หลังจากการพบกันครั้งแรกกับท่านขุนศรีอิศรา นลินญารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในใจของเธอ เธอรู้สึกมั่นใจมากขึ้น แม้จะยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่เธอเริ่มรู้สึกว่าการอยู่ในยุคสุโขทัยอาจไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด
ในเช้าวันรุ่งขึ้น นลินญาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงนกร้องจากท้องทุ่งนา ขณะที่แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาในห้อง เธอรู้สึกสงบและผ่อนคลายมากกว่าที่เคยรู้สึกในชีวิตในเมืองใหญ่ที่เธอจากมา
หลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อย นลินญาก็เดินออกมาที่ลานหน้าบ้านเพื่อสูดอากาศสดชื่นในยามเช้า สายตาคมสวยของเธอมองไปยังท้องทุ่งนาที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา แสงอาทิตย์สาดส่องท้องนาให้เปล่งประกายสีทอง นลินญารู้สึกทึ่งในความงดงามของธรรมชาติที่ยังคงบริสุทธิ์และสมบูรณ์ในยุคนี้
ในขณะนั้นเอง แม่แย้มภรรยาของนายบ้านก็เดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่หญิงนลินญา ท่านอยากที่ช่วยข้าเตรียมอาหารกลางวันไหมจ๊ะ”
“ได้สิคะแม่แย้มให้ฉันช่วยได้ใช่ไหมคะ ฉันยินดีที่จะช่วยเท่าที่ทำได้ รบกวนแม่แย้มช่วยสอนฉันด้วยได้ไหมคะ” นลินญาตอบด้วยน้ำเสียงสดใส เธออยากที่จะเรียนรู้วิถีชีวิตในสุโขทัยให้มากที่สุด
“ได้เลยจ่ะ งั้นแม่หญิงเดิมตามข้ามาที่ครัวเลยนะจ๊ะ”
แม่แย้มภรรยานายบ้านเดินนำทางนลินญาไปยังครัวของบ้าน ซึ่งเป็นครัวกลางแจ้ง มีเตาถ่านตั้งอยู่ตรงกลางที่เอาไว้ใช้สำหรับหุงหาอาหาร มีหม้อดินและกระทะทองเหลืองวางอยู่รอบ ๆ แม่แย้มชี้ไปยังผักและสมุนไพรที่วางเรียงรายอยู่บนเสื่อ
“วันนี้เราจะทำแกงเลียงกับข้าวเหนียวปิ้ง แม่หญิงเคยทำอาหารแบบนี้ไหมจ๊ะ”
นลินญาส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนที่จะส่งยิ้มให้กับคนถามอย่างอายๆ “เปล่าค่ะ ฉันเคยแต่กินค่ะ แต่ไม่เคยได้มีโอกาสทำเองเลย”
แม่แย้มภรรยานายบ้านหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้หญิงสาวด้วยความเอ็นดู ท่าทางเมืองที่แม่หญิงนลินญาจากมาคงจะไม่มีอะไรแบบนี้เป็นแน่
“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่หญิง เดี๋ยวข้าจะสอนท่านเอง การทำอาหารไม่ได้ยากเกินไปหรอก เพียงแค่ตั้งใจและปราณีตพร้อมทั้งมีความอดทน”
นลินญานั่งลงข้าง ๆ แม่แย้ม พร้อมกับมองบ่าวในบ้านที่กำลังพากันทำกับข้าว และเธอเริ่มเรียนรู้วิธีการขั้นตอนการเตรียมอาหารจากแม่แย้มที่คอยบอกเธอและทำให้เธอดู นลินญาได้ลองฝานผัก หั่นสมุนไพร และตำเครื่องแกงด้วยตัวเอง แม้ว่าจะดูไม่ค่อยคล่องแคล่ว ท่าทางแปลกๆ แต่ภรรยานายบ้านอย่างแม่แย้มก็ชื่นชมกับความตั้งใจของเธอ
“แม่หญิงทำได้ดีแล้วจ้ะ อีกไม่นานคงจะเก่งกว่าข้าที่เป็นคนสอนเสียอีก” แม่แย้มพูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและเอ็นดูหญิงสาวคราวลูก นลินญาเป็นคนสวยหน้าตางดงาม รอยยิ้มสวยเป็นมิตรกับทุกคน แม้ว่าคำพูดคำจาของแม่หญิงจะดูแปลกกว่าผู้คนชาวบ้านแถวนี้เมืองนี้ก็ตามเถอะ อีกทั้งนิสัยที่ชอบเรียนรู้ของแม่หญิงทำให้ชาวบ้านที่นี่ยินดีที่จะสอนทุกอย่างที่เธออยากรู้ให้
ขณะที่นลินญากำลังช่วยกันเตรียมอาหาร เธอก็ได้เรียนรู้ถึงความหมายของการทำอาหารในยุคนี้ อาหารไม่ใช่เพียงแค่การเติมเต็มความหิวเท่านั้น แต่อาหารกลับเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้คน คอยสร้างความใกล้ชิดและความผูกพันที่แท้จริง
ในช่วงบ่าย เธอก็มีแขกมาเยือนถึงบ้านของนายบ้าน เธอมองร่างสูงสง่างามของท่านขุนศรีอิศราที่มาขอพบเธอ เเละขออนุญาตนายบ้านชวนหญิงสาวไปเดินชมวิถีชาวบ้านของที่นี่ ซึ่งหญิงสาวก็ตอบตกลงทันที
