหาได้ แต่บนชั้นสองของร้านอวี้เยียนฟางก็จัดไว้สำหรับบรรดาคุณหนูตระกูลสูง ได้เลือกเครื่องประทินโฉมที่ถูกใจและยังสามารถนั่งจิบชาสนทนาตามประสาสตรีได้ด้วย สิ่งที่ชิงหว่านเสนอเจียงเจิ้งเหรินนั้น เป็นแนวการทำการค้าของบรรดาพ่อค้าที่เร่ขายสินค้าให้หญิงนางโลม ขายชิ้นหนึ่งแถมอีกชิ้น หรือซื้อสองชิ้นในราคาพิเศษทั้งที่เพิ่มราคาไปแล้ว