นลินญาได้มีโอกาสออกไปเยี่ยมชมบรรยากาศหมู่บ้านรอบ ๆ กับท่านขุนศรีอิศรา ผู้ซึ่งเสนอให้พาเธอเดินชมวิถีชีวิตของชาวสุโขทัย ท่านขุนศรีอิศราสวมชุดผ้าไหมสีน้ำตาลอ่อนในวันนี้ ดูเรียบง่ายแต่ยังคงสง่างามเช่นเดิม
“หมู่บ้านนี้มีความสำคัญมากสำหรับสุโขทัย เพราะเป็นแหล่งปลูกข้าวที่ใหญ่และนับว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง” ท่านขุนศรีอิศรากล่าวให้นลินญาฟัง ขณะที่เดินเคียงข้างนลินญาไปตามทางเดินเล็ก ๆ ที่ขนาบด้วยทุ่งนาทั้งสองข้าง
“ชาวบ้านที่นี่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ทุกคนต่างก็ทำงานหนักเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี”
นลินญารับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจและรู้สึกทึ่งในความรอบรู้และความเอาใจใส่ของท่านขุนศรีอิศราเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ขุนนางที่มีอำนาจ แต่ยังมีความเข้าใจในวิถีชีวิตของชาวบ้านราษฎรอย่างลึกซึ้ง เธอรู้สึกได้ถึงความเคารพและความชื่นชมที่ชาวบ้านมีต่อท่านขุนผู้นี้
“ท่านขุนศรีคะ ท่านดูเหมือนจะรู้จักและเข้าใจชาวบ้านดีมากเลยนะคะ” นลินญาเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชม ตาคมสวยมองเสี้ยวหน้าของบุรุษหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
ท่านขุนศรีอิศราหันมายิ้มให้คนที่เดินเคียงข้างเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาคมของเขาจะมองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้า
“ข้าคิดว่า การที่เราจะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้น เราต้องเข้าใจและใส่ใจผู้คนที่เราเป็นผู้ดูแล ข้าก็เลยมักจะมาเยี่ยมเยียนหมู่บ้านเหล่านี้เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนมีความสุขและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม”
นลินญารู้สึกอบอุ่นในใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอสัมผัสได้ถึงความเมตตาและความจริงใจในคำพูดของท่านขุนศรีอิศรา เขาไม่ใช่เพียงผู้ปกครองที่มีอำนาจ แต่ยังเป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยนและพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
ขณะที่ทั้งสองเดินคุยกันไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางทุ่งนาและท้องฟ้าสีคราม นลินญาเริ่มรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่มีความหมายมากขึ้นสำหรับเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับท่านขุนศรีอิศราก็ค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้น เธอไม่เพียงแต่รู้สึกปลอดภัยที่มีเขาอยู่เคียงข้าง ใจเธอเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของท่านขุนมองทอดมาทางเธอ และนลินญารับรู้ได้ถึงความรู้สึกผูกพันที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ
ขณะที่นลินญายืนอยู่ในอ้อมกอดของท่านขุนศรีอิศรา ความรู้สึกอันอบอุ่นและความรักที่เธอมีต่อเขาก็ไหลกลับมาอย่างเต็มเปี่ยม ความคิดถึงที่เธอเคยเก็บงำไว้อย่างยาวนานถูกปลดปล่อยออกมา น้ำตาแห่งความสุขและการรอคอยที่สิ้นสุดในที่สุดทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านอย่างแท้จริง เมื่ออ้อมกอดคลายลง นลินญาเห็นลูกชายตัวน้อยที่เธอเคยจากมา กำลังเดินเข้ามาหาเธอ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและความตื่นเต้น ดวงตาที่สุกใสของเขามองดูแม่ของเขาอย่างอ้อนวอน “แม่จ๋า” เด็กน้อยพูดขึ้นเบา ๆ ราวกับกลัวว่าสิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นเพียงความฝัน นลินญาทรุดตัวลงบนเข่าและยื่นแขนออกไปหาลูกชาย น้ำตาแห่งความสุขไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย “แม่อยู่นี่แล้วจ้ะลูก แม่กลับมาแล้ว” อิศเรศเด็กชายตัวน้อยรีบวิ่งเข้ามากอดนลินญาแนบแน่น ขณะที่นลินญากอดลูกไว้ในอ้อมแขน เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความสุขที่เธอคิดว่าจะไม่เคยได้รับอีกต่อไป การได้พบลูกอีกครั้งทำให้เธอรู้สึกว่าการตัดสินใจกลับมาในยุคสุโขทัยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ท่านขุนศรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็มองดูภาพนั้นด้วยรอยยิ้มและน้ำตา “ข้าดีใจเหลือเกินที่ครอบครัวของเรากลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง” นลิน
หลังจากค้นพบจดหมายจากท่านขุนศรีอิศรา นลินญารู้สึกว่าหัวใจของเธอยังคงผูกพันกับยุคสุโขทัยอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าเธอจะพยายามสร้างชีวิตใหม่ในยุคปัจจุบัน แต่หญิงสาวก็ยังความรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่สมบูรณ์ทำให้เธอไม่สามารถลืมอดีตได้ ความรักและความคิดถึงท่านขุนศรีและลูกชายยังคงแทรกซึมอยู่ในทุกส่วนของชีวิตเธอ แม้ว่าตอนนี้เธอจะมีตัวแทนความรักของเธอกับท่านขุนศรีอยู่ในครรภ์แล้วก็ตาม วันนี้ช่วงขณะที่นลินญากำลังทำงานที่ศูนย์วิจัย ดร. ปกรณ์ได้เดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทีที่รีบเร่งและดูตื่นเต้น “คุณนลิน ผมมีข่าวที่น่าตื่นเต้นที่จะมาบอกคุณ” “มีอะไรหรือเปล่าคะด๊อกเตอร์ ดูท่าทางคุณจะดีใจมากๆ” “ผมค้นพบหลักฐานใหม่ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามกาลเวลา ในระหว่างการขุดค้นที่แหล่งโบราณคดี” ระหว่างที่ฟัง ดร.ปกรณ์พูด หัวใจของนลินญาเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน “ทีมของพวกเราได้ค้นพบเครื่องรางโบราณที่ถูกกล่าวถึงในตำนานว่าเป็น กุญแจแห่งกาลเวลา ที่สามารถเปิดประตูสู่ยุคต่าง ๆ ได้ นี่ไงข่าวนี้มันน่าตื่นเต้นไหมนลิน นี่อาจจะเป็นโอกาสที่เรารอคอย มันอาจเป็นวิธีที่สามารถเชื่อมต่อกับห้วงกาลเวลาได้จริง ๆ”
ชีวิตใหม่ในยุคปัจจุบันของนลินญาค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ แม้ว่าเธอจะยังคงคิดถึงครอบครัวในยุคสุโขทัยอยู่เสมอ แต่เธอก็เริ่มเข้าใจว่าการกลับมาของเธอในยุคนี้มีความหมายมากกว่าที่เธอคิด ชีวิตของเธอในสุโขทัยไม่ใช่แค่ความทรงจำที่สวยงาม แต่มันได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนที่เข้มแข็งและเต็มไปด้วยความเข้าใจในชีวิตและกาลเวลาวันหนึ่งขณะที่นลินญากำลังทำงานที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เธอได้พบกับนักวิจัยด้านโบราณคดีคนหนึ่งที่มาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคสุโขทัย นักวิจัยคนนั้นเป็นคนหนุ่มชื่อว่า ดร. ปกรณ์ ผู้ซึ่งสนใจในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไทยโบราณอย่างลึกซึ้งระหว่างการสนทนา นลินญาเริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยุคสุโขทัยจากความทรงจำของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถบอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาของเธอได้ แต่เธอก็แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิต ประเพณี และความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้นได้อย่างละเอียด จน ดร. ปกรณ์เองก็แปลกใจในความรู้ลึกซึ้งที่นลินญามี“คุณนลินญา คุณมีความรู้เกี่ยวกับยุคสุโขทัยมากกว่าที่ผมเคยพบเจอมาก่อน คุณศึกษาเรื่องนี้มานานหรือครับ” ดร. ปกรณ์ถามด้วยความสงสัย ขณะที่เขามองดูนล
นลินญารู้สึกและรับรู้ได้ถึงแรงดึงดูดมหาศาลที่ดึงดูพาเธอผ่านห้วงกาลเวลา ทุกอย่างรอบตัวของเธอหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ช้าลงและสลายหายไปในที่สุด เมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในยุคปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวคุ้นเคยแต่นลินญากลับรู้สึกถึงความแปลกแยกในเวลาเดียวกัน หญิงสาวยังอยู่ในที่เดิมและชุดเดิมที่เธอใส่ในวันที่เธอได้หายตัวไป เธอยืนอยู่ ณ ที่ตรงนี้ แต่คราวนี้ไม่มีท่านขุนศรีชายที่เธอรักและรักเธอมาก ไม่มีอิศเรศลูกรักของเธอ ไม่มีบ้านเรือนในยุคสุโขทัยที่เธอได้อาศัยอยู่มาหลายปี และไม่มีครอบครัวที่เธอรักเหลืออยู่ นลินญารู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ แต่มันก็มาพร้อมกับความรู้สึกของความสำเร็จที่เธอได้ช่วยชีวิตอิศเรศลูกชายคนเดียวของเธอเอาไว้ เธอยืนอยู่คนเดียวในยุคปัจจุบัน ท่ามกลางเสียงจอแจของเมืองและผู้คนที่เดินผ่านไปมา แต่ในใจของเธอเต็มไปด้วยความทรงจำและความรักที่เธอมีต่อครอบครัวในยุคสมัยสุโขทัย “ท่านขุนศรีของนลิน นลินจะไม่ลืมท่าน นลินจะอยู่ที่นี่และจดจำทุกอย่างไว้ในใจ อิศเรศลูกแม่ แม่ขอให้ลูกสุขภาพแข็งแรงโตขึ้นเป็นคนดีแข็งแกร่งเหมือนท่านพ่อนะลูกรักของแม่” นลินญา
หลังจากได้รับคำเตือนและคำแนะนำจากท่านนักปราชญ์ นลินญากับท่านขุนศรีก็เดินทางกลับมายังเรือนของพวกเขาที่มีลูกน้อยคอยอยู่กับบ่าวไพร่ เมื่อกลับมาถึงเรือน นลินญารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องเปิดใจคุยกับท่านขุนศรีอิศราผู้เป็นสามีที่เธอรักยิ่ง ร่างสูงดูเงียบไปไม่ค่อยพูดและเหมือนมีเรื่องที่ทำให้ต้องคิดตั้งแต่อยู่ที่อาศรมท่านนักปราชญ์แล้ว นลินญารู้ว่าเธอต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต ถึงสิ่งที่เธอค้นพบและความจริงที่โหดร้ายที่เธอต้องเผชิญ ผลกระทบจากการแยกห้วงกาลเวลาทั้งสองยุคออกจากกัน คำแนะนำของท่านนักปราชญ์อาจเป็นทางเดียวที่จะรักษาชีวิตอิศเรศลูกชายของเธอได้ แต่นั่นหมายความว่าเธอจะต้องกลับไปยังยุคปัจจุบันและจากครอบครัว ผู้ชายที่เธอรักและลูกชายของเธอในยุคสุโขทัยไปอย่างถาวร ในคืนนั้น ขณะที่ท้องฟ้าสุโขทัยเต็มไปด้วยดวงดาว นลินญานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กับท่านขุนศรีผู้เป็นสามี และมีอิศเรศลูกชายของพวกเขานอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ท่านขุนศรีมองดูภรรยาและลูกชายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่านลินญามีบางสิ่งที่ต้องการพูด เขาจึงถามอย่างอ่อนโยน “แม่หญิงนลินญาเมียข้า ท่า
หลายเดือนผ่านไปหลังจากพิธีกรรมโบราณเชื่อมห้วงกาลเวลาเพื่อเชื่อมโยงสองยุคเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ นลินญาและท่านขุนศรีอิศราพยายามใช้ชีวิตอย่างปกติ ทั้งสองต่างรู้สึกโล่งใจที่เหตุการณ์แปลก ๆ ที่เคยเกิดขึ้นได้หยุดลง นลินญาไม่เห็นภาพลวงตาจากยุคปัจจุบันอีกต่อไป และเสียงที่เคยลอยเข้ามาในโสตประสาทของเธอก็หายไปหมด ความรู้สึกไม่เสถียรที่เคยครอบงำจิตใจนลินญาก็จางหายไป ทำให้เธอสามารถกลับมามีสมาธิกับการดูแลครอบครัวและใช้ชีวิตในยุคสุโขทัยได้อีกครั้ง แต่ทว่าลึก ๆ ในใจของนลินญาและท่านขุนศรี พวกเขาต่างก็รู้ในใจดีว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าผลของการเชื่อมโยงสองยุคจะส่งผลอย่างไรในระยะยาว และสิ่งที่ต้องเสียสละเพื่อให้สองยุคสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลคืออะไร คืนหนึ่ง ขณะที่นลินญากำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ใต้แสงตะเกียง อิศเรศลูกชายของเธอที่เคยหลับอยู่ก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง นลินญารีบวางงานในมือและวิ่งไปดู แต่เมื่อเธออุ้มลูกชายขึ้นมา ทันทีที่อ้อมแขนของเธอได้สัมผัสกับลูกน้อยนลินญาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไป เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนของอุณหภูมิในร่างกายของลูกชาย ราวกับว่าเขาม